วงศ์นกโป่งวิด
วงศ์นกโป่งวิด ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: ต้นสมัยไพลโอซีน ถึงปัจจุบัน | |
---|---|
นกโป่งวิดตัวเมีย | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Aves |
อันดับ: | Charadriiformes |
วงศ์: | Rostratulidae |
สกุล | |
|
วงศ์นกโป่งวิด (ชื่อวิทยาศาสตร์: Rostratulidae; อังกฤษ: painted-snipes) เป็นหนึ่งในอันดับนกลุยน้ำ ซึ่งประกอบด้วย 2 สกุลคือ Rostratula และ Nycticryphes
ลักษณะทางสรีรวิทยา
[แก้]นกทั้งสามชนิดในวงศ์นกโป่งวิด มีขาค่อนข้างยาว จะงอยปากยาวคล้ายนกปากซ่อมในวงศ์ Scolopacidae แต่นกโป่งวิดมีสีขนโดดเด่นกว่ามาก ตาโตและตำแหน่งลูกตาไปทางด้านหน้า ภาวะทวิสันฐานทางเพศของนกโป่งวิด (ความแตกต่างระหว่างสองเพศ) ที่ขนนกและขนาด ตัวผู้มีสีซีดกว่า ลายกว่า และขนาดเล็กกว่าตัวเมีย
วิวัฒนาการชาติพันธุ์
[แก้]วงศ์นกโป่งวิด (Rostratulidae) ปัจจุบันประกอบด้วยสองสกุล และสามชนิด (ซึ่งหนึ่งชนิดสูญพันธุ์ไปแล้ว) นกในวงศ์นกโป่งวิด (painted-snipe, Rostratulidae) ดูเผิน ๆ คล้ายนกในวงศ์นกปากซ่อม (วงศ์นกอีก๋อย – true-snipe, Scolopacidae) แต่ทั้งสองวงศ์ไม่เกี่ยวข้องเป็นญาติใกล้ชิด วิวัฒนาการที่มาบรรจบกันภายใต้แรงกดดันคัดเลือก (selective pressure) จากสิ่งแวดล้อมที่คล้ายคลึงกันส่งเสริมให้เกิดผลการวิวัฒนาการของลักษณะทางสรีรวิทยาที่คล้ายคลึงกันเช่น จะงอยปาก และขาที่เรียวยาว ขนนกที่มีลายพราง และสัดส่วนของร่างกายที่มีลักษณะเฉพาะ
นกวงศ์นกโป่งวิดเป็นญาติใกล้ชิดที่สุดของอันดับย่อย Thinocoridea และ Jacanoidea ได้แก่ นกอีแจว, นกพริก, seedsnipe และ plains wanderer แม้ว่าจะมีลักษณะทางสรีรวิทยาที่คล้ายคลึงกันน้อยกว่านกปากซ่อม[1]
วงศ์นกโป่งวิด ชนิด †Rostratula minator ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ได้รับการอธิบายในปีค.ศ. 1988 จากซากสมัยไพลโอซีนช่วงต้น ที่พบในแหล่งโบราณคดีในลางเงอบาอานเวก (Langebaanweg) ประเทศแอฟริกาใต้ และเป็นฟอสซิลชิ้นแรกที่มาจากวงศ์นกโป่งวิด (Rostratulidae) การเปรียบเทียบการวัดกระดูกของ R. minator กับสายพันธุ์ปัจจุบันที่ยังหลงเหลืออยู่แสดงให้เห็นว่ามันมีขนาดพอ ๆ กัน แต่มีความแตกต่างกันมากพอที่บ่งชี้ว่าชนิด R. minator อาจเป็นเพียงนกโป่งวิดเฉพาะถิ่นของแอฟริกาที่สูญพันธุ์ไปแล้ว แทนที่จะเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของ R. benghalensis[2]
นกโป่งวิดออสเตรเลีย ถูกระบุชนิด Rostratula australis โดยจอห์น โกลด์ (John Gould) ในปีค.ศ. 1838 แม้ว่าในภายหลังจะรวมเป็นชนิดย่อยของนกโป่งวิด (R. benghalensis) ที่คล้ายกันมาก ในชื่อ Rostratula benghalensis australis แต่เมื่อไม่นานนี้นกโป่งวิดออสเตรเลียได้รับการแยกออกเป็นชนิดจากความแตกต่างทางสัณฐานวิทยาและพันธุกรรม[3] [4]
อนุกรมวิธาน
[แก้]ความสัมพันธ์ของวงศ์ Rostratulidae กับวงศ์อื่นในอันดับนกลุยน้ำ อย่างย่อ[5][6] | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
สกุล | ภาพ | ชนิด | ถิ่นอาศัยและแหล่งกระจายพันธุ์ |
---|---|---|---|
Rostratula Vieillot, 1816 |
Rostratula benghalensis – นกโป่งวิด (painted-snipe) | มักพบนกโป่งวิดในหนองน้ำในแอฟริกา เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | |
Rostratula australis – นกโป่งวิดออสเตรเลีย (Australian painted-snipe) | หายาก และประชากรลดลง พบเฉพาะในออสเตรเลีย[7] | ||
†Rostratula minator – สูญพันธุ์ไปแล้วในสมัยไพโลซีน | พบซากในแอฟริกาใต้[8] | ||
Nycticryptes Wetmore & Peters, 1923 |
Nycticryphes semicollaris – นกโป่งวิดอเมริกาใต้ |
มักพบในทุ่งหญ้าหนองน้ำในอเมริกาใต้ |
Charadriiformes |
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
แผนผังวิวัฒนาการชาติพันธุ์ ตามข้อมูลอ้างอิง Baker, A.J. et al. (2012)[9] และ Boyd, J. H. et al. (2016)[10]
