การแสดงความรักในที่สาธารณะ
การแสดงความรักในที่สาธารณะ (อังกฤษ: public displays of affection, PDA) เป็นการแสดงความใกล้ชิดทางกายให้คนอื่นเห็น ความเหมาะสมในการแสดงความรักแตกต่างกันไปในแต่ละบริบทและวัฒนธรรม การแสดงความรักในที่สาธารณะ เช่น บนถนน มีโอกาสถูกวิจารณ์มากกว่าการกระทำแบบเดียวกันในพื้นที่ส่วนตัวที่มีแต่คนจากวัฒนธรรมเดียวกัน บางองค์กรมีกฎจำกัดหรือห้ามการแสดงความรักในที่สาธารณะ
การแสดงความรักทางกาย (physical affection) ถูกให้ความหมายว่าเป็น "การแตะต้องเพื่อแสดงความรู้สึกรักหรือเพื่อให้ผู้รับรู้สึกถึงความรัก"[1]
ธรรมเนียม[แก้]
Get a room (ไปเปิดห้องเถอะ) เป็นประโยคที่มักถูกใช้เมื่อคนไม่ยอมรับหลังเห็นสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นการแสดงความรักในที่สาธารณะที่มากเกินไป[2]
ผลกระทบต่อความสัมพันธ์[แก้]
หลายงานวิจัยพบว่าการแสดงความรักในที่สาธารณะเชื่อมโยงกับผลบวกในความสัมพันธ์แบบโรแมนติก ตัวอย่างเช่น มีการเชื่อมโยงกับการก่อให้เกิดความสัมพันธ์แบบโรแมนติกและความใกล้ชิดทางจิต[3][4] การแสดงความรักทางกายถูกแยกเป็นเจ็ดประเภท รวมถึง การจับมือ การโอบ การนวด การสัมผัสด้วยความรักใคร่ การจูบบนหน้า การกอด และการจูบปาก[1] ห้าในเจ็ดพฤติกรรมนี้ ยกเว้น การสัมผัสและการจับมือถูกเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญกับความพอใจในความสัมพันธ์และในคู่ครอง
สื่อสังคม[แก้]
การแสดงความรู้สึกต่อคนอื่นเคยจำกัดอยู่เพียงการเขียนจดหมาย การคุยทางโทรศัพท์ หรือการพูดคุยตัวต่อตัว ในโลกปัจจุบัน เว็บไซต์สื่อสังคม เช่น เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์กำลังเติบโต โดยเฟสบุ๊กมีผู้ใช้จำนวน 1.7 พันล้าน และทวิตเตอร์มีราวห้าร้อยล้านผู้ใช้[5] งานวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ผ่านเฟสบุ๊กพบว่า เมื่อคนสองคนที่สนใจในกันและกันใช้เฟสบุ๊กเป็นประจำทั้งคู่ ความสัมพันธ์ของทั้งสองเติบโตอย่างรวดเร็วมากกว่าหากไม่ใช่สื่อสังคม หลังคนสองคนพบกันและสนใจกันและกัน คนหนึ่งหรือทั้งสองอาจไปที่หน้าเฟสบุ๊กของอีกคนเพื่อหาข้อมูล เช่น รูปถ่าย สถานภาพทางความสัมพันธ์ และความสนใจ เมื่อความสัมพันธ์เริ่มขึ้น คู่รักบางคู่อาจเผยแพร่ความสัมพันธ์โดยการโพสข้อความหรือรูป รวมทั้งการตั้งเปลี่ยนสถานะความสัมพันธ์ของตน[6]
วิธีที่คนแสดงความรักผ่านเว็บสื่อสังคมอาจเป็นตัวชี้ความมั่นคงของความสัมพันธ์และบุคลิกภาพ การสื่อสารอย่างสม่ำเสมอกับคู่รักผ่านสื่อสังคมรูปแบบต่าง ๆ เป็นตัวชี้ถึงความก้าวหน้าในความสัมพันธ์ ในขณะที่ความจำกัดในการสื่อสารเป็นตัวชี้ของความเหินห่างและความสัมพันธ์ที่ถดถอย[7] อีกงานวิจัยแสดงว่าคนที่เปิดเผยสถานะความสัมพันธ์และแสดงความรักโดยการโพสเกี่ยวกับกิจกรรมร่วมกับคู่รักของตนหรือความรู้สึกที่มีต่อเขา/เธอ มักชอบแสดงความเป็นเจ้าของกับคู่ของตน[8]
การแสดงความรักในที่สาธารณะของวัยรุ่น[แก้]
เป็นที่รู้กันว่าความสัมพันธ์นอกเหนือครอบครัวมีความสำคัญมากขึ้นในช่วงวัยรุ่น แม้นักสังคมวิทยาจะทำการวิจัยเกี่ยวกับพื้นฐานของกระบวนการ[9][10] งานวิจัยและการตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของวัยรุ่นส่วนใหญ่กระทำโดยนักจิตวิทยาพัฒนาการ
