ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เจ้าฟ้ากุณฑล"
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: ถูกย้อนกลับแล้ว แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
แอนเดอร์สัน (คุย | ส่วนร่วม) ย้อนการแก้ไขที่ 9015256 สร้างโดย 171.96.174.87 (พูดคุย) ป้ายระบุ: ทำกลับ |
||
บรรทัด 3: | บรรทัด 3: | ||
| ภาพ = |
| ภาพ = |
||
| พระนาม = |
| พระนาม = |
||
| วันประสูติ = |
| วันประสูติ = |
||
| วันสิ้นพระชนม์ = |
| วันสิ้นพระชนม์ = |
||
| พระอิสริยยศ = เจ้าฟ้า |
| พระอิสริยยศ = เจ้าฟ้า |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:01, 3 พฤศจิกายน 2563
เจ้าฟ้ากุณฑล | |
---|---|
เจ้าฟ้า | |
ราชวงศ์ | บ้านพลูหลวง |
พระราชบิดา | สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ |
พระราชมารดา | เจ้าฟ้าสังวาลย์ |
เจ้าฟ้ากุณฑล[1] หรือ เจ้าฟ้าขวันตง[2] เป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กับเจ้าฟ้าสังวาลย์ พระองค์เป็นพระเชษฐภคินีร่วมพระชนกชนนีกับเจ้าฟ้ามงกุฎ และเป็นพระขนิษฐาต่างพระมารดาของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ โดยเจ้าฟ้ากุณฑลได้พระราชนิพนธ์ ดาหลัง (อิเหนาใหญ่) โดยดัดแปลงจากนิทานอิงพงศาวดารชวา[3]
พระประวัติ
เจ้าฟ้ากุณฑลเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ประสูติแต่เจ้าฟ้าสังวาลย์พระมเหสีฝ่ายซ้าย[1] คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ระบุว่าเจ้าฟ้ากุณฑลมีพระอนุชาและพระขนิษฐาอีกสามพระองค์ได้แก่ เจ้าฟ้าอาภรณ์, เจ้าฟ้ามงกุฎ และเจ้าฟ้าสังคีต[4] ส่วน "บาญชีพระนามเจ้านาย" ที่มีอยู่ใน คำให้การชาวกรุงเก่า ระบุว่าเจ้าฟ้ากุณฑลมีพระอนุชาและพระขนิษฐา คือ เจ้าฟ้าอัมพร (คือเจ้าฟ้าอาภรณ์) และเจ้าฟ้าหญิงไม่ทราบพระนาม (คือเจ้าฟ้ามงกุฎ)[2]
เจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎมักจะฟังนิทานปรัมปราหรือเรื่องเล่าจากยายยะโว (ยะโวคือคำว่ายาวอหรือยะวาแปลว่าชาวชวา) นางพระกำนัลซึ่งเป็นเชลยจากเมืองปัตตานี[5] ซึ่งยายยะโวได้เล่านิทานอิงพงศาวดารชวาถวายเจ้าฟ้าทั้งสอง เจ้าฟ้ากุณฑลจึงพระราชนิพนธ์บทละคร ดาหลัง หรืออิเหนาใหญ่ ส่วนเจ้าฟ้ามงกุฎจึงพระราชนิพนธ์บทละคร อิเหนาเล็ก มาตั้งแต่นั้น[3] ซึ่งคำชวาและมลายูที่ปรากฏมักลงท้ายด้วยเสียงสูงอันแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลจากผู้เล่าที่มีสำเนียงใต้เป็นสำคัญ[5] หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ต้นฉบับของวรรณคดีก็สูญหายไปบางส่วน[6] เจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎถูกกวาดต้อนไปยังกรุงอังวะ ในขณะที่ทั้งสองพระองค์นิราศในต่างแดน ก็ทรงเผยแพร่นาฏศิลป์อย่างอยุธยาให้แก่ราชสำนักพม่า และส่งอิทธิพลตกทอดถึงนาฏศิลป์พม่าในยุคปัจจุบัน[7]
หลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกซึ่งเป็นยุคฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม พระองค์จึงทรงรวบรวมบทละครเรื่อง ดาหลัง และ อิเหนาเล็ก พระราชนิพนธ์เดิมของเจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎมาเรียบเรียงใหม่[3] โดยมีเนื้อหาในพระราชนิพนธ์ อิเหนา ฉบับรัชกาลที่ 1 ความว่า[8]
อันอิเหนาเอามาทำเป็นคำร้อง | สำหรับงานการฉลองกองกุศล | |
ครั้งกรุงเก่าเจ้าสตรีเธอนิพนธ์ | แต่เรื่องต้นตกหายพลัดพรายไป |
อ้างอิง
- เชิงอรรถ
- ↑ 1.0 1.1 คำให้การขุนหลวง วัดประดู่ทรงธรรม, ประชุมคำให้การกรุงศรีอยุธยา รวม 3 เรื่อง, หน้า 285
- ↑ 2.0 2.1 คำให้การชาวกรุงเก่า, ประชุมคำให้การกรุงศรีอยุธยา รวม 3 เรื่อง, หน้า 175
- ↑ 3.0 3.1 3.2 "บทละครเรื่อง อิเหนา". ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. สืบค้นเมื่อ 4 กรกฎาคม 2561.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ คำให้การขุนหลวง วัดประดู่ทรงธรรม, ประชุมคำให้การกรุงศรีอยุธยา รวม 3 เรื่อง, หน้า 286
- ↑ 5.0 5.1 บุหงาปัตตานี คติชนมุสลิมชายแดนภาคใต้, หน้า 174-175
- ↑ "เมื่อนักประวัติศาสตร์ตั้งคำถาม: "วงศาวิทยาของอิเหนา" กับความท้าทายประวัติวรรณคดีไทย". มติชนออนไลน์. 11 กุมภาพันธ์ 2561. สืบค้นเมื่อ 4 กรกฎาคม 2561.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ (31 สิงหาคม 2560). "'เพลงโยทยา' นาฏศิลป์อิงเมือง อีกจิตวิญญาณอยุธยาในเมียนมา". เดลินิวส์. สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2561.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ ทองแถม นาถจำนง. "กลอนบทละคร (๒)". ทางอีศาน. สืบค้นเมื่อ 4 กรกฎาคม 2561.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help)
- บรรณานุกรม
- ประพนธ์ เรืองณรงค์. บุหงาปัตตานี คติชนมุสลิมชายแดนภาคใต้. กรุงเทพฯ : สถาพรบุ๊คส์, 2554. 276 หน้า. ISBN 978-616-00-0087-6
- ประชุมคำให้การกรุงศรีอยุธยา รวม 3 เรื่อง. กรุงเทพฯ : แสงดาว, 2553. 536 หน้า. ISBN 978-616-508-073-6
- พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น. นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2553. 800 หน้า. ISBN 978-616-7146-08-9