ข้ามไปเนื้อหา

ลำดับคุณค่าของศิลปะ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
A จิตรกรรมประวัติศาสตร์. คริสเตียน อัลเบร็คท์ ฟอน เบนซอน (Christian Albrecht von Benzon), ความตายของคานูทผู้ศักดิ์สิทธิ์, ค.ศ. 1843
ภาพชีวิตประจำวัน. อาเดรียน ฟาน โอสเตด, คนขายปลา, ค.ศ. 1660-1670, สีน้ำมันบนไม้โอ้ค, 29 × 26.5 ซม., พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์แห่งบูดาเพสต์
ภาพเหมือน. คอนราด ครซิซาเนาสกี (Konrad Krzyżanowski), ภาพเหมือนของโยเซฟ พิลซูดสกี, ค.ศ. 1920, พิพิธภัณฑ์กองทัพโปแลนด์, วอร์ซอว์
จิตรกรรมภูมิทัศน์. เทมิสโตเคิลส์ ฟอน เอ็คเค็นเบร็คเคอร์, ภูมิทัศน์ของ Laerdalsoren ที่ Sognefjord, สีน้ำมันบนผ้าใบ, ค.ศ. 1901
ภาพนิ่ง. ไฮน์ริค อุห์ล (Heinrich Uhl), ภาพนิ่งกับกล่องอัญมณี, แว่นดูอุปรากร, ถุงมือ, และช่อดอกไม้, สีน้ำมันบนผ้าใบ, 50 x 60 ซม.

ลำดับคุณค่าของศิลปะ (อังกฤษ: hierarchy of genres) เป็นการจัดประเภทของงานศิลปะ (genre) ตามระดับความสำคัญทางคุณค่าที่วางไว้อย่างเป็นทางการ

ในทางวรรณกรรม มหากาพย์ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานที่มีระดับคุณค่าสูงที่สุดในบรรดานักวิพากษ์วรรณกรรม ตามเหตุผลของซามูเอล จอห์นสัน ที่บรรยายใน ชีวิตของจอห์น มิลตัน ว่า: "ตามความเห็นที่พ้องกันของนักวิพากษ์, งานที่สมควรแก่การสรรเสริญในคุณค่าคืองานของนักเขียนผู้เขียนมหากาพย์, เพราการเขียนมหากาพย์ผู้เขียนต้องรวบรวมพลานุภาพทุกด้านที่แต่ละด้านเพียงพอสำหรับสร้างงานเขียนแต่ละชนิด"

การจัดลำดับที่ทราบกันดีที่สุดในงานจิตรกรรมคือมาตรฐานที่สร้างขึ้นโดยสถาบันในยุโรประหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงสมัยใหม่ ระดับต่างๆ ที่จัดขึ้นสำหรับประเภทของงานศิลปะต่างๆ ได้รับการสนับสนุนโดยราชสถาบันแห่งจิตรกรรมและประติมากรรมแห่งฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้นำในศิลปะสถาบัน

การโต้เถียงที่เกี่ยวกับความงามของจิตรกรรมที่ยังคงเป็นที่นิยมกันมาตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยายังคงเน้นความสำคัญของอุปมานิทัศน์; การใช้องค์ประกอบในงานจิตรกรรมเช่นเส้น และ สีในการสื่อความหมายที่เป็นหัวใจของภาพ ฉะนั้นอุดมคตินิยมจึงเป็นสิ่งที่ใช้กันในงานศิลปะ โดยที่รูปทรงตามธรรมชาติเป็นสิ่งที่เห็นโดยทั่วไป ฉะนั้นจึงเป็นรองจากความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของงานศิลปะ ที่มีจุดประสงค์ในการแสวงหาสัจจะโดยการเลียนแบบ "ความงามของธรรมชาติ" แต่นักทฤษฎีที่มีความคิดเห็นแตกต่างออกไปมีความเชื่อมั่นว่าการเน้นการใช้อุปมานิทัศน์เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ถูกต้องของความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะ และกวีนิพนธ์ที่มาจากบทเขียนของโฮราซ (Horace) "ut pictura poesis" ("ในภาพเขียนคือกวีนิพนธ์") [งานค้นคว้าต้นฉบับ?]