ตารางด้านล่าง[11] แสดงถึงคุณภาพและบริบทของการแสดงความรักในที่สาธารณะในวัยรุ่นซึ่งอยู่ในความสัมพันธ์กับผู้เชื้อชาติเดียวกันและต่างเชื้อชาติ
พฤติกรรม | อัตราร้อยละ |
---|---|
จับมือ | 89.90 |
บอกว่าพวกเขาเป็นคู่รัก | 85.76 |
ออกไปข้างนอกตามลำพัง | 78.00 |
ออกไปข้างนอกเป็นกลุ่ม | 78.40 |
พบผู้ปกครองของกันและกัน | 75.91 |
ให้ของขวัญกันและกัน | 72.08 |
ได้รับของขวัญจากคู่ | 76.25 |
บอกรัก | 82.05 |
ถูกบอกรัก | 79.69 |
คิดว่าพวกเขาเป็นคู่รักกัน | 90.88 |
จูบ | 91.56 |
สัมผัสร่างกายใต้เสื้อผ้าหรือขณะเปลือย | 62.78 |
สัมผัสอวัยวะเพศของกันและกัน | 53.68 |
ร่วมเพศ | 42.40 |
การแสดงความรักในที่สาธารณะระหว่างคนต่างเชื้อชาติ[แก้]
ทัศนคติทางตรงละทางอ้อมต่อความสัมพันธ์ต่างเชื้อชาติมีผลกระทบอย่างมากต่อการตีความเกี่ยวกับการแสดงความรักในที่สาธารณะในบริบทนี้ ทัศนคติเหล่านี้เกิดมาจากหลายปัจจัยรวมทั้งการติดต่อสื่อสารทางสังคม ตัวอย่างเช่น การมีส่วนร่วมโดยส่วนตัวและการติดต่อแบบขยาย (ตัวแทนสื่อ) กับความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติและระหว่างคนผิวขาวและผิวสีถูกโยงเข้ากับมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติ[12] ดังนั้น ประสบการณ์ส่วนตัวและการสัมผัสกับคู่รักต่างเชื้อชาติมักเกี่ยวข้องกับทัศนคติที่ดี ผลการวิจัยนี้สนับสนุนสมมติฐานการสัมผัส (contact hypothesis) ซึ่งกล่าวว่าความสัมผัสระหว่างกลุ่มต่างเชื้อชาติจะลดความเอนเอียงและส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างเชื้อชาติ[13]
เนื่องด้วยแนวคิดเกี่ยวกับทัศนคติที่คนอื่นมีต่อความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติ คู่รักต่างเชื้อชาติหลายคู่อาจมีกลยุทธ์บางอย่างเพื่อลดการถูกประนามและการเหยียด งานวิจัยชี้ว่าคู่รักวัยรุ่นต่างเชื้อชาติมักไม่ค่อยร่วมกิจกรรมทั้งในที่ส่วนตัวและในที่สาธารณะเมื่อเทียบกับคู่รักที่มีเชื้อชาติเดียวกัน[14] พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างสองกลุ่มนี้ในการจับมือในที่สาธารณะซึ่งคู่รักต่างเชื้อชาติไม่ค่อยทำกัน ทว่าไม่พบความแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบการแสดงความรักในที่ส่วนตัว สิ่งนี้ชี้ว่าคู่รักต่างเชื้อชาติอาจกลัวที่จะโดนตัดสินด้านลบในที่สาธารณะ ทำให้พวกเขายับยั้งที่จะแสดงความรักเมื่อเทียบกับคู่รักที่มีเชื้อชาติเดียวกัน[15]
การแสดงความรักในที่สาธารณะระหว่างคนเพศเดียวกัน[แก้]
การแสดงความรักระหว่างคนเพศเดียวกันอาจสื่อหรือไม่สื่อถึงรักร่วมเพศตามแต่บริบททางวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น การแสดงความรักระหว่างคนเพศเดียวกันเป็นที่ยอมรับทางสังคมในวัฒนธรรมแอฟริกันจำนวนหนึ่ง[16] ทว่าในประเทศอื่น เช่น สหรัฐอเมริกาและโปรตุเกส อาจถือว่าเป็นตัวบ่งชี้ของรักร่วมเพศ การแสดงความรักในที่สาธารณะมักขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมซึ่งมีผลต่อมุมมองเกี่ยวกับการแสดงความรักในที่สาธารณะระหว่างคนเพศเดียวกัน
