ข้ามไปเนื้อหา

ม็อกกิ้งเจย์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ม็อกกิ้งเจย์  
ผู้ประพันธ์ซูซาน คอลลินส์
ชื่อเรื่องต้นฉบับMockingjay
ผู้แปลนรา สุภัคโรจน์
ประเทศสหรัฐอเมริกา
ภาษาอังกฤษ
สำนักพิมพ์สำนักพิมพ์สกอลาสติก
พิมพ์ในภาษาอังกฤษ
24 สิงหาคม พ.ศ. 2553
หน้าสหรัฐ 390 หน้า
เรื่องก่อนหน้าปีกแห่งไฟ 

ม็อกกิ้งเจย์ (อังกฤษ: Mockingjay) เป็นนวนิยายไซไฟ เสียดสีสังคม เขียนโดยซูซาน คอลลินส์ เป็นเล่มที่ 3 ซึ่งเป็นเล่มจบของนวนิยายไตรภาคชุดเกมล่าชีวิต เป็นเรื่องราวต่อจากปีกแห่งไฟ เล่าเรื่องหลังจากแคตนิส เอฟเวอร์ดีน ทำลายสนามประลอง ก่อนที่จะเกิดการก่อกบฏขึ้น ทำให้เขต 12 ถูกทำลาย แคตนิสจึงถูกพาตัวไปที่เขต 13 ที่เป็นศูนย์กลางของกองกำลังก่อกบฏต่อแคปปิตอล ซึ่งแคตนิสได้ถูกเกลี้ยกล่อมให้เป็น "ม็อกกิ้งเจย์" ที่เป็นเสมือนสัญญลักษณ์ของการก่อการปฏิวัติเพื่อให้พาเน็มหลุดพ้นจากการกดขี่ของแคปปิตอล ในขณะเดียวกันแคปปิตอลก็ได้ใช้กองกำลังเข้าสู้เพื่อปราบกลุ่มกบฏ อีกทั้งพีต้ายังถูกแคปปิตอลจับตัวไป ทำให้กลุ่มกบฏต้องปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือตามคำขอของม็อกกิ้งเจย์ และการต่อสู้เพื่อปฏิวัติพาเน็มครั้งนี้พวกเขาจะแพ้ไม่ได้โดยเด็ดขาด

เนื้อเรื่อง[แก้]

ภายหลังการแข่งขัน ควอเตอร์เควลครั้งที่ 3 จบลงด้วย การทำลายสนามประลอง ของแคตนิส ทำให้ยานฮูเวอร์คราฟต์ของกองกำลังกบฏนำตัวแคตนิสหลบหนีไปพร้อมฟินนิกและบีที ส่วนพีต้า โจแฮนด์นา และแอนโนบาเรีย ถูกแคปปิตอลจับตัวไป ยานพาแคตนิสไปยังเขต 13 ซึ่งหลายคนเชื่อว่าถูกทำลายไปหมดสิ้นแล้ว แต่อันที่จริงยังมีการสะสมกองกำลังต่อต้านแคปปิตอลอยู่ใต้ดินของเขต 13 ซึ่งนำโดย ประธานาธิบดีหญิง อัลมา คอยน์ ปกครองเขต 13 ด้วยระบบที่เคร่งครัดเหมือนทหาร ส่วนเขต 12 นั้นถูกแคปปิตอลทำลายเสียย่อยยับ แต่ด้วยความช่วยเหลือของเกล แม่ของแคตนิสและพริม จึงรอดมาได้

คอยน์เชื้อเชิญให้แคตนิสรับบทเป็น "ม็อกกิ้งเจย์" สัญลักษณ์แห่งการปฏิวัติของเขต 13 และพาเน็ม แคตนิสเองก็ตอบตกลง โดยหน้าที่ของม็อกกิ้งเจย์คือการเป็นสัญลักษณ์ปลุกระดมมวลชนให้ทำการขัดขืนต่อแคปปิตอล โดยการถ่ายทำโฆษณาชวนเชื่อแทรกสัญญาณของแคปปิตอล เป็นต้น ในขณะเดียวกันแต่ละเขตปกครองซึ่งเริ่มแข็งข้อต่อแคปปิตอลก็เริ่มถูกโจมตี แต่เขต 13 สามารถเอาชนะการต่อสู้ได้ จึงทำให้เหลือเพียงเขต 2 กองกำลังทหารหลักของแคปปิตอลเท่านั้นที่ยังคงอยู่ภายใต้อำนาจแคปปิตอล แคปปิตอลเริ่มฉายภาพการสัมภาษณ์ของพีต้าทางโทรทัศน์ ซึ่งแต่ละครั้ง สีหน้าของพีต้าเริ่มแย่ลง เนื่องจากการถูกทรมาณ ในครั้งสุดท้ายพีต้าประกาศเตือนระหว่างการถ่ายทอดสด ว่าเขต 13 จะถูกทิ้งระเบิด ให้ประชาชนเขต 13 รีบหาที่กำบัง

