ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระนางสิริมหามายา"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
== พระประวัติ ==
== พระประวัติ ==
=== พุทธมารดา ===
{{Multiple image
| align = right
| direction = vertical
| width = 250
| image1 = Indian Museum Sculpture - Dream of Mayadevi, Mardan (9218153969).jpg
| caption1 = พระนางสิริมายามายาขณะทรงสุบินนิมิต [[ศิลปะคันธาระ]]
| image2 = Four Scenes from the Life of the Buddha - Birth of the Buddha - Kushan dynasty, late 2nd to early 3rd century AD, Gandhara, schist - Freer Gallery of Art - DSC05128.JPG
| caption2 = พระนางสิริมหามายาขณะเหนี่ยวกิ่งสาละประสูติการพระพุทธเจ้า ศิลปะยุค[[ราชวงศ์กุษาณ]] (ราวศตวรรษที่ 2-3)
}}
พระนางสิริมหามายาทรงอภิเษกสมรสระหว่างเครือญาติกับ[[พระเจ้าสุทโธทนะ]]แห่งสักกะตามพระราชประเพณี<ref name="ประตู" /><ref name="พุทธะ" /><ref name="พุทธะ1" /><ref name="ดาว" /> หลังการอภิเษกสมรส 20 ปี พระองค์ก็มิได้ทรงพระครรภ์ จนกระทั่งในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ก่อนพุทธศักราช 81 ปี ขณะนั้นพระองค์ในช่วงมัชฌิมวัย<ref name="ภิกษุณี" /> พระองค์ทรงพระสุบินว่า[[จาตุมหาราชิกา]]ยกพระแท่นบรรทมของพระองค์ไปยัง[[ป่าหิมพานต์]] เทพทั้งสี่ได้กราบบังคมทูลเชิญให้พระองค์สรงน้ำในสระอโนดาต ชำระพระองค์ด้วยเครื่องหอมนานาชนิด แล้วเสด็จขึ้นบรรทม ณ พระแท่นภายในวิมานทองบนภูเขาสีเงิน ทรงบ่ายพระพักตร์ไปทิศตะวันออก ขณะนั้นมีพญาช้างเผือกนำดอกบัวขาวกลิ่นหอมแรกแย้มมาถวาย ก่อนร้องเสียงดัง แล้วเดินทักษิณาวัตรรอบพระแท่นสามรอบ ครั้นรุ่งขึ้นจึงกราบบังคมทูลแก่พระภัสดาถึงนิมิตนั้น พระเจ้าสุทโธทนะจึงมีรับสั่งให้[[โหร]]ประจำราชสำนักทำนาย ซึ่งโหรหลวงได้ทำนายไว้ว่า ''"พระนางสิริมหามายาทรงพระครรภ์พระองค์จักมีพระราชโอรส พระราชโอรสนั้นถ้าอยู่ครองราชย์ก็จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ถ้าเสด็จออกบวชจักได้เป็นพระพุทธเจ้า"''<ref>{{cite web|url= https://www.phuttha.com//พระพุทธเจ้า/ประสูติ/พระนางสิริมหามายาทรงสุบินนิมิต |title= พระนางสิริมหามายาทรงสุบินนิมิต |author=|date= 2553 |work= พุทธะ |publisher=|accessdate= 17 กรกฎาคม 2560}}</ref>