การแสดงความรักร่วมเพศในที่สาธารณะไม่เป็นที่ยอมรับในหลายวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น ในประเทศโปรตุเกส บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT) จะกระทำตามแบบที่เป็นที่ยอมรับในอุดมคติร่วมสมัยและกำหนดการทางการเมืองและเศรษฐกิจเท่านั้น คนรักร่วมเพศไม่ค่อยแสดงความรักในที่สาธารณะเนื่องจากสังคมของพวกเขาวิจารณ์การกระทำเหล่านั้นอย่างรุนแรง พวกเขาคิดว่าการที่พวกเขาทำตามสิ่งที่สังคมยอมรับเป็นการป้องกันตนเองจากการถูกจัดว่าเป็นพวกไม่ปกติ แปลก หรือนอกคอก[17] แม้ประเทศโปรตุเกสจะอนุญาตให้คนเพศเดียวกันแต่งงานกันได้ตามกฎหมายตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2553 ส่วนใหญ่เหล่าชาว LGBT ก็ยังมักไม่แสดงความรักในที่สาธารณะ รายละเอียดนี้อาจสื่อว่าการยอมรับการแต่งงานเพศเดียวกันของประเทศโปรตุเกสเป็นผลมาจากการที่ชาว LGBT ไม่เผยแพร่เรื่องทางเพศของพวกเขา ไม่ใช่เพราะว่ามหาชนในโปรตุเกสยอมรับสิ่งเหล่านี้มากกว่าที่อื่น แม้บุคคลรักร่วมเพศจะดูเหมือนรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ กับการที่ต้องถูกจำกัดให้แสดงความรักในที่ส่วนตัวเท่านั้น สิ่งเหล่านี้เหมือนเกิดขึ้นจากความกลัวที่จะถูกมองว่าแปลกมากกว่าที่จะเกิดจากความเคารพต่อความเชื่อและทัศนคติทางการเมืองของสังคม
หลายงานวิจัยศึกษาเกี่ยวกับทัศนคติทางสังคมต่อรักร่วมเพศในหลายปัจจัย งานวิจัยหนึ่งพบว่าบุคคลรักต่างเพศมีทัศนคติเชิงลบต่อบุคคลรักร่วมเพศซึ่งมีเพศเดียวกันมากกว่า นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ชายมีทัศนคติทางลบต่อผู้หญิงรักร่วมเพศน้อยกว่า และผู้หญิงรักร่วมเพศมักได้รับการยอมรับโดยรวมและทางหน้าที่ในสังคมมากกว่า[18]
ทั่วโลก[แก้]
ความเลื่อมใสในลัทธิหรือศาสนา[แก้]
ความเลื่อมใสในลัทธิหรือศาสนาเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อรูปแบบการพัฒนาความสัมพันธ์แบบโรแมนติกในแต่ละประเทศ[19] รายงานจากผู้ตอบแบบสอบถามพบว่าระดับความเลื่อมใสที่มากขึ้นไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับจำนวนคู่ครอง อย่างไรก็ตามผู้ตอบที่มีความเลื่อมใสในศาสนารายงานความใกล้ชิดต่อคู่ครองในระดับต่ำกว่า เห็นได้ว่าความเลื่อมใสในศาสนามีผลต่อการแสดงความรักโดยทั่วไป นอกจากนี้ศาสนายังเชื่อมโยงกับค่านิยมแบบอนุรักษ์นิยมที่อาจมีผลต่อการแสดงความรักในที่สาธารณะของผู้เยาว์
ความเลื่อมใสอาจส่งผลในสองทาง ชุมชนที่มีความเลื่อมใสในศาสนามักแบ่งแยกออกเป็นกลุ่ม ๆ ทั่วโลก และคนที่มีความเชื่ออันแรงกล้าในศาสนามักไม่ร่วมเพศหรือดูใจกับคนอื่นเพราะศีลธรรมทางศาสนา ในหลายศาสนาทั่วโลก ศาสนาเป็นตัวนำมุมมองทางวัฒนธรรมของการแสดงความรักในที่สาธารณะ และอาจทำให้เกิดการประณามบนฐานของกฎหมายศาสนา เช่น กฎชะรีอะฮ์ ชุดความคิดอิสลามแบบอนุรักษ์นิยม โดยเฉพาะที่อยู่บนฐานของ Salafism ห้ามไม่ให้แสดงความรักในที่สาธารณะ[20]
ยุโรปและอเมริกาเหนือ[แก้]
