ผลต่างระหว่างรุ่นของ "มาร์แต็งแห่งตูร์"
พุทธามาตย์ (คุย | ส่วนร่วม) ล มาร์ตินแห่งทัวร์ ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น มาร์แต็งแห่งตูร์: ทับศัพท์ตามภาษาฝรั่งเศส |
ล r2.6.3) (โรบอต เพิ่ม: sr:Мартин Турски |
||
บรรทัด 100: | บรรทัด 100: | ||
[[sl:Sveti Martin]] |
[[sl:Sveti Martin]] |
||
[[sq:Martini i Toursit]] |
[[sq:Martini i Toursit]] |
||
[[sr:Мартин Турски]] |
|||
[[sv:Martin av Tours]] |
[[sv:Martin av Tours]] |
||
[[sw:Martino wa Tours]] |
[[sw:Martino wa Tours]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:07, 11 พฤศจิกายน 2554
นักบุญมาร์แต็งแห่งตูร์ นักบุญมาร์แต็งแห่งตูร์ | |
---|---|
นักบุญมาร์แต็งแห่งตูร์แบ่งเสื้อให้ยาจก | |
บิชอปและธรรมสักขี | |
เกิด | ราวปี ค.ศ. 316 หรือ 317 บริเวณแพนโนเนีย ในประเทศฮังการี |
เสียชีวิต | 11 พฤศจิกายนปี ค.ศ. 397 เมืองคองเดส์ ซองมาร์แตงในประเทศฝรั่งเศส |
นิกาย | โรมันคาทอลิก ลูเทอแรน |
วันฉลอง | 11 พฤศจิกายน |
สัญลักษณ์ | คนขี่ม้าผู้ยกเสื้อคลุมให้ขอทาน, คนตัดเสื้อคลุม, ลูกโลกมีไฟลุก, ห่าน |
องค์อุปถัมภ์ | ปฏิปักษ์ต่อความยากจน, ปฏิปักษ์ต่อการติดสุรา, ขอทาน, บัวโนสไอเรส, ทหาร, ผู้แสดงการขึ่ม้า, ประเทศฝรั่งเศส, ห่าน, ม้า, เจ้าของโรงแรม, ช่างตัดเสื้อ, ผู้ทำไร่องุ่น, ผู้ทำเหล้าไวน์, และเมืองต่างๆ |
นักบุญมาร์แต็งแห่งตูร์ (ฝรั่งเศส: Martin de Tours; อังกฤษ: Martin of Tours; ละติน: Martinus) ราวปี ค.ศ. 316 หรือ 317 ที่บริเวณแพนโนเนียในประเทศฮังการีปัจจุบัน และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนปี ค.ศ. 397 ที่เมืองแคนเดสซองมาร์แตง เป็นบาทหลวงของเมืองทัวส์ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเมืองที่นักแสวงบุญที่เดินทางไปซานเตียโกเดกอมโปสเตลา ประเทศสเปนนิยมหยุดพัก ตำนานเกี่ยวกับนักบุญมาร์แต็งมึด้วยกันหลายเรื่องจนเป็นนักบุญองค์หนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีในนิกายโรมันคาทอลิก ตำนานบางอย่างก็ถูกบันทึกลงใน “vita” หรือชีวประวัติของนักบุญเพื่อเพิ่มความน่าเลื่อมใสในลัทธิบูชานักบุญมาร์แต็ง ชีวประวัติของท่านถูกบันทึกโดยซุลพิเชียส เซเวรุส (Sulpicius Severus) ผู้เป็นนักเขียนชีวประวัตินักบุญ มาร์แต็งเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ประเทศฝรั่งเศสและทหาร
ชีวิตเบื้องต้น
ชื่อของนักบุญมาร์แต็งตั้งตาม “Mars” คือเทพเจ้าแห่งสงครามซึ่งเป็นเทพเจ้าโรมัน ซึ่งซุลพิเชียส เซเวรุสตีความหมายว่า “ผู้กล้าหาญ” นักบุญมาร์แต็งเกิดที่เมืองซาวาเรีย บริเวณแพนโนเนีย ในประเทศฮังการีในปัจจุบัน พ่อของมาร์แต็งเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของทหารม้ารักษาพระองค์ซึ่งเป็นหน่วยหนึ่งของกองทัพจักรวรรดิโรมัน ซึ่งต่อมาถูกส่งตัวไปประจำการที่ทิซินุม (Ticinum) ในปัจจุบันคือบริเวณปาเวีย (Pavia) ในประเทศอิตาลีซึ่งเป็นที่ที่มาร์ตินเติบโต
