ข้ามไปเนื้อหา

รัวร์พ็อตเก็ต

พิกัด: 51°28′N 7°33′E / 51.467°N 7.550°E / 51.467; 7.550
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รัวร์พ็อตเก็ต
ส่วนหนึ่งของ การบุกครองเยอรมนีของสัมพันธมิตรตะวันตกในแนวรบด้านตะวันตกของเขตสงครามยุโรปในสงครามโลกครั้งที่สอง

ทหารอเมรกันที่ Rheinwiesenlager ซึ่งคอยคุ้มเชลยชาวเยอรมันจำนวนมหาศาลที่ถูกจับกุมมาได้ในรัวร์พ็อตเก็ต
วันที่1–18 เมษายน ค.ศ. 1945
(2 สัปดาห์และ 3 วัน)
สถานที่51°28′N 7°33′E / 51.467°N 7.550°E / 51.467; 7.550
ผล ฝ่ายสัมพันธมิตรชนะ
คู่สงคราม
สหรัฐ สหรัฐ
สหราชอาณาจักร สหราชอาณาจักร
(ฝ่ายต่อต้านชาวเยอรมัน)
 ไรช์เยอรมัน
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
สหรัฐ โอมาร์ แบรดลีย์
สหราชอาณาจักร เบอร์นาร์ด มอนต์โกเมอรี
สหรัฐ Courtney H. Hodges
สหรัฐ William H. Simpson
สหรัฐ Leonard T. Gerow
นาซีเยอรมนี วัลเทอร์ โมเดิล (ฆ่าตัวตาย)
นาซีเยอรมนี Gustav-Adolf von Zangen Surrendered
นาซีเยอรมนี Josef Harpe Surrendered
หน่วยที่เกี่ยวข้อง

สหรัฐ หมู่กองทัพที่ 12

สหราชอาณาจักร หมู่กองทัพที่ 21

นาซีเยอรมนี หมู่กองทัพบี

กำลัง
195,000 370,000
ความสูญเสีย
เสียชีวิต 1,500 นาย
บาดเจ็บ 8,000 นาย
สูญหาย 500 นาบ
ทั้งหมด:
10,000 นาย[1]

ถูกจับเป็นเชลย 317,000 นาย[2]

จำนวนผู้เสียชีวิตประมาณ 10,000 นาย (รวมทั้งเชลยศึกในเรือนจำเยอรมัน, แรงเกณฑ์บังคับชาวต่างชาติ, ทหารอาสาสมัครฟ็อลคส์ชตวร์มและพลเรือนที่ไม่มีอาวุธ).[3]

รัวร์พ็อตเก็ต เป็นการสู้รบของการโอบล้อมซึ่งเกิดขึ้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 บนแนวรบด้านตะวันตกในช่วงใกล้สิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง ในพื้นที่รัวร์พ็อตเก็ตแห่งเยอรมนี ทหารเยอรมันบางจำนวน 317,000 นายล้วนถูกจับเป็นเชลยพร้อมกับนายพล 24 นาย อเมริกันได้รับความสูญเสีย 10,000 นาย รวมทั้งเสียชีวิตหรือสูญหาย 2,000 นาย

ด้วยการใช้ประโยชน์จากการยึดสะพานลูเดินดอร์ฟที่เรเมเกิน เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1945 หมู่กองทัพสหรัฐที่ 12 ภายใต้บัญชาการโดยนายพล โอมาร์ แบรดลีย์ ได้เข้ารุกอย่างรวดเร็วในการเข้าไปในดินแดนเยอรมันทางตอนใต้ของหมู่กองทัพบีของแกเนอราลเฟ็ลท์มาร์ชัล(จอมพล) วัลเทอร์ โมเดิล ในทางตอนเหนือ หมู่กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรที่ 21 ภายใต้บัญชาการโดยจอมพล เบอร์นาร์ด มอนต์โกเมอรี ได้ข้ามแม่น้ำไรน์ในปฏิบัติการพลันเดอร์ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม องค์ประกอบการนำของสองหมู่กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้าสมทบกัน เมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1945 ทางด้านตะวันออกของแม่น้ำรัวร์ เพื่อสร้างวงล้อมขนาดใหญ่ที่มีความหนาแน่นในการโอบล้อมทหารเยอรมันจำนวน 317,000 นาย ไปทางตะวันตก

ในขณะที่กองทัพสหรัฐจำนวนมากได้เข้ารุกสู่ตะวันออกสู่แม่น้ำเอลเบ กองพลสหรัฐจำนวน 18 กองพลยังคงติดตามไล่หลังเพื่อเข้าทำลายกองทัพที่โดดเดี่ยวของหมู่กองทัพบี การลดทอนของการโอบล้อมเยอรมันได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน โดยกองทัพสหรัฐที่ 9 พร้อมกับกองทัพสหรัฐที่หนึ่งได้เข้าร่วมด้วย เมื่อวันที่ 4 เมษายน เป็นเวลา 13 วัน เยอรมันล่าช้าหรือต่อต้านการรุกของสหรัฐ วันที่ 14 เมษายน กองทัพที่ 1 และ 9 ได้พบปะกัน ได้แบ่งแยกกันในการโอบล้อมเยอรมันออกเป็นสองส่วน และการต่อต้านของเยอรมันเริ่มพังทลาย

เมื่อขาดการติดต่อกับหน่วยทหารต่าง ๆ กองทัพเยอรมันที่ 15 ก็ได้ยอมจำนนในวันเดียวกัน โมเดิลสั่งยุบหมู่กองทัพของเขา เมื่อวันที่ 15 เมษายน และออกคำสั่งให้พวกฟ็อลคส์ชตวร์มและบุคคลที่ไม่สู้รบให้ถอดชุดเครื่องแบบทิ้งและกลับบ้าน เมื่อวันที่ 16 เมษายน กองทัพเยอรมันจำนวนมากก็ได้ยอมจำนนต่อกองพลต่างๆ ของสหรัฐ การต่อต้านที่รวมตัวกันได้มาถึงสิ้นสุดลงในวันที่ 18 เมษายน ด้วยความไม่เต็มใจที่จะยอมจำนนด้วยยศตำแหน่งจอมพลของเขาในการถูกจองจำคุกของฝ่ายสัมพันธมิตร โมเดิลจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายในช่วงบ่ายของวันที่ 21 เมษายน

อ้างอิง

[แก้]
  1. MacDonald 1973, p. 372.
  2. Zaloga, Steve, and Dennis, Peter (2006). Remagen 1945: endgame against the Third Reich. Oxford: Osprey Publishing. ISBN 1-84603-249-0. Page 87.
  3. Wolf Stegemann, Der Ruhrkessel: Ende der Kämpfe im Westen – Verbrechen der Wehrmacht, der SS und Gestapo an der Bevölkerung bis zum letzten Tag