ในโลกตะวันตกส่วนใหญ่ เช่น ทวีปยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา และสหรัฐอเมริกา เป็นปกติที่จะเห็นผู้คนจับมือ กอด และบางครั้งจูบกันในที่สาธารณะ ทว่ามักไม่เป็นที่ยอมรับในการแสดงที่มากเกินไป เช่น การร่วมเพศ การจูบพบมักพบได้ทั่วไปในสถานที่เที่ยวกลางคืนของผู้ใหญ่ เช่น ไนท์คลับ[21]
จีน[แก้]
ในขนบธรรมเนียมแบบจีน ย่าหรือยาย แม่ และพี่สาวอมอวัยวะเพศเพื่อทำให้ทารกชายสงบลง[22][23] นอกจากนี้ยังมีการรายงานว่าแม่ชาวจีนสมัยใหม่อมอวัยวะเพศของลูกชายที่กำลังใกล้ตายเพื่อเป็นการแสดงความรักและเป็นการพยายามช่วยชีวิต เพราะพวกเขาเชื่อว่าคนเหล่านั้นจะตายเมื่อองคชาตแตะกับลำตัว[24][25][26]
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 มารดาจากชนเผ่าชาวแมนจูเหนือแถบแม่น้ำอามูร์เคยแสดงความรักต่อลูกชายด้วยการอมอวัยวะเพศของทารกชาย ขณะคิดว่าการจูบกันในที่สาธารณะเป็นสิ่งน่าขยะแขยง[27]
อินเดีย[แก้]
การแสดงความรักในที่สาธารณะไม่เป็นที่ยอมรับในประเทศอินเดีย การจูบและการกอดเป็นสิ่งต้องห้าม อย่างไรก็ตามการสัมผัสทางกายโดยเพศเดียวกันนั้นไม่เป็นไร ภายใต้ประมวลกฎหมายอาญาอินเดียหมวดที่ 294 (section 294 of the Indian Penal Code) การทำให้ผู้อื่นรำคาญโดย "การกระทำอนาจาร" นับเป็นความผิดอาญา มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน เสียค่าปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ[28] ด้วยความที่กฎข้อนี้ไม่ได้ให้ความหมายของ "การกระทำอนาจาร" อย่างละเอียด ทำให้ตำรวจและศาลขั้นต้นมักใช้เพื่อคุกคามคู่รัก เช่น ใน พ.ศ. 2550 เมื่อนักแสดง ริชาร์ด เกียร์ จูบ ศิลปา เศฏฏี ในกิจกรรมเพิ่มความตระหนักโรคเอดส์ที่เมืองนิวเดลี เขาได้โดนแจ้งจับโดยศาลอินเดีย ผู้คนเผาหุ่นจำลองของเกียร์และเศฏฏีเพราะพวกเขาโอบกอดกันในลักษณะ "ยั่วยุทางเพศ" ในที่สาธารณะ[29] กรณีการคุกคามคู่รักเหล่านี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักโดยวัยรุ่นอินเดียที่รู้สึกว่าควรเปลี่ยนแปลงแนวคิดของการคบหาและแสดงความรักในที่สาธารณะ ในอดีตกลุ่มที่ทำตัวเป็นศาลเตี้ยอาจเป็นอันตรายต่อคู่รักที่ฉลองวันวาเลนไทน์ อย่างไรก็ตาม จำนวนคู่รักที่ฉลองวันวาเลนไทน์ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากทำให้การโจมตีเหล่านี้ไม่ได้ผลในการกีดกันคู่รักอีกต่อไป[30] ความผ่อนผันในบรรทัดฐานทางสังคมของคนยุคก่อนทำให้การแสดงความรักในที่สาธารณะเป็นเรื่องปกติมากขึ้นในคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ในรัฐเกรละมีการรณรงค์การกอดและจูบในที่สาธารณะ (ภายใต้ชื่อ Kiss Of Love) เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เพื่อประท้วงต่อต้านตำรวจทางศีลธรรม (moral police)[31]
อินโดนีเซีย[แก้]
ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศซึ่งมีพลเมืองมุสลิมหนาแน่นที่สุดในโลก ข้อปฏิบัติของมุสลิมและประเพณีอิสลามขยายตัวขึ้นในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้การแสดงความรักในที่สาธารณะเป็นดั่งข้อห้าม การจูบอย่างลึกซึ้งหรือรุนแรงอาจเป็นผลให้จำคุกถึงห้าปีหรือปรับสูงสุด 250 ล้านรูเปีย (29,000 ดอลลาร์สหรัฐ)[32]