พออายุได้ 10 ขวบมาร์ตินก็ไปโบสถ์ทั้งๆ ที่ขัดกับความประสงค์ของพ่อแม่และถูกเลือกให้รับศึลจุ่ม เมื่อปี ค.ศ. 316คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมายของจักรวรรดิโรมันแล้ว แต่ยังไม่เป็นศาสนาที่เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายเท่าทางอาณาจักรโรมันตะวันออก การเผยแพร่ศาสนาทางอาณาจักรโรมันตะวันตกก็มากับชาวยิวและชาวกรีกที่เข้ารึตที่มาทำการค้าขาย แต่ศาสนาคริสต์ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับกันในหมู่ชาวโรมันชั้นสูงและในบรรดาทหาร ซึ่งจะนิยมลัทธิบูชา “ไมทรัส” มากกว่า ถึงแม่ว่าจักรพรรดิคอนแสตนตินที่ 1เองจะทรงเปลี่ยนมานับถือคริสต์ศาสนาและทรงสนับสนุนการสร้างโบสถ์โดยทั่วไปเพื่อเผยแพร่ศาสนา แต่คริสต์ศาสนาในขณะนั้นก็ยังเป็นศาสนาที่นับถือกันในกลุ่มของชนส่วนน้อย เมื่ออายุได้สิบห้าปีมาร์แต็งก็ต้องเข้าเป็นทหารม้าเพราะพ่อเคยรับราชการมาก่อนและถูกส่งตัวไป “Ambianensium civitas” ซึ่งในปัจจุบันคือเมืองอาเมียงในประเทศฝรั่งเศส
ตำนานเสื้อคลุม
ขณะที่มาร์แต็งยังเป็นทหารอยู่ที่เมืองอาเมียงท่านก็มีวิสัยทัศน์ในภาพชีวิตของท่านเองครั้งแล้วครั้งเล่า ภาพที่เห็นคือท่านจะยืนอยู่หน้าประตูเมืองอาเมียงกับทหารเมื่อท่านเห็นขอทาน ท่านก็ตัดสินใจทันทีโดยตัดเสื้อคลุมทหารที่ท่านใส่อยู่เป็นครึ่งแล้วยกครึ่งหนึ่งให้กับขอทาน พอตกกลางคืนท่านก็ฝันเห็นพระเยซูใส่เสื้อคลุมครึ่งตัวที่ท่านตัดให้ขอทาน และได้ยินพระเยซูกล่าวกับเทวดาว่า “นี่คือมาร์แต็ง ทหารโรมันผู้ที่ยังมิได้รับศีลจุ่ม เขาให้เสื้อฉันใส่” [1] อีกเรื่องหนึ่งกล่าวว่าเมื่อมาร์แต็งตื่นขึ้นมาเสื้อที่ตัดไปกลับมาเป็นเสื้อคลุมเต็มตัวตามเดิม เสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ก็เก็บรักษาไว้เป็นส่วนหนึ่งของสมบัตืเรลิกของพระเจ้าแผ่นดินราชวงศ์เมโรวิงเจียนซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินของชนแฟรงก์ต่อมา
ความฝันทำให้มาร์แต็งรู้ตัวว่าตนเองเป็นผู้มีความมีศรัทธาแก่กล้าต่อคริสต์ศาสนา จึงได้ทำการรับศีลจุ่มเมื่ออายุได้ 18 ปี[2] มาร์ตินเป็นทหารต่อมาอีกสองปีจนกระทั่งเกิดสงครามกับพวกกอล (Gauls) ที่เมืองเวิร์มส์ในประเทศเยอรมันนีเมื่อ ค.ศ. 336 มาร์ตินก็ไม่ยอมต่อสู้เพราะมีความเชื่อว่าความเชื่อในคริสต์ศาสนาเป็นการยับยังไม่ให้ต่อสู้ มา มาร์ตินกล่าวว่า “ข้าเป็นทหารของพระเยซู ข้าไม่สามารถทำการต่อสู้ได้” มาร์ตินจึงถูกกล่าวหาว่าขึ้ขลาดและถูกจำคุกแต่เพี่อเป็นการแสดงว่าท่านมืได้มีความขี้ขลาดอย่างที่ถูกกล่าวหา ท่านก็ทรงอาสาออกไปปรากฏตัวต่อหน้าศตรูโดยไม่พกอาวุธ นายทหารก็เกือบจะให้นักบุญมาร์แต็งทำอย่างที่อาสา แต่ข้าศึกก็มาขอสงบศึกเสียก่อนที่มาร์ตินจะได้แสดงความกล้าหาญอย่างที่กล่าว หลังจากนั้นมาร์ตินก็ถูกปลดประจำการ[3]
หลังจากนั้นมาร์แต็งก็ประกาศตนเป็นคริสต์ศาสนิกชนและเดินทางไปเมืองทัวร์เพื่อไปเป็นสาวกของนักบุญอีแลร์แห่งปัวตีเย (Hilary of Poitiers) ผู้เป็นผู้สนับสนุนแนวคิดตรีเอกภาพ (Trinitarian) และเป็นปฏิปักษ์ต่อปรัชญาทวิเอกภาพหรือลัทธิเอเรียน (Arianism) ของขุนนางชาววิสิกอธ (Visigoth) เมื่อนักบุญอีแลร์ถูกขับออกจากเมืองปัวตีเย มาร์แต็งก็กลับไปอิตาลี ระหว่างทางนักบุญมาร์แต็งก็ชักชวนคนเข้ารีตไปด้วยตามคำของซุลพิเชียส เซเวรุส ขณะเดียวกันก็ผจญปีศาจ เมื่อกลับมาจากอิลลิเรีย (Illyria) ซึ่งอยู่ในบริเวณคาบสมุทรบัลคานในปัจจุบันนักบุญมาร์แต็งก็ต้องเผชิญหน้ากับอ็อกเซ็นเทียส (Auxentius) ผู้เป็นอาร์ชบิชอปแห่งมิลาน ผู้นับถือลัทธิเอเรียนผู้ไล่มาร์แต็งออกจากเมือง ตามตำนานก็ว่ามาร์แต็งไปหาที่หลบภัยที่เกาะกาลลินาเรีย (Gallinaria) ซึ่งปัจจุบันคือเกาะอัลเบนยา (Isola d'Albenga) ในทะเลไทเรเนียน (Tyrrhenian Sea) ซึ่งเป็นที่ที่มาร์แต็งใช้ชีวิตอย่างสันโดษ
โจมตีผู้นับถือลัทธิอาเรียน
เมื่อนักบุญอีแลร์แห่งปัวตีเย (Hilaire) กลับมาเมื่อ ค.ศ. 361 ก็ร่วมกับมาร์ตินในการก่อสร้างอารามที่ต่อมาเป็นอารามคณะเบเนดิกตินลิกูจ์ (Ligugé Abbey) ซึ่งกลายมาเป็นสถานที่สำคัญในการสอนศาสนาของบริเวณนั้น นักบุญมาร์ตินก็เดินทางไปทั้งด้านตะวันตกของกอลเพื่อเผยแพร่ศาสนา “รายละเอียดของการเดินทางเผยแพร่ศาสนายังเหลือให้เราทราบตามตำนานที่มาร์ตินเป็นผู้มีบทบาทซึ่งทำให้เราเห็นแผนการเดินทางอย่างคร่าวๆ” (Catholic Encyclopedia)
เมื่อปี ค.ศ. 371 มาร์แต็งก็เป็นบิชอปของตูร์ ผู้ซึ่งมีบทบาทในการสั่งให้ทำลายและเผาวิหารของต่างศาสนา การกระทำเช่นนี้ทำให้เราเห็นภาพว่าวัฒนธรรมดรูอิดยังมีรากฐานลึกกว่าวัฒนธรรมของโรมันที่มีเพียงผิวเผิน เช่นเมื่อนักบุญมาร์แต็งสั่งให้ทำลายวิหารโบราณของดรูอิดซึ่งอยู่กลางดงสน เมื่อทำลายโบสถ์ชาวบ้านก็มิได้ต่อต้านมากเท่าใด แต่เมื่อนักบุญมาร์แต็นสั่งให้ตัดต้นไม้ชาวบ้านก็ประท้วงกัน (ซุลพิเชียส , “Vita” บทที่ xiii) ซุลพิเชียสกล่าวว่าหลังจากนั้นมาร์ตินก็ไปเมืองมาร์มูเตียร์ ซึ่งเป็นอารามที่มาร์ตินตั้งขึ้นอยู่บนฝั่งตรงข้ามกับเมืองทัวร์ จากที่นี่มาร์ตินก็เริ่มระบบโบสถ์ประจำท้องถิ่นอย่างคร่าวๆ
อ้างอิง
- ↑ Sulpicius, ch 2
- ↑ Patron Saints Index: Saint Martin of Tours
- ↑ Kurlansky, Mark (2006). Nonviolence: twenty-five lessons from the history of a dangerous idea. Pp 26-27.