ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขด้วยแอปสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 24: บรรทัด 24:
[[หมวดหมู่:เสียชีวิตจากมะเร็งปอด]]
[[หมวดหมู่:เสียชีวิตจากมะเร็งปอด]]
[[หมวดหมู่:ราชสกุลสนิทวงศ์]]
[[หมวดหมู่:ราชสกุลสนิทวงศ์]]
[[หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ต.ช.]]
[[หมวดหมู่:สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ท.ม.]]
{{โครงชีวประวัติ}}
{{โครงชีวประวัติ}}

รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:50, 8 ตุลาคม 2558

เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ ชื่อเล่น ตั้ว อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ

ประวัติ

เกริกเกียรติเกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2492[1] เป็นบุตรของนิธิพัฒน์ (บิดา) กับอินทิรา (มารดา; สกุลเดิม: อินทรทูต บุตรสาวพระพินิจชนคดี (พินิจ อินทรทูต) กับหม่อมหลวงอรุณ สนิทวงศ์[2]) จบการศึกษาระดับปริญญาโท ทางบริหารธุรกิจ สาขาการเงิน จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน สหรัฐอเมริกา

เกริกเกียรติเคยทำงานกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ ก่อนจะเข้าทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นเวลา 10 ปี ตำแหน่งสุดท้ายคือหัวหน้าส่วนวิเคราะห์สถาบันการเงิน[3] ต่อมาในปี พ.ศ. 2529 เกริกเกียรติเข้าทำงานที่ ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวฝ่ายมารดา ในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ และผู้อำนวยการฝ่ายสาขา ก่อนจะรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ในเวลาต่อมา เกริกเกียรติขยายกิจการของธนาคารฯ โดยมุ่งเน้นสายงานวาณิชธนกิจ, บริหารการเงิน และการต่างประเทศ ภายใต้การดำเนินงานของราเกซ สักเสนา นักการเงินชาวอินเดีย ซึ่งขณะนั้นเป็นที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่[3]

ในช่วงปี พ.ศ. 2536-2538 ราเกซทำธุรกรรมทางการเงินแบบพิสดาร ในนามของธนาคารฯ[3] ทั้งการปล่อยกู้ให้กับนักลงทุน ที่ต้องการเทคโอเวอร์กิจการในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำไปขายทำกำไร โดยมีลูกค้าส่วนหนึ่ง เป็นนักการเมืองสังกัดกลุ่ม 16[4] (กลุ่มการเมืองที่นำโดย เนวิน ชิดชอบ, สุชาติ ตันเจริญ, ชูชีพ หาญสวัสดิ์, สรอรรถ กลิ่นประทุม) หรือการปล่อยสินเชื่อให้กับกิจการต่างชาติ โดยหารายได้จากค่าธรรมเนียมธุรกรรมการเงิน[3] จนกระทั่งเกิดหนี้เสีย และถูกควบคุมโดยธนาคารแห่งประเทศไทย

ในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2539 ธนาคารแห่งประเทศไทย เข้ายึดและสั่งปิดกิจการ ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ พร้อมทั้งฟ้องศาลให้ดำเนินคดีกับเกริกเกียรติและราเกซ ว่ากระทำผิดตามกฎหมายธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และ กฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ในข้อหาฉ้อโกงและยักยอกรวมทั้งสิ้น 17 คดี มูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท[4] ต่อมา ศาลชั้นต้นมีคำตัดสินเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2552 สั่งจำคุกเกริกเกียรติเป็นเวลา 20 ปี และปรับเป็นเงิน 3,100 ล้านบาท[5][6]

เกริกเกียรติเสียชีวิตเมื่อวันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ด้วยโรคมะเร็งในปอด ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กรุงเทพมหานคร ขณะมีอายุ 63 ปี[7]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

อ้างอิง