ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อูโก กาวัลเลโร"
บรรทัด 17: | บรรทัด 17: | ||
[[File:Marshal Cavallero and Rommel.jpg|thumb|left|200px|คาวาเยโรกับ[[แอร์วีน ร็อมเมิล]]]] |
[[File:Marshal Cavallero and Rommel.jpg|thumb|left|200px|คาวาเยโรกับ[[แอร์วีน ร็อมเมิล]]]] |
||
ภายหลังจากอิตาลีได้เข้าสู่[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1940 คาวาเยโรได้เข้ามาแทนที่จากปีเอโตร บาโดลโย ในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการการป้องกัน ไม่นานหลังจากนั้น เขาได้ถูกส่งไปเป็นผู้บัญชาการกองทัพอิตาลีที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ[[สงครามอิตาลี-กรีซ]]ที่ไม่ประสบความสำเร็จจนถึงฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1941 ในขณะที่เขาได้จัดการในการหยุดยั้งการรุกของกรีซ คาวาเยโรไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้จนถึงกับต้องจนมุมแต่เยอรมันก็ได้เข้ามาแทรกแซงไว้ได้ ในขณะเดียวกัน บทบาทของเขาในฐานะหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการได้ถูกแต่งตั้ง |
ภายหลังจากอิตาลีได้เข้าสู่[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1940 คาวาเยโรได้เข้ามาแทนที่จากปีเอโตร บาโดลโย ในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการการป้องกัน ไม่นานหลังจากนั้น เขาได้ถูกส่งไปเป็นผู้บัญชาการกองทัพอิตาลีที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ[[สงครามอิตาลี-กรีซ]]ที่ไม่ประสบความสำเร็จจนถึงฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1941 ในขณะที่เขาได้จัดการในการหยุดยั้งการรุกของกรีซ คาวาเยโรไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้จนถึงกับต้องจนมุมแต่เยอรมันก็ได้เข้ามาแทรกแซงไว้ได้ ในขณะเดียวกัน บทบาทของเขาในฐานะหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการได้ถูกแต่งตั้งเพิ่มเติมโดยนายพล [[อัลเฟรโด กุซโซนี]] |
||
ในฐานะที่เป็นหัวหน้ากองบัญชาการทหารสูงสุดแห่งอิตาลี เขาได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับจอมพลเยอรมัน [[อัลแบร์ท เค็สเซิลริง]] เขาได้มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างขัดแย้งกับจอมพล [[แอร์วีน ร็อมเมิล]] ซึ่งได้รุกเข้าสู่อียิปต์ ภายหลังจากความสำเร็จของเขาในยุทธการที่กาซาลาซึ่งเขาไม่เห็นด้วย ได้สนับสนุนแทนที่ในการวางแผนการบุกครองที่มอลตา อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นของเขาได้ตกลงไป |
ในฐานะที่เป็นหัวหน้ากองบัญชาการทหารสูงสุดแห่งอิตาลี เขาได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับจอมพลเยอรมัน [[อัลแบร์ท เค็สเซิลริง]] เขาได้มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างขัดแย้งกับจอมพล [[แอร์วีน ร็อมเมิล]] ซึ่งได้รุกเข้าสู่อียิปต์ ภายหลังจากความสำเร็จของเขาใน[[ยุทธการที่กาซาลา]]ซึ่งเขาไม่เห็นด้วย ได้สนับสนุนแทนที่ในการวางแผนการบุกครองที่มอลตา อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นของเขาได้ตกลงไป ภายใต้ความเป็นผู้นำของคาวาเยโร กองทัพทหารอิตาลียังคงปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ดีนัก ถึงกระนั้นเขาก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งยศเป็นจอมพลแห่งอิตาลีในปี ค.ศ. 1942 ภายหลังจากการเลื่อนตำแหน่งยศแก่ร็อมเมิลเป็นจอมพล(ส่วนใหญ่เพื่อป้องกันร็อมเมิลจากตำแหน่งยศที่สูงกว่าเขา) |
||
{{โครงส่วน}} |
{{โครงส่วน}} |
||
รุ่นแก้ไขเมื่อ 21:51, 3 ธันวาคม 2562
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
อูโก คาวาเยโร | |
---|---|
เกิด | 20 กันยายน ค.ศ. 1880 Casale Monferrato, Piedmont, อิตาลี |
เสียชีวิต | 13 กันยายน ค.ศ. 1943 (aged 62) Frascati, ลัตซีโย, อิตาลี |
รับใช้ | อิตาลี |
แผนก/ | Royal Italian Army |
ประจำการ | 1900–1943 |
ชั้นยศ | จอมพลแห่งอิตาลี |
บังคับบัญชา | หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการทหาร |
การยุทธ์ | สงครามอิตาลี-ตุรกี สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามโลกครั้งที่สอง |
บำเหน็จ | กางเขนอัศวินแห่งกางเขนเหล็ก |