และคำเตือนของพีต้าก็เป็นจริง เขต 13 ถูกแคปปิตอลทิ้งระเบิดและโจมตีอย่างหนัก แต่ด้วยการจัดหาที่กำบังอย่างทันท่วงทีทำให้ไม่มีใครเสียชีวิต ภายหลังการถูกลอบโจมตี เกลและพรรคพวกอาสาเป็นเข้าไปยังแคปปิตอลเพื่อนำพาตัวพีต้ากลับมาตามความต้องการของแคตนิส ภารกิจของเกลสำเร็จลุล่วง พวกเขาสามารถนำพีต้า โจแฮนด์นา และแอนโนบาเรีย กลับมายังเขต 13 ได้สำเร็จ แต่แคตนิสกลับพบว่า พีต้า ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว เขาถูกแคปปิตอลล้างสมองให้ทำร้ายเธอด้วยพิษของแทร็กเกอร์ แจ็กเกอร์ แคตนิสเสียใจเป็นอย่างมากหลังจากพีต้าพยายามทำร้ายเธอ หน่วยแพทย์เขต 13 จึงพยายามรักษาพีต้าแต่ก็ไม่ได้ผลมากนัก เขต 13 ตกลงกันที่จะทำลายล้างกองกำลังทหารของเขต 2 ให้สิ้นซาก โดยให้แคตนิสและเกล ออกไปต่อสู้ด้วย เมื่อเดินทางถึงเขต 2 เกลพบช่องทางในการทำลายกองกำลังทหารของแคปปิตอลโดยการทำลายฐานกองกำลังในถ้ำรหะหว่างหุบเขา ซึ่งเป็นการตัดขาดการเข้าออกของกองกำลัง แม้ว่าจะได้รับชัยชนะแต่แคตนิสก็ถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส

ภายหลังได้รับชัยชนะที่เขต 2 อาการบาดเจ็บของแคตนิสก็เริ่มหาย รวมทั้งอการของพีต้าก็ดีขึ้น ทำให้สถาณการณ์กลับมาดีอีกครั้ง รวมถึงการถูกทำลายกองกำลังทหารของแคปปิตอลเปรียบเสมือนกับถูกตัดท่อน้ำเลี้ยง โดยในตอนนี้ทุกเขตปกครอง ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของแคปปิตอลอีกต่อไป เขต 13 จึงต้องการเผด็จศึกโดยการเข้าจับกุมตัวประธานาธิบดีสโนว์ แคตนิส พีต้า เกล ฟินนิก และพรรคพวกอาสาบุกเข้าแคปปิตอลเพื่อทำการถ่ายทำการจับกุมสโนว์ แต่พวกเขาพบว่าแคปปิตอลได้วางกับดักไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อป้องกันตัวเมือง พวกแคตนิสบุกเข้าไปเรื่อยๆ แต่ว่าสมาชิกในกลุ่มก็เริ่มถูกฆ่าโดยกับดักไปทีละคน รวมทั้งฟินนิก แคตนิส พีต้า และเกล บุกเข้าในตัวเมืองได้สำเร็จ แต่พีต้าและเกลถูกกับดักเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บ ทำให้เหลือเพียงแคตนิสเท่านั้น เธอบุกไปจนถึงหน้าทำเนียบของประธานาธิบดีสโนว์ แต่ก็พบว่าสโนว์นำเด็กๆของแคปปิตอลมากำบังเป็นโล่มนุษย์ไว้ ทันทีที่แคตนิสเข้าไปใกล้ระเบิดถูกทิ้งลงมาจากยานฮูเวอร์คราฟต์ คร่าชีวิตเด็กๆไปบางส่วน ทันใดนั้นหน่วยแพทย์กรูกันเข้าไปรักษา แคตนิสเหลือบไปเห็นพริม น้องสาวของเธออยู่ในนั้นด้วย ก่อนที่ระเบิดลูกที่สูงจะระเบิดขึ้น แคตนิสได้รับบาดเจ็บสาหัสและสลบไป

แคตนิสฟื้นขึ้น เธอพบว่าเธอได้สูญเสียน้องสาวสุดที่รักไปตลอดการจากระเบิดลูกนั้นเสียแล้ว ในตอนนี้แคปปิตอลถูกเขต 13 ยึดครองอย่างสมบูรณ์ สโนว์ถูกจับและรอโทษประหาร แคตนิสเสียใจกับการสูญเสียพริมจนไม่อาจทำใจได้ อีกทั้งระเบิดลูกนั้นเป็นระเบิดที่เกลพัฒนาขึ้นเอง ทำให้เธอไม่อาจคุยกับเกลได้อย่างเดิมอีกต่อไป สโนว์บอกเธอให้รู้ว่าระเบิดลูกที่ถูกทิ้งลงไปนั้นเป็นการอนุมัติของคอยน์เอง รวมถึงการอนุญาตให้พริมที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์เข้าสนามรบด้วย การที่สงครามจบลงคอยด์ก็เตรียมขึ้นเถลิงอำนาจและไม่ต้องการม็อกกิ้งเจย์ให้เป็นเสี้ยนหนามอีกต่อไป แต่แคตนิสเข้าใจว่าเป็นแผนของสโนว์ที่ต้องการให้เธอแตกแยกกับคอยน์ ก่อนการประหารคอยน์เรียกประชุมกับเหล่าผู้พิชิตที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้มีการจัดเกมล่าชีวิตครั้งสุดท้ายขึ้น โดยใช้เด็กๆจากแคปปิตอลเป็นบรรณาการ มติที่ประชุมลงความเห็นอนุมัติ