การจัดลำดับคุณค่าของศิลปะเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1667 โดยอังเดร เฟลิเบียง (André Félibien), นักประวัติศาสตร์ศิลป์, สถาปนิก และ นักทฤษฎีว่าด้วยศิลปะคลาสสิกฝรั่งเศส ลำดับคุณค่าของศิลปะถือว่าจิตรกรรมประวัติศาสตร์เป็นลำดับคุณค่าอันดับหนึ่ง หรือ มหาจิตรกรรม (grand genre) จิตรกรรมประวัติศาสตร์รวมจิตรกรรมที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนา, ตำนานเทพ, ประวัติศาสตร์, วรรณคดี หรืออุปมานิทัศน์—ที่ตีความหมายของชีวิตหรือสื่อความหมายทางจริยธรรมและทางปัญญา เทพเจ้าจากตำนานเทพโบราณเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณของมนุษย์ในรูปแบบต่างๆ บุคคลจากศาสนาเป็นตัวแทนของความคิดและปรัชญาต่างๆ และประวัติศาสตร์เป็นตัวแทนของความผันผวนของความคิดและปรัชญา จิตรกรรมประวัติศาสตร์เน้นการเขียนภาพวีรบุรุษที่เป็นชายเปลือยอยู่เป็นเวลานานโดยเฉพาะระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส แต่ความนิยมนี้ก็เริ่มมาลดถอยลงในคริสต์ศตวรรษที่ 19

รองจากจิตรกรรมประวัติศาสตร์ก็เป็นการเขียนภาพชีวิตประจำวัน (scènes de genre) หรือ จุลจิตรกรรม (petit genre) ที่ตรงกันข้ามกับ มหาจิตรกรรม รองจากนั้นก็เป็นภาพเหมือน, ภาพภูมิทัศน์ และลำดับสุดท้ายคือภาพนิ่ง ตามสูตรดังกล่าวภาพเหล่านี้ถือว่ามีคุณค่าต่ำเพราะเป็นการเขียนที่ปราศจากพลังทางจิตหรือความมีจินตนาการทางศิลปะ การเขียนภาพชีวิตประจำวัน—ซึ่งมิได้มีคุณค่าทางอุดมคติหรือลักษณะ, หรือเป็นหัวข้ออันสูงส่ง—ได้รับการชื่นชมเพราะคุณสมบัติของการเขียนที่มาจากความเชี่ยวชาญ ความเป็นเอกลักษณ์ และความมีอารมณ์ขัน แต่ที่แน่นอนคือไม่ถือว่าเป็น "ศิลปะสูง" นอกจากนั้นการจัดลำดับคุณค่ายังระบุขนาดของภาพของแต่ละระดับด้วย: ภาพขนาดใหญ่สำหรับการเขียนจิตรกรรมประวัติศาสตร์ และ ภาพขนาดเล็กสำหรับการเขียนภาพนิ่ง

อังเดร เฟลิเบียงกล่าวว่าจิตรกรควรจะเลียนแบบพระเจ้าผู้ที่มีผลงานที่สมบูรณ์แบบที่สุดคือการสร้างมนุษย์ และแสดงภาพกลุ่มคน และ เลือกหัวข้อการเขียนจากประวัติศาสตร์และตำนาน "จิตรกรต้อง," เฟลิเบียงเขียน "เช่นเดียวกับนักประวัติศาสตร์, เขียนงานที่เป็นงานที่เกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญ และเช่นเดียวกับกวีที่เขียนสิ่งที่ทำให้เป็นที่ชื่นชม และต้องมีความเชี่ยวชาญยิ่งไปกว่านั้นในการมีความเชี่ยวชาญในการแฝงความหมายโดยการใช้ตำนานในการสื่อคุณค่าของบุคคลสำคัญ และคุณค่าอันสูงสุดอันเป็นที่สรรเสริญอันลึกลับของมนุษย์"

จิตรกรชาวอังกฤษโจชัว เรย์โนลด์สระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1770 ถึง 1780 ย้ำในคุณค่าของภาพนิ่งว่าเป็นระดับต่ำที่สุดในบรรดางานจิตรกรรมประเภทต่างๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นงานเขียนที่ทำให้จิตรกรไม่สามารถเข้าถึงหัวใจของรูปทรงหลักได้ จิตรกรรมที่ยังถือกันว่ามีคุณค่าสูงสุดคือจิตรกรรมประวัติศาสตร์ แม้ว่าเรย์โนลด์สจะเห็นด้วยกับการจัดระดับของเฟลิเบียง แต่เรย์โนลด์เชื่อว่างานที่ดีที่สุดของแต่ละประเภทก็ยังสามารถสร้างได้โดยผู้มีพรสวรรค์