ญี่ปุ่น[แก้]
โดยทั่วไป การแสดงความรักในที่สาธารณะพบได้ไม่บ่อยนักในประเทศญี่ปุ่น นับเป็นปกติสำหรับครอบครัวญี่ปุ่นที่จะก้มหัวให้กันและกันเป็นการทักทายหรือบอกลา วัฒนธรรมญี่ปุ่นมักมีความอับอายเป็นส่วนประกอบหลักที่ส่งผลต่อพฤติกรรม และคนมักพยายามไม่ให้เสียหน้า ด้วยเหตุนี้ทำให้คนญี่ปุ่นสนใจอย่างลึกซึ้งว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับตน รวมถึงเพื่อน เพื่อนร่วมงาน คนในครอบครัว หรือแม้กระทั้งคนแปลกหน้า วัฒนธรรมมีผลกระทบโดยตรงต่อการแสดงความรักในที่สาธารณะ ทำให้ไม่บ่อยนักที่จะมีการแสดงความรักมากกว่าการจับมือในที่สาธารณะ[ต้องการอ้างอิง]
ตะวันออกกลาง[แก้]
ประเทศตะวันออกกลาง เช่น อิหร่าน อิรัก ซาอุดีอาระเบีย ซูดาน จอร์แดน และอียิปต์ มีวัฒนธรรมมุสลิมเป็นหลัก แม้การแสดงความรักในที่สาธารณะจะถือว่าไม่เหมาะสมในวัฒนธรรมและประเพณีพื้นเมือง แต่ก็แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ กฏความเหมาะสมไม่ยอมรับการแสดงความรักในที่สาธารณะ บทลงโทษอาจสาหัสขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ นักท่องเที่ยวไปยังดูไบเคยถูกจำคุกเป็นเวลานานจากการจูบในที่สาธารณะ ใน พ.ศ. 2552 คู่รักชาวอังกฤษถูกจำคุกเป็นเวลาสามเดือนและส่งกลับประเทศหลังจูบในที่สาธารณะ คู่รักที่ยังไม่แต่งงานชาวอินเดียถูกจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปีหลังกอดและจูบในรถแท็กซี่[33] คนขับรถแท็กซี่ขับพาคู่รักตรงไปยังสถานีตำรวจ การจูบถือเป็น "การกระทำผิดต่อความหมาะสมในที่สาธารณะ"
ในประเทศอิหร่าน การจับมือพบได้บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และในหมู่คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่[34]
ดูเพิ่ม[แก้]
- Affection
- Physical intimacy
- Friendship
- Interpersonal relationship
- Intimacy
- Intimate relationship
- Norm (sociology)
- รักบริสุทธิ์
- Sex in public
อ้างอิง[แก้]
- ↑ 1.0 1.1 Gulledge, A. K.; Gulledge, M. H.; Stahmann, R. F. (2003). "Romantic physical affection types and relationship satisfaction". The American Journal of Family Therapy. 31 (4): 233–242. doi:10.1080/01926180390201936.
- ↑ The Michigan Journal - Volume 25, Issue 18 - Page 7, 1996
- ↑ Diamond, L. M. (2000). "Are friends as good as lovers? Attachment, physical affection, and effects on cardiovascular arousal in young women's closest relationships". Dissertation Abstracts International, Section B the Sciences and Engineering. 60: 4272.
- ↑ Mackey, R. A.; Diemer, M. A.; O'Brien, B. A. (2000). "Psychological intimacy in the lasting relationships of heterosexual and same-gender couples". Sex Roles. 43 (3/4): 201–227. doi:10.1023/A:1007028930658.
- ↑ "STATS | Twitter Company Statistics – Statistic Brain". www.statisticbrain.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-31. สืบค้นเมื่อ 2018-02-04.