ในการประหารสโนว์ แคตนิสถูกเลือกให้เป็นเพชฌฆาตตามที่เธอขอ ในตอนที่เธอกำลังจะลงมือนั้นเอง สโนว์พูดเตือนเธอว่า เขาตกลงกับเธอไว้แล้วว่าจะไม่โกหก ทำให้แคตนิสเข้าใจในที่สุดว่าผู้อยู่เบื้องหลังการทิ้งระเบิด รวมถึงการวางแผนให้ตัวเองขึ้นไปเถลิงอำนาจแต่เพียงผู้เดียวซึ่งก็จะทำให้พาเน็มกลับเข้าสู่วังวนอีกครั้งนึง คนคนนั้นก็คือคอยน์นั่นเอง แคตนิสหันคันธนูและยิงลูกธนูใส่คอยน์ตายในทันที ทำให้เกิดจลาจลขึ้นและสโนว์เองก็ตายในระหว่างจลาจล เฮย์มิชรีบพาตัวแคตนิสไปหลบซ่อน เพื่อรอการไตร่สวนและพิจารณาโทษ แคตนิสถูกขังอยู่ในห้องเป็นเวลาหลายวัน จนในที่สุด คณะกรรมการไต่สวนให้เธอพ้นผิด มีการแต่งตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ทุกอย่างในพาเน็มกลับสู่สันติสุขอีกครั้งนึง

แคตนิสเข้าใจในที่สุดว่าพีต้าคือคนที่ใช่สำหรับเธอ 20 ปีต่อมา ทั้งสองแต่งงานกันและมีลูกชายหญิง 2 คน ไม่มีเกมล่าชีวิตอีกต่อไป เธอตั้งใจว่าสักวันลูกๆจะได้รู้ถึงเรื่องราวอันโหดร้ายที่เคยเกิดขึ้น โดยเธอจะเล่าให้พวกเขาฟังว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรและคนรักกี่คนของเธอที่ถูกพรากไป แคตนิสเตือนตัวเองว่า ชีวิตคนก็ไม่ต่างจากเกมที่ถูกเล่นซ้ำไปซ้ำมาโดยผู้คุมเกม หนังสือจบลงด้วยคำพูดของแคตนิสที่ว่า "แต่ยังมีเกมที่เลวร้ายกว่านี้มากมายให้เล่น"

ภาพยนตร์ดัดแปลง[แก้]

เกมล่าชีวิต ไตรภาค ได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ซีรีส์ไตรภาค โดยภาพยนตร์เอก ค.ศ. 2012 อย่างเกมล่าเกม ได้นำมาสู่การเซ็นสัญญาภาพยนตร์รวมสี่ภาค[1] และวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 2012 ได้มีการประกาศว่าจะมีการแบ่งม็อกกิ้งเจย์ ออกเป็นสองส่วน โดยส่วนที่ 1 จะได้รับการเปิดตัว ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014 และส่วนที่ 2 ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 [2] เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ได้มีการยืนยันว่าฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ผู้กำกับเกมล่าเกม 2 แคชชิ่งไฟเออร์ จะกลับมากำกับภาพยนตร์สองภาคสุดท้ายของซีรีส์[3] และวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 2013 ได้มีการประกาศว่าจูเลียน มัวร์ จะรับบทเป็นประธานาธิบดีคอยน์[4]

อ้างอิง[แก้]

  1. Robert, David (November 18, 2011). "Woody Harrelson Talks 'Hunger Games'". MTV. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-01. สืบค้นเมื่อ December 11, 2013.
  2. "'Mockingjay' to be split into two movies, release dates announced". EW.com. July 10, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-11. สืบค้นเมื่อ October 27, 2012.
  3. "Exclusive: Francis Lawrence to Direct Remainder of The Hunger Games Franchise with Two-Part Adaptation of Mockingjay". Collider.com. November 1, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-11-25. สืบค้นเมื่อ 2014-01-04.
  4. Labrecque, Jeff (13 September 2013). "Julianne Moore cast as 'Hunger Games' President Coin". Entertainment Weekly. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-29. สืบค้นเมื่อ 14 September 2013.