ครั้นเมื่อพระครรภ์ครบถ้วนทศมาสกับอีกเจ็ดวัน<ref name="ภิกษุณี" /> พระนางสิริมหามายาจึงกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตพระราชสวามี เพื่อเสด็จแปรพระราชฐานไปยัง[[เทวทหะ]]อันเป็นมาตุภูมิเพื่อประสูติการพระราชโอรสตามราชประเพณีนิยม ระหว่างเสด็จแปรพระราชฐาน ได้ทรงหยุดพักพระอิริยาบถใต้ต้น[[สาละ]] ณ [[ลุมพินีวัน|ป่าลุมพินี]] ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมือง[[กบิลพัสดุ์]]กับเทวทหะ เมื่อนั้นพระองค์จึงประชวรพระครรภ์และทรงยืนเหนี่ยวกิ่งสาละประสูติการพระราชโอรส เมื่อวันศุกร์ เพ็ญเดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี<ref>{{cite web|url= http://www.crs.mahidol.ac.th/thai/buddhist13.htm |title= ทำไมพระนางสิริมหามายา ไม่ประสูติพระโอรสสิทธัตถะในพระราชวัง ทำไมต้องคลอดในป่า |author=|date=|work= วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล |publisher=|accessdate= 17 กรกฎาคม 2560}}</ref> เมื่อพระกุมารประสูติขึ้นทรงพระดำเนิน 7 ก้าวโดยมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับ ผินพระพักตร์ไปทางทิศอุดร ทรงยกพระหัตถ์ขวา แล้วทรงชี้พระดัชนีขึ้นฟ้าแล้วกล่าวอภิวาทวาจาอย่างน่าอัศจรรย์ว่า ''"อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฎฺโ{{ฐ}}หมสฺมิ โลกสฺส เสฎฺโ{{ฐ}}หมสฺมิ โลกสฺส อนมนฺติมา เม ชาติ นฺตถิทานิ ปุนพฺภโวติ"'' อันมีความหมายว่า ''"เราเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ชาติอื่น ภพอื่นจะไม่มีอีก''"<ref name="ดาว1">ดาวสยาม วชิรปัญโญ, พระมหา. ''ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย''. กรุงเทพ : เม็ดทรายพริ้นติ้ง, พิมพ์ครั้งที่ 2, หน้า 33-37</ref> หรืออาจแปลว่า ''"เราเป็นยอดของโลก เราเป็นใหญ่แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก ความเกิดของเรานี้เป็นครั้งที่สุด บัดนี้ความเกิดอีกมิได้มี"''<ref>{{cite web|url= http://www.banmuang.co.th/news/education/81990 |title= ทารกแรกเกิดเดินได้บทพิสูจน์เจ้าชายสิทธัตถะประสูติเดินได้ 7 ก้าวเป็นจริง ? |author=|date= 31 พฤษภาคม 2560 |work= บ้านเมือง |publisher=|accessdate= 18 กรกฎาคม 2560}}</ref> ซึ่งกรณีที่พระพุทธเจ้าเดินได้เมื่อแรกประสูตินั้น [[พุทธทาสภิกขุ]] อธิบายว่าการเดินได้เจ็ดก้าวนั้นเป็นปริศนาธรรมมากกว่า เพราะสื่อถึง[[โพชฌงค์ 7]] ประการ หาใช่เกิดจากอภินิหาริย์พิเศษจาการเป็นโพธิสัตว์จึงทำให้เดินได้แต่ประการใด<ref>{{cite web|url= https://prachatai.com/journal/2013/09/48620 |title= พุทธศาสนากับความเป็นมนุษย์ |author= สุรพศ ทวีศักดิ์ |date= 7 กันยายน 2556 |work= ประชาไท |publisher=|accessdate= 18 กรกฎาคม 2560}}</ref>

หลังประสูติกาลพระราชกุมารได้สามวัน [[อสิตดาบส]] (Asita) หรือกาฬเทวิลดาบส (Kāḷadevil) นักบวชที่คุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะได้เดินทางมาชื่นชมพระบารมีของพระกุมาร และเมื่อได้ตรวจลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการอย่างละเอียด จึงก้มกราบพระกุมารด้วยความเคารพ พร้อมกับกำสรวลและหัวเราะไปด้วย สร้างความแปลกพระทัยแก่พระเจ้าสุทโธทนะยิ่งนัก พระเจ้าสุทโธทนะจึงทูลถามดาบสว่าเป็นเช่นนี้เพราะเหตุใด อสิตดาบสจึงตอบพระราชปุจฉาว่า ''"ที่หัวเราะเพราะตื้นตันใจที่ได้เจอพระกุมารที่มีบุญญาบารมี มีลักษณะมหาบุรุษครบ 32 ประการ นับว่าหาไม่ได้ในภัททกัปป์นี้ อาตมามีวาสนาแท้ที่ได้เห็น และที่ร้องไห้เพราะพระโอรสเจริญวัยขึ้นจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาเอกของโลก พระองค์จะแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลางและที่สุด เสียดายที่อายุอาตมาภาพแก่เกินไป คงไม่อาจได้สดับฟังคำสอนของพระองค์ จึงอดกลั้นน้ำตาไม่ไหว"''<ref name="ดาว1" />

