ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ไรชส์อุนมิทเทิลบาร์ไคท์"
ล Setawut ย้ายหน้า อิมพีเรียลอิมมีเดียซี ไปยัง ไรชส์อุนมิทเทิลบาร์ไคท์ |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
[[ไฟล์:HRR 1789 EN.png|thumb|300px|รัฐของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในปี ค.ศ. 1789 แต่ละรัฐที่เห็นเป็นสีต่าง ๆ ต่างก็มีสิทธิทางการปกครองและทางด้านการยุติธรรมที่ต่างกันไปตามแต่จะระบุโดยพระจักรพรรดิ]] |
[[ไฟล์:HRR 1789 EN.png|thumb|300px|รัฐของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในปี ค.ศ. 1789 แต่ละรัฐที่เห็นเป็นสีต่าง ๆ ต่างก็มีสิทธิทางการปกครองและทางด้านการยุติธรรมที่ต่างกันไปตามแต่จะระบุโดยพระจักรพรรดิ]] |
||
'''อำนาจอธิปไตยซึ่งประมุขขึ้นโดยตรงต่อจักรพรรดิ'''<ref>ราชบัณฑิตยสถาน, ''สารานุกรมประเทศในทวีปยุโรป ฉบับราชบัณฑิตยสถาน'', ราชบัณฑิตยสถาน, 2550, หน้า 391</ref> ( |
'''อำนาจอธิปไตยซึ่งประมุขขึ้นโดยตรงต่อจักรพรรดิ'''<ref>ราชบัณฑิตยสถาน, ''สารานุกรมประเทศในทวีปยุโรป ฉบับราชบัณฑิตยสถาน'', ราชบัณฑิตยสถาน, 2550, หน้า 391</ref> ({{lang-en|Imperial immediacy}}) หรือทับศัพท์ว่า'''ไรชส์อุนมิทเทิลบาร์ไคท์''' ({{lang-de|Reichsunmittelbarkeit}}) เป็นสถานะ[[เอกสิทธิ์]]ทางการเมืองตาม[[ระบบเจ้าขุนมูลนาย]]ที่จักรพรรดิแห่ง[[จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์]]มอบให้แก่[[จักรพรรดินครอิสระ]] [[รัฐคริสตจักร]] หรือ[[ราชรัฐ]] รัฐที่ได้รับ "ไรชส์อุนมิทเทิลบาร์ไคท์" เช่น แอบบีดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของ[[จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์]]และ[[สภานิติบัญญัติแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์|สภานิติบัญญัติ]] (Reichstag<!--en:Reichstag (institution)-->) โดยไม่ตัองมีเจ้าผู้ครองอื่นเป็นตัวกลาง ในภาษาสมัยปัจจุบันก็หมายถึงรูปแบบของรัฐที่ปกครองตนเอง |
||
== ผลได้ผลเสีย == |
== ผลได้ผลเสีย == |
||
ผลได้ของการมี |
ผลได้ของการมีไรชส์อุนมิทเทิลบาร์ไคท์ คือสิทธิในการเรียกเก็บภาษีและค่าธรรมเนียม มีตลาด พิมพ์เหรียญกษาปณ์ มีกองทัพ และมีระบบยุติธรรมของตนเองได้ สิทธิหลังสุดอาจจะรวม “[[ศาลเลือด]]” (Blutgericht) หรือศาลอาญาที่มีสิทธิลงโทษผู้ทำผิดถึงประหารชีวิตได้ สิทธิเหล่านี้ขึ้นอยู่การการมอบให้ในพระราชประกาศสิทธิโดยพระจักรพรรดิ |
||
ผลเสียของมี |
ผลเสียของมีไรชส์อุนมิทเทิลบาร์ไคท์อาจจะรวมทั้งการเข้ายุ่งเกี่ยวโดยตรงโดยตรงของจักรวรรดิ เช่นที่เกิดขึ้นหลายครั้งในเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้หลังจาก[[สงครามชมาคาลดิค]] (Schmalkaldic War) และการจำกัดหรือการสูญเสียสิทธิที่ได้รับมอบทั้งหมดถ้าพระจักรพรรดิหรือสภานิติบัญญัติไม่สามารถปกป้องสิทธิดังกล่าวได้จากการต่อต้านหรือรุกรานจากภายนอก เช่นที่เกิดขึ้นระหว่าง[[สงครามมหาสัมพันธมิตรครั้งที่หนึ่ง]]ของ[[สงครามการปฏิวัติฝรั่งเศส]] (French Revolutionary Wars) หรือระหว่าง[[สงครามมหาสัมพันธมิตรครั้งที่สอง]]ใน[[สงครามนโปเลียน]] [[สนธิสัญญาลูเนวิลล์]] ที่ลงนามกันเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1801 ระหว่าง[[สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่หนึ่ง|สาธารณรัฐฝรั่งเศส]]และ[[จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์]] ระบุให้พระจักรพรรดิสละพระราชสิทธิทุกอย่างที่มีต่อ[[จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์]] ในการประชุมครั้งสุดท้ายของชสภานิติบัญญัติแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ({{lang-de|Reichsdeputationshauptschluss}}) ในปี ค.