อูโก คาวาเยโร(อิตาลี: Ugo Cavallero; 20 กันยายน ค.ศ. 1880 – 13 กันยายน ค.ศ. 1943) เป็นผู้บัญชาการแห่งกองทัพอิตาลีในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์กางเขนอัศวินแห่งกางเขนเหล็กของนาซีเยอรมนี
ชีวประวัติ
เกิดใน in Casale Monferrato, แคว้นปีเยมอนเต คาวาเยโรในวัยเด็กนั้นมีสิทธิพิเศษในฐานะสมาชิกของขุนนางอิตาลี ภายหลังจากเข้าศึกษาโรงเรียนทหาร คาวาเยโรได้รับยศตำแหน่งเป็นร้อยตรีที่สองในปี ค.ศ. 1900 คาวาเยโรได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยในเวลาต่อมาและจบการศึกษาในปี ค.ศ. 1911 ได้รับปริญญาในสาขาคณิตศาสตร์ ในขณะที่ยังอยู่ในกองทัพ คาวาเยโรได้เข้าสู้รบในลิเบียในปี ค.ศ. 1913 ในช่วงระหว่างสงครามอิตาลี-ตุรกีและได้รับรางวัลเหรียญทองแดงจากความกล้าหาญของทหาร
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ในปี ค.ศ. 1915 คาวาเยโรได้ถูกย้ายไปยังกองบัญชาการทหารสูงสุดแห่งอิตาลี จากผู้จัดระเบียบและยุทธวิธีที่ดีเยี่ยม คาวาเยโรได้กลายเป็นนายพลจัตตวาและหัวหน้าสำนักงานปฏิบัติการของกองบัญชาการทหารสูงสุดแห่งอิตาลีในปี ค.ศ. 1918 ด้วยความสามารถนี้ คาวาเยโรได้มีส่วนช่วยในการวางแผนที่นำไปสู่ชัยชนะของอิตาลีที่ Piave และ Vittorio Veneto ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในช่วงเวลาที่เขาเป็นหัวหน้าวางแผนของหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการทหารอิตาลี เขาได้สร้างความเป็นปรปักษ์กับปีเอโตร บาโดลโย ที่ดำรงตำแหน่งเป็น Sottocapo di Stato Maggiore(รองหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการ)ของกองทัพ
ระหว่างสงคราม
คาวาเยโรได้ลาออกจากกองทัพในปี ค.ศ. 1919 แต่เวลาต่อมาได้กลับเข้ามาอีกครั้งในปี ค.ศ. 1925 ซึ่งในช่วงเวลานั้น เขาได้กลายเป็นรัฐมนตรีผู้ช่วยว่าการกระทรวงสงครามของเบนิโต มุสโสลินี ด้วยความมุ่งมั่นของลัทธิฟาสซิสต์ คาวาเยโรได้ทำหน้าที่เป็นวุฒิสภาในปี ค.ศ. 1926 และในปี ค.ศ. 1927 ได้กลายเป็นพลตรี หลังจากนั้นก็ได้ลาออกจากกองทัพเป็นครั้งที่สอง คาวาเยโรได้มีส่วนร่วมในธุรกิจและวิสาหกิจการฑูตตลอดในช่วงปลายปี ค.ศ. 1920 และช่วงต้นปี ค.ศ. 1930
คาวาเยโรได้กลับเข้ากองทัพเป็นครั้งที่สามและเป็นครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1937 ได้รับตำแหน่งยศเป็นพลโท เขาได้กลายเป็นผู้บัญชาการกองกำลังผสมของอิตาลีในแอฟริกาตะวันออกแห่งอิตาลีในปี ค.ศ. 1938 และเป็นนายพลอย่างเต็มตัวในปี ค.ศ. 1940
สงครามโลกครั้งที่สอง
ภายหลังจากอิตาลีได้เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1940 คาวาเยโรได้เข้ามาแทนที่จากปีเอโตร บาโดลโย ในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการการป้องกัน ไม่นานหลังจากนั้น เขาได้ถูกส่งไปเป็นผู้บัญชาการกองทัพอิตาลีที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามอิตาลี-กรีซที่ไม่ประสบความสำเร็จจนถึงฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1941 ในขณะที่เขาได้จัดการในการหยุดยั้งการรุกของกรีซ คาวาเยโรไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้จนถึงกับต้องจนมุมแต่เยอรมันก็ได้เข้ามาแทรกแซงไว้ได้ ในขณะเดียวกัน บทบาทของเขาในฐานะหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการได้ถูกแต่งตั้งเพิ่มเติมโดยนายพล อัลเฟรโด กุซโซนี
ในฐานะที่เป็นหัวหน้ากองบัญชาการทหารสูงสุดแห่งอิตาลี เขาได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับจอมพลเยอรมัน อัลแบร์ท เค็สเซิลริง เขาได้มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างขัดแย้งกับจอมพล แอร์วีน ร็อมเมิล ซึ่งได้รุกเข้าสู่อียิปต์ ภายหลังจากความสำเร็จของเขาในยุทธการที่กาซาลาซึ่งเขาไม่เห็นด้วย ได้สนับสนุนแทนที่ในการวางแผนการบุกครองที่มอลตา อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นของเขาได้ตกลงไป ภายใต้ความเป็นผู้นำของคาวาเยโร กองทัพทหารอิตาลียังคงปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ดีนัก ถึงกระนั้นเขาก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งยศเป็นจอมพลแห่งอิตาลีในปี ค.ศ. 1942 ภายหลังจากการเลื่อนตำแหน่งยศแก่ร็อมเมิลเป็นจอมพล(ส่วนใหญ่เพื่อป้องกันร็อมเมิลจากตำแหน่งยศที่สูงกว่าเขา)
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |