บัสตีย์

พิกัด: 48°51′12″N 2°22′09″E / 48.85333°N 2.36917°E / 48.85333; 2.36917
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บัสตีย์
ปารีส ฝรั่งเศส
มุมมองด้านตะวันออกของคุกบัสตีย์ วาดขึ้นในราว ค.ศ. 1790
บัสตีย์ตั้งอยู่ในปารีส
บัสตีย์
บัสตีย์
พิกัด48°51′12″N 2°22′09″E / 48.85333°N 2.36917°E / 48.85333; 2.36917
ประเภทป้อมปราการสมัยกลาง, เรือนจำ
ข้อมูล
สภาพถูกทำลาย, มีเพียงชิ้นงานหินบางส่วนที่รอดมาถึงปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์
สร้างคริสต์ทศวรรษ 1370–1380
สร้างโดยพระเจ้าชาร์ลที่ 5 แห่งฝรั่งเศส
รื้อถอนค.ศ. 1789–90
เหตุการณ์สงครามร้อยปี
สงครามศาสนา
ฟรงด์
การปฏิวัติฝรั่งเศส

บัสตีย์ (ฝรั่งเศส: Bastille; ออกเสียง: [bastij] ( ฟังเสียง)) เป็นป้อมปราการที่ตั้งอยู่ในปารีส ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า บัสตีย์แซ็งต็องตวน (Bastille Saint-Antoine) ป้อมบัสตีย์มีบทบาทสำคัญในความขัดแย้งภายในของฝรั่งเศส และในประวัติศาสตร์นั้น พระมหากษัตริย์ของฝรั่งเศสมักใช้ป้อมบัสตีย์เป็นเรือนจำของรัฐ ในการปฏิวัติฝรั่งเศส ฝูงชนได้ทลายคุกบัสตีย์ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1789 เหตุการณ์นี้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของขบวนการนิยมระบอบสาธารณรัฐฝรั่งเศส ในภายหลัง ป้อมบัสตีย์ถูกรื้อถอนและถูกแทนที่ด้วยจัตุรัสบัสตีย์ (Place de la Bastille)

ตัวป้อมนั้นมีแผนที่จะสร้างในช่วงปี 1357 แต่เริ่มสร้างอย่างจริงจังในช่วงปี 1370 เพื่อป้องกันการบุกโจมตีของชาวอังกฤษในช่วงสงครามร้อยปี โดยตัวอาคารประกอบไปด้วยหอคอย 8 หอในการเสริมสร้างโครงสร้างให้แข็งแรง ตั้งอยู่ที่บริเวณประตูปอร์ตแซ็งต็องตวน (Porte Saint-Antoine) ทางทิศตะวันออกของปารีส ในฐานะป้อมปราการป้องกันข้าศึก บัสตีย์ผ่านเหตุการณ์การต่อสู้มานับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับชาวบูร์กอญและพวกกลุ่มอาร์มาญักในช่วงศตวรรษที่ 15 หรือในช่วงสงครามศาสนาในศตวรรษที่ 16 ซึ่งในช่วงนั้นยังมีการขยายแนวป้องกันด้วยการขยายกำแพงเมืองสร้างเป็นมุขกำแพงยื่นออกไปหน้าป้อม เพื่อทำให้การป้องกันของป้อมแน่นหนาขึ้น ในขณะเดียวกันป้อมบัสตีย์ก็ยังใช้เป็นเรือนจำขังพวกนักโทษด้วย โดยเริ่มขังนักโทษชาวอังกฤษในช่วงปี 1417 ก่อนจะเริ่มขยายพื้นที่ในทศวรรษ 1420 และอีกครั้งในช่วงสมัยการปกครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 แห่งฝรั่งเศส

ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ป้อมหรือคุกบัสตีย์นี้มีหน้าที่หลักคือการคุมขังพวกขุนนางที่เห็นต่างกับพระเจ้าหลุยส์ โดยนับตั้งแต่ปี 1659 เป็นต้นมา ป้อมบัสตีย์มีหน้าที่เป็น "เรือนจำของรัฐ" ซึ่งคาดการณ์กันว่านับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปี 1789 มีนักโทษถูกส่งเข้าไปนอนในเรือนจำไม่ต่ำกว่า 5279 คน ซึ่งในจำนวนนี้ถูกคุมขังเป็นส่วนมากในช่วงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 และพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งคนส่วนมากที่ถูกจับเข้าไปคุมขังส่วนมากเป็นคนทีเห็นต่างทางการเมือง และป้อมนี้ยังใช้สนับสนุนปฏิบัติของตำรวจปารีส โดยเฉพาะในการบังคับใช้การตรวจพิจารณาสื่อสิ่งพิมพ์ในช่วงนั้น นั่นทำให้คุกแห่งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ่อยครั้งในช่วงศตวรรษที่ 18 และยิ่งมีแรงหนุนสำคัญจากการเขียนหนังสืออัตชีวประวัติของเหล่านักโทษที่เคยถูกคุมขังในคุกบัสตีย์ ในที่สุดจึงต้องมีการปฏิรูปคุกครั้งใหญ่ซึ่งทำให้มีการกักขังนักโทษลดลงเป็นอย่างมาก

ทว่าแค่นั้นก็ไม่พอที่จะลดกระแสความไม่พอใจลงไปได้ ในวันที่ 14 กรกฎาคม 1789 ฝูงชนจำนวนมากบุกเข้าถล่มคุกบัสตีย์เพื่อเอาพวกดินปืนอันมีค่า จากนั้นก็ปลดปล่อยนักโทษที่อยู่ในนั้นเพียงแค่ 7 คน นี่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของการปฏิวัติฝรั่งเศส หลังจากการทลายคุกบัสตีย์รัฐบาลใหม่ก็ได้มีคำสั่งรื้อถอนคุกบัสตีย์แห่งนี้แล้วนำอิฐไปใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของเมือง การกระทำนี้ถูกมองว่าเป็นการทำลายระบบการผูกขาดอำนาจเบ็ดเสร็จและระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของฝรั่งเศส หลังจากนั้นพื้นที่แห่งนี้ก็ได้รับการพัฒนาเป็นจัตุรัส และเป็นพื้นที่สำคัญในการเรียกร้องประเด็นสำคัญต่าง ๆ ของชาวฝรั่งเศส

ประวัติ[แก้]

ช่วงศตวรรษที่ 14[แก้]

ภาพประวัติศาสตร์ของคูคลองรอบกำแพงเมืองปารีส (ซ้าย), และป้อมบัสตีย์และประตูปอร์ตแซ็งต็องตวน (ขวา) ในปี 1420

ป้อมบัสตีย์สร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์หลักคือการป้องกันพวกอังกฤษในระหว่างสงครามร้อยปี โดยแต่เดิมนั้นศูนย์กลางอำนาจของปารีสอยู่ที่พระราชวังลูฟวร์ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก แต่เพราะสงครามกับพวกอังกฤษนั้นเน้นหนักไปที่การต่อสู้ในทางฝั่งตะวันออก ทำให้เมืองต้องขยายตัวขึ้น และสถานการณ์การต่อสู้กับทางอังกฤษของฝรั่งเศก็ย่ำแย่ลงเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่การที่พระเจ้าฌ็องที่ 2 ถูกพวกอังกฤษจัมกุมตัวไปหลังความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสในยุทธการที่ปัวตีเย เหตุการณ์นั้นเร่งให้ต้องมีการป้องกันเมืองปารีสครั้งใหญ่ โดยภาวะขาดผู้นำทำให้เอเตียน มาร์แซล (Étienne Marcel) ขึ่นมาเป็นผู้ครองนครปารีส และเร่งรัดในการสร้างหอคอยสูงขึ้นมาที่ประตูปอร์ตแซ็งต็องตวน โดยมีแผนเริ่มสร้างในช่วงปี 1357 แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ เพราะเอเตียน มาร์แซล ผู้เป็นแม่งานโดนประหารไปเสียก่อน

ต่อมาในปี 1369 พระเจ้าชาร์ลที่ 5 มีความกังวลในสถานการณ์แนวป้องกันฝั่งตะวันออกที่ต้องทำกับพวกอังกฤษและพวกทหารรับจ้าง พระเจ้าชาร์ลที่ 5 จึงให้รื้อฟื้นโครงการ "บัสตีย์" ขึ้นมา ปรับโครงสร้างเล็กน้อย ใหสร้างหอคอยสี่อัน เป็นคู่หนึ่งทางทิศเหนือและอีกคู่ทางทิศใต้ ตัวป้อมเริ่มสร้างในปี 1370 ซึ่งก็มาสร้างเสร็จในสมัยพระเจ้าชาร์ลที่ 6 อันเป็นสมัยพระราชโอรส โดยป้อมบัสตีย์ที่สร้างเสร็จนั้นก็เป็นป้อมที่ประกอบด้วยหอคอยสูงแปดหอคอยที่เชื่อมต่อกันด้วยกำแพงอิฐยาวกว่า 223 ฟุต (68 เมตร) กว้าง 121 ฟุต (37 เมตร) และมีความสูงที่ 78 ฟุต (24 เมตร) ด้วยความสูงของหอคอยที่เท่ากันทำให้ที่ด้านบนมีการสร้างทางเดินเชื่อมระหว่างหอคอยท้งหมดเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเป็นแนวป้องกัน สำหรับหอคอยทั้งแปดนั้นสองหอคอยเก่าที่สร้างตั้งแต่เริ่มแรกนั้นจะไม่มีชั้นใต้ดินใต้หอคอย บริเวณด้านนอกยังผันน้ำจากแม่น้ำแซมมาเป็นคูน้ำรอบปราการ นอกจากนี้ไม่ห่างไปจากที่ตั้งของบัสตีย์ทางทิศตะวันตก ก็ยังมีนิวาสสถานเก่าของพระเจ้าชาร์ลที่ 5 ที่อพยพมาตั้งหลักอยู่ตรงนี้ ด้วยเพราะว่ามองว่าพื้นที่ของบัสตีย์นั้นปลอดภัยที่สุด

นักประวัติศาสตร์อธิบายว่าป้อมบัสตีย์นั้นเป็น "ป้อมที่ทรงอำนาจมากที่สุดในยุคกลาง" โดยบัสตีย์เป็นป้อมสำคัญในช่วงปลายยุคกลางของปารีส สำหรับป้อมบัสตีย์นั้นถูกสร้างขึ้นโดยพัฒนาการออกแบบมาจากปราสาทในชนบทที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 ที่มักจะค่อนข้างอ่อนแอ และมีหอคอยสูงคอยสั่งการหอคอยต่าง ๆ ซึ่งเป็นการยากลำบากที่จะปรับรูปแบบการป้องกันด้านบนหอคอยหากทหารบนหอคอยเป็นอะไรไป นั่นเป็นเหตุผลทำให้บัสตีย์มีหอคอยทุกหอสูงเท่ากันและมีทางเชื่อมเดินถึงกัน เพื่อสามารถส่งกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ไปยังพื้นที่ว่างของหอคอยในการป้องกันได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งต่อมาความคิดทางด้านสถาปัตยกรรมของบัสตีย์ก็ได้รับการปรับใช้ในการสร้างป้อมของฝรั่งเศส ลามไปจนถึงอังกฤษที่ลอกเลียนแบบในการสร้างปราสาทนันนีย์ (Nunney Castle) ด้วยเช่นกัน

ช่วงศตวรรษที่ 15[แก้]

ในช่วงศตวรรษที่ 15 ฝรั่งเศสก็ยังคงเผชิญกับภัยคุกคามของอังกฤษอยู่เช่นเดิม รวมทั้งยังมีความขัดแย้งระหว่างชาวบูร์กอญและพวกอาร์มาญักอีกด้วย และเพราะความขัดแย้งเหล่านั้น กษัตริย์แห่งฝรั่งเศสหลายพระองค์จึงเสด็จเข้ามาประทับที่บัสตีย์ แม้ว่าที่นี่จะเป็นคุกก็ตาม เนื่องด้วยเพราะบัสตีย์เป็นจดยุทธศาสตร์สำคัญและป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดในปารีส ดั่งเช่นในสมัยของพระเจ้าชาร์ลที่ 7 แห่งฝรั่งเศส ที่เสด็จมาที่แห่งนี้ระหว่างที่พวกบูร์กอญทำการสังหารหมู่พวกอาร์มาญักกลางเมือง

ในปี 1420 พระเจ้าเฮนรีที่ 5 ทรงสามารถเข้ายึดครองปารีสได้ พระองค์ทรงเข้าควบคุมป้อมบัสตีย์กว่า 16 ปี โดยตั้ง โธมัส บัวฟาสต์ ดยุคแห่งเอ็กเซตเตอร์ (Thomas Beaufort, Duke of Exeter) เป็นผู้คุมป้อมปราการแห่งนี้ โดยภายใต้การควบคุมของอังกฤษบัสตีย์ถูกใช้ในฐานะคุกที่ใช้ขังเชลยศึกของอังกฤษ โดยในช่วงใต้การปกครองของอังกฤษ ราวปี 1430 มีบันทึกถึงความพยายามกบฎของคนในคุก ที่อาศัยทีเผลอที่พัสดีคุกกำลังหลับฉวยโอกาสยึดป้อมบัสตีย์ ซึ่งก็แน่นอนว่าความพยายามในครั้งนี้จบลงด้วยความล้มเหลว

เมื่อพระเจ้าชาร์ลที่ 7 สามารถยึดเมืองปารีสคืนได้ในปี 1437 พวกอังกฤษที่เหลืออยู่จึงรวมตัวและเสริมกำลังกันที่บัสตีย์ แต่ทหารฝรั่งเศสก็รีบทำการปิดล้อม จนในที่สุดพวกอังกฤษก็ต้องยอมแพ้และล่าถอยออกจากเมืองเนื่องด้วยอาหารที่ขาดแคลนจากการปิดล้อมหลังจากจ่ายค่าไถ่สำเร็จ หลังจากนั้นบัสตีย์ก็เป็นป้อมปราการสำคัญของเมือง จนกระทั่งล่วงมาถึงสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 พระองค์ทรงเปลี่ยนให้บัสตีย์กลายเป็นเรือนจำกลางที่ใช้ในการคุมขังคนในเมือง แต่ถึงแม้จะเปลี่ยนเป็นเรือนจำแล้วก็ตาม แต่พื้นที่เดิมบางส่วนของบัสตีย์ก็ยังคงถูกใช้เป็นโซนอาศัยในฐานะปราสาทแบบแต่ก่อน ซึ่งยังคงถูกใช้เป็นที่รองรับพักอาศัยและที่จัดงานรื่นเริงอันแสนฟุ่มเฟือยของกษัตรย์แห่งฝรั่งเศสและบุคคลสำคัญต่างๆอยู่เช่นเดิม

ช่วงศตวรรษที่ 16[แก้]

ป้อมปราการบัสตีย์และอาณาพื้นที่บริเวณใกล้เคียงในช่วงปี 1575 ซึ่งแสดงตำแหน่งของป้อมรูปดาวด้านหน้า และโรงหล่อปืนใหญ่ในบริเวณข้างเคียง

เนื่องด้วยจำนวนประชากรที่มีมากขึ้น ในช่วงศตวรรษที่ 16 ตัวเมืองปารีสจึงเริ่มขยายตัวมากขึ้น โดยขยายตัวออกสู่ชนบทนอกกำแพงเมืองปารีสเดิม โดยในช่วงเวลาที่ความเป็นเมืองกำลังก่อตัวขึ้น อาณาบริเวณพื้นที่ปอร์ตแซ็งต็องตวนและบัสตีย์ถูกพัฒนาให้เป็นฮับในการสร้างอาวุธจำพวกปืนใหญ่ และอาวุธอื่นๆที่จำเป็นในการทำสงคราม โดยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมากในช่วงสมัยพระเจ้าฟร็องซัวที่ 1 และ พระเจ้าชาร์ลที่ 9

ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1550s สมัยของพระเจ้าอ็องรีที่ 2 มีการเสริมและปรับปรุงบัสตีย์ขนานใหญ่ เนื่องด้วยพระเจ้าอ็องรีที่ 2 นั้นมีความวิตกว่าทางอังกฤษและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์จะเข้ามาโจมตีเมืองปารีส โดยการปรับปรุงบัสตีย์ในครั้งนี้ได้มีการสร้างปราสาทบริเวณทางเข้าทิศใต้เป็นเหมือนกองบัญชาการหลักของป้อม และปิดตายประตูทางเข้าที่เหลือของบัสตีย์ทั้งหมด จากนั้นที่บริเวณด้านหน้าของบัสตีย์บริเวณคูเมืองก็มีการสร้างป้อมรูปดาวขึ้นมาเพื่อเป็นปราการด่านหน้าในการป้องกันป้อมปราการและโรงงานผลิดอาวุธ โดยป้อมรูปดาวนี้มีศักยภาพและประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีกว่าหอคอยสังเกตการณ์หลายเท่าตัว ในขณะที่ประตูปอร์ตแศงต็องตวนเองก็ถูกปรับเปลี่ยนเช่นกัน โดยเปลี่ยนจากประตูชักตามสมัยของยุคกลาง เป็นการถมทางเป็นสะพานที่แข็งแรงขึ้น ส่วนประตูเมืองเดิมก็ถูกปรับปรุงให้เป็นประตูชัยทางสัญลักษณ์เสียมากกว่า

ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 บัสตีย์กลายเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ขัดแย้งสำคัญในช่วงสงครามศาสนาฝรั่งเศส ระหว่างชาวโปสแตนแตนท์และชาวคาธอลิกโดยมีชาติมหาอำนาจอื่นต่างให้การสนับสนุนกันคนละฝ่าย โดยความขัดแย้งทางศาสนานี้ตึงเครียดจนถึงคราวปะทุออกในช่วงวันแห่งการขวางกั้นซึ่งเริ่มขึ้นในวันที่ 12 พฤษภาคม 1588 เมื่อพวกคาธอลิกหัวรุนแรงเริ่มทำการจลาจลต่อต้านอำนาจการปกครองของพระเจ้าอ็องรีที่ 3 หลังจากเกิดการต่อสู้ไปทั่วทั้งกรุงปารีส พระเจ้าอ็องรีที่ 3 ก็เสด็จหนีไปอยู่ยังบัสตีย์ ก่อนจะยอมจำนนแก่อ็องรี ดยุคแห่งกีส ( Henry, the Duke of Guise) ผู้นำสันนิบาตคาธอลิก และถูกลอบสังหารในเวลาถัดมา หลังจากนั้นอ็องรี ดยุคแห่งกีสก็ได้ตั้ง ฌ็องค์ บุสซี เลอแคร์ (Jean Bussy-Leclerc) เป็นหัวหน้าผู้ควบคุมความเรียบร้อยของบัสตีย์ ซึ่งเขาก็ใช้บัสตีย์เป็นฐานที่มั่นของกลุ่มคาธอลิก และจัดการควบคุมเหล่าสมาชิกรัฐสภาแห่งปารีส (Parlement de Paris) อันเป็นพวกขุนนางที่ยังคงภักดีกับกลุ่มกษัตริย์มาขังคุกไว้ที่บัสตีย์ ซึ่งเหลา่าขุนนางและสมาชิกสภาขุนนางแห่งปารีสเหล่านี้นั้นถูกคุมขังไว้นานแรมปีจนกระทั่งชาร์ล ดยุคแห่งมาแยน (Charles, the Duke of Mayenne) เริ่มขึ้นมามีอำนาจและทำการไถ่ตัวขุนนางเหล่านั้นด้วยเงินจำนวนมาก ส่วนทางบุสซี เลอแคร์นั้นก็เริ่มที่จะเสื่อมอำนาจลงจนในที่สุดในช่วงเดือนธันวาคมปี 1592 บุสซี เลอแคร์ก็ถูกส่งกำลังมาล้อมบัสตีย์และต้องยอมคืนบัสตีย์ให้แก่ชาร์ลแต่โดยดี

บัสตีย์ในช่วงปี 1647 ภาพวาดแสดงถึงป้อมรูปดาวที่มีแนวกำแพงหินเชื่อมกับทางเข้าทิศตะวันตกของป้อมบัสตีย์อันเป็นทางเข้าหลักของตัวป้อมปราการ ซึ่งเป็นรูปแบบของป้อมบัสตีย์ภายหลังการปรับปรุงในช่วงทศวรรษที่ 1550s

พื้นที่บริเวณของบัสตีย์นั้น เป็นปราการฐานที่มั่นสำคัญของพวกสันนิบาตคาธอลิก และนักรบพันธมิตรตะวันตกอย่างทหารสเปนและทหารชาวเฟลมิส ซึ่งเป็นเวลาหลายปีมากกว่าที่พระเจ้าอ็องรีที่ 4 จะสามารถรวบรวมปารีสกลับมาเหมือนเดิมได้ โดยในช่งปี 1594 พระเจ้าอ็องรีที่ 4 ทรงนำกำลังบุกพื้นที่บัสตีย์จนเหลือเพียงแต่ป้อมปราการบัสตีย์อันเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของพวกสันนิบาตคาธอลิกเท่านั้น หลังจากความตึงเครียดอันผ่านไปหลายวัน ทั้งสองฝ่ายก็สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ โดยฝ่ายสันนิบาตคาธอลิกยอมจำนนและหนีออกจากเมืองปารีส ซึ่งส่งผลทำให้พระเจ้าอ็องรีที่ 4 สถาปนาอำนาจเต็มในการปกครองปารีสได้อีกครั้งหนึ่ง

ช่วงต้นศตวรรษที่ 17[แก้]

บัสตีย์ยังคงเป็นทั้งป้อมปราการและคุกอย่างต่อเนื่องทั้งในสมัยของพระเจ้าอ็องรีที่ 4 และพระราชโอรสของพระองค์อย่างพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 โดยเฉพาะในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ที่มีการพัฒนาปรับปรุงให้บัสตีย์กลายเป็นเครื่องมือของรัฐอย่างจริงจัง ทั้งหมดนี้เกิดจากแนวความคิดของพระคาร์ดินัลริเชอริเยอที่ต้องการสร้างความมั่นคงให้กับระบบสถาบันพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส ซึ่งบัสตียืเป็นหนึ่งในเครื่องมือการสร้างความมั่นคง ในสมัยนี้มีการเพิ่มพื้นที่คุมขังนักโทษภายในบัสตีย์ และแต่งตั้งนายทหารระดับสูงเป็นผู้ดูแลบัสตีย์แทนที่ขุนนางในราชสำนักอันเป็นประเพณีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอ็องรีที่ 4