ศ. 1802 ถึงปี ค.ศ. 1803 หรือที่เรียกว่า “[[การปฏิรูปดินแดนในเยอรมนี]]” [[จักรพรรดินครอิสระ]]และอิมพีเรียลแอบบีเกือบทั้งหมดต่างก็สูญเสีย “ไรชส์อุนมิทเทิลบาร์ไคท์” และถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐราชวงศ์ต่างๆ |
||
== ปัญหาในความเข้าใจจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ == |
== ปัญหาในความเข้าใจจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ == |
||
การที่จะทำความเข้าใจถึงการมอบหรือการใช้ “ |
การที่จะทำความเข้าใจถึงการมอบหรือการใช้ “ไรชส์อุนมิทเทิลบาร์ไคท์” ทำให้ประวัติของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เป็นระบบที่ยากต่อการเข้าใจ โดยเฉพาะในบรรดานักประวัติศาสตร์ แม้แต่โดยนักประวัติศาสตร์ร่วมสมัยเช่น[[โยฮันน์ โวล์ฟกัง ฟอน เกอเธอ]] และ [[โยฮันน์ กอทท์ลีบ ฟิคท์]] (Johann Gottlieb Fichte) ผู้เรียกจักรวรรดิว่า “มหายักษ์” ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 นักประวัติศาสตร์ผู้เขียนเกี่ยวกับจักรวรรดิว่าไม่เป็นทั้ง “โรมัน” และ ไม่ทั้ง “ศักดิ์สิทธิ์” หรือ ไม่แม้แต่เป็น “จักรวรรดิ” เมื่อเทียบกับ “จักรวรรดิบริติช” มีความเห็นว่าจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เป็นความล้มเหลวอันใหญ่หลวงที่รุ่งเรืองถึงจุดสูงสุดเมื่อต้นยุคกลาง และเสื่อมโทรมลงตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา<ref>James Bryce (1838-1922), ''Holy Roman Empire,'' London, 1865.</ref> หลังจากการตีพิมพ์งานของเจมส์ ไบรซ์ชิ้นใหญ่เกี่ยวกับจักรวรรดิที่มีชื่ออันเหมาะสมว่า “จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์” เป็นเวลาเกือบหนึ่งร้อยปี ทัศนคตินี้ก็เป็นทัศนคติของนักประวัติศาสตร์ของ[[สมัยใหม่ตอนต้น]]เกือบทุกคนเรื่อยมา ซึ่งมีส่วนในการวางรากฐานของปรัชญาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เยอรมันที่เป็นที่โต้แย้งกันที่เรียกว่า “[[วิถีพิเศษ]]” (Sonderweg)<ref>James Sheehan, ''German History 1770-1866'', Oxford, Oxford University Press, 1989. Introduction, pp. 1-8.</ref> |
||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:01, 23 กันยายน 2562
อำนาจอธิปไตยซึ่งประมุขขึ้นโดยตรงต่อจักรพรรดิ[1] (อังกฤษ: Imperial immediacy) หรือทับศัพท์ว่าไรชส์อุนมิทเทิลบาร์ไคท์ (เยอรมัน: Reichsunmittelbarkeit) เป็นสถานะเอกสิทธิ์ทางการเมืองตามระบบเจ้าขุนมูลนายที่จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์มอบให้แก่จักรพรรดินครอิสระ รัฐคริสตจักร หรือราชรัฐ รัฐที่ได้รับ "ไรชส์อุนมิทเทิลบาร์ไคท์" เช่น แอบบีดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และสภานิติบัญญัติ (Reichstag) โดยไม่ตัองมีเจ้าผู้ครองอื่นเป็นตัวกลาง ในภาษาสมัยปัจจุบันก็หมายถึงรูปแบบของรัฐที่ปกครองตนเอง
ผลได้ผลเสีย
ผลได้ของการมีไรชส์อุนมิทเทิลบาร์ไคท์ คือสิทธิในการเรียกเก็บภาษีและค่าธรรมเนียม มีตลาด พิมพ์เหรียญกษาปณ์ มีกองทัพ และมีระบบยุติธรรมของตนเองได้ สิทธิหลังสุดอาจจะรวม “ศาลเลือด” (Blutgericht) หรือศาลอาญาที่มีสิทธิลงโทษผู้ทำผิดถึงประหารชีวิตได้ สิทธิเหล่านี้ขึ้นอยู่การการมอบให้ในพระราชประกาศสิทธิโดยพระจักรพรรดิ