หลังจากประสูติกาลพระราชกุมารได้ห้าวัน พระเจ้าสุทโธทนะได้อัญเชิญพราหมณ์ 108 ตนที่เจนจบ[[ไตรเพท]]มาในพระราชวัง พราหมณ์ทั้งหลายขนานพระนามพระกุมารว่า "สิทธัตถะ" แปลว่า "ผู้มีความต้องการอันสำเร็จ"<ref name="ดาว1" /><ref name="พุทธะ2">{{cite web|url= https://www.phuttha.com//พระพุทธเจ้า/ประสูติ/พระประสูติกาลแห่งพระโพธิสัตว์ |title= พระประสูติกาลแห่งพระโพธิสัตว์ |author=|date= 2553 |work= พุทธะ |publisher=|accessdate= 18 กรกฎาคม 2560}}</ref>

=== สวรรคต ===
=== สวรรคต ===
หลังประสูติกาลพระราชกุมารได้เจ็ดวัน พระนางสิริมายามายาก็สวรรคต สร้างความโศกาอาดูรแก่พระเจ้าสุทโธทนะและพระประยูรญาติอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ภายใต้การอภิบาลของ[[พระนางปชาบดีโคตมี]] พระขนิษฐาพระนางสิริมหามายา ซึ่งต่อมาได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ มีพระราชโอรส-ธิดาสองพระองค์คือ [[พระนันทะ|เจ้าชายนันทะ]] (Nanda) และ[[พระนันทาเถรี|เจ้าหญิงรูปนันทา]] (Rūpanandā)<ref name="ดาว1" /><ref name="พุทธะ2" /><ref>{{cite web|url= http://www.84000.org/one/2/01.html |title= พระมหาปชาบดีโคตรมีเถรี |author=|date=|work= ภิกษุณี เอตทัคคะ 84000 |publisher=|accessdate= 16 กรกฎาคม 2560}}</ref> ส่วนพระนางสิริมหามายาได้ไปจุติเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ชั้นดุสิต<ref name="มหิดล" /><ref name="ดาว1" /><ref name="พุทธะ2" />
หลังประสูติกาลพระราชกุมารได้เจ็ดวัน พระนางสิริมายามายาก็สวรรคต สร้างความโศกาอาดูรแก่พระเจ้าสุทโธทนะและพระประยูรญาติอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ภายใต้การอภิบาลของ[[พระนางปชาบดีโคตมี]] พระขนิษฐาพระนางสิริมหามายา ซึ่งต่อมาได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ มีพระราชโอรส-ธิดาสองพระองค์คือ [[พระนันทะ|เจ้าชายนันทะ]] (Nanda) และ[[พระนันทาเถรี|เจ้าหญิงรูปนันทา]] (Rūpanandā)<ref name="ดาว1" /><ref name="พุทธะ2" /><ref>{{cite web|url= http://www.84000.org/one/2/01.html |title= พระมหาปชาบดีโคตรมีเถรี |author=|date=|work= ภิกษุณี เอตทัคคะ 84000 |publisher=|accessdate= 16 กรกฎาคม 2560}}</ref> ส่วนพระนางสิริมหามายาได้ไปจุติเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ชั้นดุสิต<ref name="มหิดล" /><ref name="ดาว1" /><ref name="พุทธะ2" />

รุ่นแก้ไขเมื่อ 04:59, 5 มิถุนายน 2563

พระประวัติ

สวรรคต

หลังประสูติกาลพระราชกุมารได้เจ็ดวัน พระนางสิริมายามายาก็สวรรคต สร้างความโศกาอาดูรแก่พระเจ้าสุทโธทนะและพระประยูรญาติอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ภายใต้การอภิบาลของพระนางปชาบดีโคตมี พระขนิษฐาพระนางสิริมหามายา ซึ่งต่อมาได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ มีพระราชโอรส-ธิดาสองพระองค์คือ เจ้าชายนันทะ (Nanda) และเจ้าหญิงรูปนันทา (Rūpanandā)[1][2][3] ส่วนพระนางสิริมหามายาได้ไปจุติเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ชั้นดุสิต[4][1][2]

หลังพระโคตมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ได้มีดำริที่จะสนองพระคุณพุทธมารดาด้วยการแสดงธรรมเทศนาด้วยกตัญญูกตเวทิตาธรรม จึงเสด็จขึ้นไปแสดงธรรมบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อพระอินทร์เห็นพุทธองค์เสด็จขึ้นมายังสรวงสวรรค์นั้นก็เกิดปีติเกษมสานต์ ประณมหัตถ์อภิวาท ขอประกาศให้เทวดาทุกชั้นฟ้ามาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อสดับพระธรรมเทศนา ซึ่งพระพุทธเจ้าได้มีพระประสงค์ให้พุทธมารดาขึ้นมา ณ ที่ประชุมเทวดา แต่มิทรงทอดพระเนตรเห็น จึงทูลถามพระอินทร์ เมื่อพระอินทร์ทราบถึงความประสงค์ของพุทธองค์ จึงเสด็จไปทูลเชิญพุทธมารดาที่ประทับอยู่สวรรค์ชั้นดุสิตไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าตามพุทธประสงค์ เมื่อพระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็นพระนางสิริมหามายาแล้ว ก็ทรงปีติโสมนัสยิ่ง จึงยกพระหัตถ์เบื้องขวากวักทูลเชิญพระมารดาเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อประกาศพระคุณแห่งมารดาแก่เทวดาทั้งหลายที่มาชุมนุม ณ ที่นั้น ก่อนจะแสดงพระอภิธรรมเจ็ดพระคัมภีร์ เมื่อจบพระคัมภีร์ที่เจ็ด พระนางสิริมหามายาก็บรรลุพระโสดาปัตติผล สมประสงค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจึงเสด็จกลับโลกมนุษย์เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11[5][6]

ประติมานวิทยา

ประติมากรรมรูปพระนางสิริมหามายาที่ปรากฏในลลิตวิสตรสูตรโบโรบูดูร์ ประเทศอินโดนีเซีย

ในวรรณคดีทางพุทธศาสนาและงานพุทธศิลป์ พระนางสิริมหามายาจะมีภาพลักษณ์ของพระชนนีที่ทรงพระสิริโฉม ดังปรากฏใน ลลิตวิสตรสูตร ความว่า

"ประกายความงามของพระนางดุจทองคำบริสุทธิ์ พระเกศาหยักหอมจรุงขลิบนิลคล้ายผึ้งสีดำใหญ่ ดวงเนตรดุจกลีบปทุมชาติ พระทันต์เรียงงามดั่งดวงดาราบนฟ้าสุราลัย"

ประติมากรรมเกี่ยวกับพระองค์มักจะมาจากฉากที่พระองค์ทรงสุบินนิมิตเห็นพระยาช้างเผือก และฉากที่พระองค์ได้ให้ประสูติกาลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ป่าลุมพินี โดยทรงยืนหนี่ยวกิ่งสาละ มิแรนดา ชอว์ (Miranda Shaw) นักวิชาการพุทธศาสนาอธิบายว่าในฉากที่พระนางสิริมหามายาประสูติพระพุทธเจ้านั้นจะมีการสอดแทรกภาพของยักขินีซึ่งเป็นนางไม้ชนิดหนึ่งไว้ด้วย

ศาสนาเปรียบเทียบ

จากพระสุบินนิมิตของพระนางสิริมหามายาก่อนจะมีการปฏิสนธิในครรภ์ ตามพุทธประวัติฉบับบาลีได้ระบุว่าพระนางสิริมหามายาไม่ได้มีการร่วมเพศกับพระราชสวามีช่วงทรงครรภ์หรือเสพกามรสอื่นใด แต่เหตุผลนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าชายสิตธัตถะไม่ได้เกิดจากการร่วมเพศระหว่างพระบิดาและพระมารดา[7] อย่างไรก็ตามด้วยความคล้ายคลึงบางประการนี้จึงถูกผูกเข้ากับเรื่องราวการประสูติของพระเยซูด้วย[8]

ซี. พี. ทุนดี (Z. P. Thundy) ได้ตรวจสอบความคล้ายคลึงกันระหว่างของการประสูติพระพุทธเจ้าโดยพระนางสิริมหามายา กับพระเยซูโดยพระนางมารีย์พรหมจารี ซึ่งพบว่ามีส่วนคล้ายกัน แต่ก็มีส่วนที่ต่างออกไป เช่น พระนางมารีย์ถึงแก่มรณกรรมจึงถูกยกขึ้นสวรรค์ แต่พระนางสิริมหามายาสวรรคตหลังประสูติกาลพระพุทธเจ้าไม่นานเช่นเดียวกับพุทธมารดาองค์ก่อนหน้า[8] แม้ทุนดีจะมิได้ยืนยันว่ามีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ใด ๆ ที่เชื่อมโยงว่าการประสูติของพระเยซูรับความเชื่อมาจากคติพุทธศาสนา แต่เขาระบุว่า "คงถึงเวลาแล้วที่นักวิชาการคริสต์ศาสนาจะพิจารณาความเชื่อทางพุทธศาสนาสำหรับการค้นหาแนวคิด [เรื่องการประสูติ] นี้"[8]

ทั้งนี้ได้มีนักวิชาการบางส่วนออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกันของการกำเนิดพระศาสดา เป็นต้นว่าพอลา เฟรดริกเซน (Paula Fredriksen) กล่าวว่าไม่มีงานวิจัยใดพบว่าพระเยซูทรงออกจากความเป็นยิวปาเลสไตน์ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1[9] ส่วนเอ็ดดีและบอยด์ (Eddy and Boyd) กล่าวว่าไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์จากแหล่งข้อมูลภายนอกของผู้เขียนพันธสัญญาใหม่ และนักวิชาการส่วนใหญ่เห็นพ้องว่าอิทธิพลที่เข้ามาในศาสนาคริสต์ช่วงศตวรรษแรกนั้นไม่เชื่อถืออย่างสิ้นเชิง เพราะชาวยิวกาลิลีที่ยึดถือความเชื่ออย่างเอกเทวนิยมนั้นจะไม่ยอมรับความเชื่อของลัทธินอกศาสนา[10]

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ดาว1
  2. 2.0 2.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ พุทธะ2
  3. "พระมหาปชาบดีโคตรมีเถรี". ภิกษุณี เอตทัคคะ 84000. สืบค้นเมื่อ 16 กรกฎาคม 2560. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  4. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ มหิดล
  5. "โปรดพุทธมารดา ตรัสสอนอภิธรรม ครั้งแรก และพระมารดาได้บรรลุธรรมอะไร". วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล. สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2560. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  6. "ทรงเสด็จดาวดึงส์โปรดพระพุทธมารดา". พุทธะ. 2553. สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2560. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  7. http://www.accesstoinsight.org
  8. 8.0 8.1 8.2 Buddha and Christ by Zacharias P. Thundy (1993), ISBN 90-04-09741-4, pp. 95–96
  9. Fredriksen, Paula. From Jesus to Christ. Yale University Press, 2000, p. xxvi.
  10. The Jesus legend: a case for the historical reliability of the synoptic gospels by Paul R. Eddy, Gregory A. Boyd (2007), ISBN 0-8010-3114-1, pp. 53–54

แหล่งข้อมูลอื่น