พฤติกรรม
[แก้]โดยทั่วไปนกโป่งวิดทั้ง 3 ชนิดอาศัยอยู่ในหนองน้ำ บึง และหนองน้ำซึ่งโดยปกติจะอยู่ในที่ราบลุ่ม นอกฤดูผสมพันธุ์นกโป่งวิดมักมีนิสัยสันโดษ รวมกันหรือออกหากินเวลาพลบค่ำหรือกลางคืน[11]
การหาอาหาร
[แก้]นกโป่งวิดเป็นนกที่กินไม่เลือก (กินทั้งเนื้อและพืช) ได้แก่ สัตว์พวกหนอนปล้อง หอยทาก แมลงในน้ำและหนองน้ำ และกุ้งปู นอกจากนี้ยังกินเมล็ดธัญพืชและหญ้า เช่นข้าวฟ่าง และข้าว ซึ่งธัญพืชอาจเป็นอาหารหลักในประชากรบางกลุ่ม[11]
การผสมพันธุ์
[แก้]การผสมพันธุ์ของนกโป่งวิดแตกต่างกันไปตามสกุล ในขณะที่นกโป่งวิดอเมริกาใต้เป็นคู่ผัวเมียเดียว นกโป่งวิดสกุล Rostratula ตัวเมียหนึ่งตัวจะจับคู่ผสมพันธุ์กับเพศผู้หลายตัว (เรียกว่า polyandry) นกตัวเมียในสกุล Rostratula จะผูกพันกับตัวผู้หลายตัวในช่วงฤดูผสมพันธุ์ เมื่อวางไข่แล้วตัวผู้ตัวเดียวจะให้การฟักไข่และการดูแลลูกนกตลอด รังของทั้งสองชนิดมีลักษณะเป็นหลุมตื้น ๆ มักสร้างขึ้นบนกลุ่มพืชพวกหญ้าและกก ขนาดครอกมีตั้งแต่ 2–4 ฟอง ฟักไข่เป็นเวลา 15–21 วัน[11]
การอนุรักษ์
[แก้]ในปัจจุบันวงศ์นกโป่งวิด 2 ชนิด คือนกโป่งวิดอเมริกาใต้ และนกโป่งวิดยังไม่ถือว่าถูกคุกคามจากกิจกรรมของมนุษย์ อย่างไรก็ตามนกโป่งวิดออสเตรเลียมีประชากรลดลงและถือว่าใกล้สูญพันธุ์ในออสเตรเลีย[7]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ del Hoyo, J.; Elliot, A. & Sargatal, J. (editors). (1996). Handbook of the Birds of the World. Volume 3: Hoatzin to Auks. Lynx Edicions. ISBN 84-87334-20-2
- ↑ "R. minator description, department of vertebrate zoology at Smithsonian Institution" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2014-06-02. สืบค้นเมื่อ 2021-05-04.
- ↑ Christidis, Les; Boles, Walter (2008). Systematics and taxonomy of Australian Birds. Collingwood, Vic: CSIRO Publishing. pp. 136. ISBN 978-0-643-06511-6.
- ↑ Baker AJ, Perreira SL, Rogers DI, Elbourne R and Hassell CJ (2007) Mitochondrial-DNA shows that the Australian Painted Snipe is a full species, Rostratula australis. Emu 107: 185-189
- ↑ Fain, Matthew G.; Houde, Peter (2007). "Multilocus perspectives on the monophyly and phylogeny of the order Charadriiformes (Aves)". BMC Evolutionary Biology. 7: 35. doi:10.1186/1471-2148-7-35. PMC 1838420. PMID 17346347.
- ↑ Gibson, Rosemary; Baker, Allan (2012). "Multiple gene sequences resolve phylogenetic relationships in the shorebird suborder Scolopaci (Aves: Charadriiformes)". Molecular Phylogenetics and Evolution. 64 (1): 66–72. doi:10.1016/j.ympev.2012.03.008. PMID 22491071.
- ↑ 7.0 7.1 Lane, B.A.; & Rogers, D.I. (2000). "The Australian Painted-snipe, Rostratula (benghalensis) australis: an Endangered species?". Stilt 36: 26–34
- ↑ "R. minator description, department of vertebrate zoology at Smithsonian Institution" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2014-06-02. สืบค้นเมื่อ 2021-05-04.
- ↑ Baker, Allan J.; Yatsenko, Yuri; Tavares, Erika Sendra (2012). "Eight independent nuclear genes support monophyly of the plovers: The role of mutational variance in gene trees". Molecular Phylogenetics and Evolution. 65 (2): 631–641. doi:10.1016/j.ympev.2012.07.018. PMID 22842291.
- ↑ John, Boyd. "Charadriiformes". jboyd.net (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2017-07-16.
- ↑ 11.0 11.1 11.2 del Hoyo, J.; Elliot, A. & Sargatal, J. (editors). (1996). Handbook of the Birds of the World. Volume 3: Hoatzin to Auks. Lynx Edicions. ISBN 84-87334-20-2