ผลเสียของมีไรชส์อุนมิทเทิลบาร์ไคท์อาจจะรวมทั้งการเข้ายุ่งเกี่ยวโดยตรงโดยตรงของจักรวรรดิ เช่นที่เกิดขึ้นหลายครั้งในเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้หลังจากสงครามชมาคาลดิค (Schmalkaldic War) และการจำกัดหรือการสูญเสียสิทธิที่ได้รับมอบทั้งหมดถ้าพระจักรพรรดิหรือสภานิติบัญญัติไม่สามารถปกป้องสิทธิดังกล่าวได้จากการต่อต้านหรือรุกรานจากภายนอก เช่นที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามมหาสัมพันธมิตรครั้งที่หนึ่งของสงครามการปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolutionary Wars) หรือระหว่างสงครามมหาสัมพันธมิตรครั้งที่สองในสงครามนโปเลียน สนธิสัญญาลูเนวิลล์ ที่ลงนามกันเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1801 ระหว่างสาธารณรัฐฝรั่งเศสและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ระบุให้พระจักรพรรดิสละพระราชสิทธิทุกอย่างที่มีต่อจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ในการประชุมครั้งสุดท้ายของชสภานิติบัญญัติแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (เยอรมัน: Reichsdeputationshauptschluss) ในปี ค.ศ. 1802 ถึงปี ค.ศ. 1803 หรือที่เรียกว่า “การปฏิรูปดินแดนในเยอรมนี” จักรพรรดินครอิสระและอิมพีเรียลแอบบีเกือบทั้งหมดต่างก็สูญเสีย “ไรชส์อุนมิทเทิลบาร์ไคท์” และถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐราชวงศ์ต่างๆ
ปัญหาในความเข้าใจจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
การที่จะทำความเข้าใจถึงการมอบหรือการใช้ “ไรชส์อุนมิทเทิลบาร์ไคท์” ทำให้ประวัติของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เป็นระบบที่ยากต่อการเข้าใจ โดยเฉพาะในบรรดานักประวัติศาสตร์ แม้แต่โดยนักประวัติศาสตร์ร่วมสมัยเช่นโยฮันน์ โวล์ฟกัง ฟอน เกอเธอ และ โยฮันน์ กอทท์ลีบ ฟิคท์ (Johann Gottlieb Fichte) ผู้เรียกจักรวรรดิว่า “มหายักษ์” ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 นักประวัติศาสตร์ผู้เขียนเกี่ยวกับจักรวรรดิว่าไม่เป็นทั้ง “โรมัน” และ ไม่ทั้ง “ศักดิ์สิทธิ์” หรือ ไม่แม้แต่เป็น “จักรวรรดิ” เมื่อเทียบกับ “จักรวรรดิบริติช” มีความเห็นว่าจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เป็นความล้มเหลวอันใหญ่หลวงที่รุ่งเรืองถึงจุดสูงสุดเมื่อต้นยุคกลาง และเสื่อมโทรมลงตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา[2] หลังจากการตีพิมพ์งานของเจมส์ ไบรซ์ชิ้นใหญ่เกี่ยวกับจักรวรรดิที่มีชื่ออันเหมาะสมว่า “จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์” เป็นเวลาเกือบหนึ่งร้อยปี ทัศนคตินี้ก็เป็นทัศนคติของนักประวัติศาสตร์ของสมัยใหม่ตอนต้นเกือบทุกคนเรื่อยมา ซึ่งมีส่วนในการวางรากฐานของปรัชญาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เยอรมันที่เป็นที่โต้แย้งกันที่เรียกว่า “วิถีพิเศษ” (Sonderweg)[3]
อ้างอิง
- Braun, B.: Reichsunmittelbarkeit in German, French and Italian in the online Historical Dictionary of Switzerland. Version of 2005-05-03. URL last accessed 2006-11-29.
- Bryce, James (1838-1922), Holy Roman Empire, London, 1865.
- Sheehan, James, German History 1770-1866, Oxford, Oxford University Press, 1989.