แม้ว่าสถาบันศิลปะของยุโรปจะใช้การจัดลำดับคุณค่า แต่ศิลปินหลายคนก็สามารถคิดค้นประเภทงานศิลปะใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์ ที่ทำให้ยกฐานะของหัวเรื่องขึ้นให้มามีความสำคัญพอกับจิตรกรรมประวัติศาสตร์ได้ เรย์โนลด์สเองก็สามารถทำได้โดยการเขียนภาพเหมือนแนวใหม่ที่เรียกว่า "Grand Manner" ที่เป็นการเขียนที่ส่งเสริมผู้เป็นแบบโดยการเขียนเป็นเชิงเทพในตำนาน ฌอง อองตวน วัตโตว์ เป็นผู้ริเริ่มประเภทงานเขียนใหม่ที่เรียกว่า "fêtes galantes" ซึ่งเป็นการเขียนฉากความสนุกสำราญของราชสำนักที่เกิดขึ้นในบรรยากาศธรรมชาติ ที่มีลักษณะที่มีทั้งอรรถรสและคุณค่าทางอุปมานิทัศน์ที่ถือว่าเป็นการแสดงความสูงส่ง โคลด ลอร์แรน (Claude Lorrain) ริเริ่มประเภทงานเขียนใหม่ที่เรียกว่า "ภูมิทัศน์อุดมคติ" (ideal landscape) ที่องค์ประกอบของภาพมีรากฐานมาจากธรรมชาติบ้างเล็กน้อยโดยมีซากปรักหักพังของสถาปัตยกรรมคลาสสิกอยู่ประปรายที่เป็นฉากของภาพทางศาสนาและประวัติศาสตร์ การเขียนลักษณะนี้เป็นการรวมการเขียนภาพภูมิทัศน์กับการเขียนภาพประวัติศาสตร์ซึ่งทำให้การเขียนภาพภูมิทัศน์ลักษณะนี้ได้รับการยกระดับคุณค่าขึ้น ซึ่งทำให้ได้ชื่อว่าเป็น "จิตรกรรมภูมิทัศน์ประวัติศาสตร์" และได้รัการยอมรับโดยสถาบันฝรั่งเศสเมื่อมีการก่อตั้งปรีซ์เดอโรมขึ้นในปี ค.ศ. 1817 และสุดท้ายฌอง-แบ็พทีสต์-ซิมง ชาร์แดง (Jean-Baptiste-Siméon Chardin) สามารถยกระดับการเขียนภาพนิ่งที่ถือกันว่ามีทั้งเสนห์และความงามพอที่จะมีคุณค่าเคียงข้างกับศิลปะอุปมานิทัศน์ชั้นเอกได้ เมื่อทราบถึงความสำคัญของการจัดระดับคุณค่า ชาร์แดงก็เริ่มสอดแทรกบุคคลเข้าไปในภาพราวปี ค.ศ. 1730 ที่ส่วนใหญ่เป็นเด็กและสตรี

จิตรกรสตรีไม่สามารถเขียนภาพประวัติศาสตร์ได้มาจนกระทั่งถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เพราะไม่ได้รับการอนุญาตให้เข้าร่วมในการฝึกการเป็นจิตรกรขั้นสุดท้ายซึ่งคือการฝึกหัดการเขียนจากตัวแบบจริง เพื่อเป็นการป้องกันจากความอับอาย สตรีฝึกการเขียนได้จากภาพนูน ภาพพิมพ์ งานหล่อ หรือจากงานของศิลปินชั้นครู ได้แต่ไม่ได้รับโอกาสให้ได้รับการฝึกการเขียนจากแบบเปลือย นอกจากนั้นก็ยังได้รับการหว่านล้อมให้เลือกเขียนงานที่งานที่ถือว่ามีระดับคุณค่าที่ต่ำเช่นการเขียนภาพเหมือน ภาพภูมิทัศน์ หรือภาพชีวิตประจำวัน ซึ่งถือว่าเป็นงานเขียนสำหรับสตรีเพราะเป็นงานเขียนที่มีความชวนเชิญทางตาไม่ใช่ทางความสติปัญญา

เมื่อมาถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 จิตรกรและนักวิจารณ์ศิลปะก็เริ่มประท้วงกฎต่างๆ ของสถาบันศิลปะที่รวมทั้งความลำเอียงในความนิยมจิตรกรรมประวัติศาสตร์ ขบวนการทางศิลปะใหม่ๆ ที่รวมทั้งสัจนิยม และ อิมเพรสชันนิสม์ ที่แสวงหาการสื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วขณะในปัจจุบัน และการเขียนภาพชีวิตประจำวันที่พบเห็นโดยทั่วไปที่แยกจากความสำคัญทางประวัติศาสตร์ จิตรกรสัจนิยมมักจะเลือกเขียนภาพชีวิตประจำวันและภาพนิ่ง ส่วนจิตรกรอิมเพรสชันนิสม์จะเลือกเขียนภูมิทัศน์ ความนิยมในการเขียนจิตรกรรมประวัติศาสตร์ก็เริ่มลดถอยลง และเริ่มหันไปเป็นการเขียนลักษณะอื่นเช่นการเขียนศิลปะแบบญี่ปุ่น[1] และอื่นๆ ที่ตามมา

อ้างอิง

[แก้]
  1. Colta F. Ives, "The Great Wave: The Influence of Japanese Woodcuts on French Prints", 1974, The Metropolitan Museum of Art, ISBN 0-87099-098-5

ดูเพิ่ม

[แก้]