- ↑ Fox, J.; Warber, K. M.; Makstaller, D. C. (2013). "The role of Facebook in romantic relationship development: An exploration of Knapp's Relational Stage Model". Journal of Social and Personal Relationships. 30 (6): 771–794. doi:10.1177/0265407512468370.
- ↑ Sosik, V. S.; Bazarova, N. N. (2014). "Relational maintenance on social network sites: How Facebook communication predicts relational escalation". Computers in Human Behavior. 35: 124–131. doi:10.1016/j.chb.2014.02.044.
- ↑ Bowe, G. (2010). "Reading romance: The impact Facebook rituals can have on a romantic relationship". Journal of Comparative Research in Anthropology and Sociology. 1: 61–77.
- ↑ Coleman, J. S. (1961). The Adolescent Society: The Social Life of the Teenager and its Impact on Education. Westport, CT: Greenwood.
- ↑ Waller, W. (1937). "The rating and dating complex". American Sociological Review. 2 (5): 727–734. doi:10.2307/2083825. JSTOR 2083825.
- ↑ Vaquera, E.; Kao, G. (2005). "Private and Public Displays of Affection Among Interracial and Intra-Racial Adolescent Couples". Social Science Quarterly. 86 (2): 484–508. doi:10.1111/j.0038-4941.2005.00314.x.
- ↑ Lienemann, B. A.; Stopp, H. T. (2013). "The association between media exposure of interracial relationships and attitudes toward interracial relationships". Journal of Applied Social Psychology. 43: 398–415. doi:10.1111/jasp.12037.
- ↑ Allport, G. W. (1954). The nature of prejudice. Reading: Addison-Wesley.
- ↑ Vaquera, E.; Kao, G. (2005). "Private and public displays of affection among interracial and intra-racial adolescent couples". Social Science Quarterly. 86 (2): 484–508. doi:10.1111/j.0038-4941.2005.00314.x.
- ↑ Datzman, J.; Gardner, C. B. (2008). "In My Mind, We Are All Humans". Marriage and Family Review. 30: 5–24.
- ↑ Peek, Philip M. (2011). Twins in African and Diaspora Cultures: Double Trouble, Twice Blessed. Indiana University Press. p. 221. ISBN 0253223075.
- ↑ de Oliveira, J. M.; Costa, C. G.; Nogueira, C. (2013). "The Workings of Homonormativity: Lesbian, Gay, Bisexual, and Queer Discourses on Discrimination and Public Displays of Affections in Portugal". Journal of Homosexuality. 60 (10): 1475–1493. doi:10.1080/00918369.2013.819221.
- ↑ Whitley, B. E. (1988). "Sex Differences in Heterosexuals' Attitudes Toward Homosexuals: It Depends Upon What You Ask". Journal of Sex Research. 24: 287–291. doi:10.1080/00224498809551426.
- ↑ Bearman, P. S.; Bruckner, H. (2001). "Promising the Future: Virginity Pledges and First Intercourse". American Journal of Sociology. 106 (4): 859–912. doi:10.1086/320295.
- ↑ Etzioni, Amitai (2012). Hot Spots. p. 152.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-07-05. สืบค้นเมื่อ 2018-02-04.
- ↑ Avodah K. Offit (1995). Night Thoughts: Reflections of a Sex Therapist. Jason Aronson, Incorporated. p. 63. ISBN 1461629756.
- ↑ Irwin M. Marcus; John J. Francis (1975). Masturbation: from infancy to senescence. International Universities Press. p. 371. ISBN 9780823631506.
- ↑ A. Kleinman; T.Y. Lin (2013). Normal and Abnormal Behavior in Chinese Culture: Volume 2 of Culture, Illness and Healing. Springer Science & Business Media. p. 375. ISBN 9789401749862.
- ↑ C. Michele Thompson (2015). Vietnamese Traditional Medicine: A Social History. NUS Press. p. 375. ISBN 9971698358.
- ↑ Martin Roth; Russell Noyes (1988). Handbook of Anxiety: Biological, clinical, and cultural perspectives. Elsevier. p. 314. ISBN 9780444904751.
- ↑ Shirokogorov, Sergeĭ Mikhaĭlovich (1924). Social Organization of the Manchus: A Study of the Manchu Clan Organization. Royal Asiatic Society. p. i, 1-6, 122.
- ↑ http://www.indianlawcases.com/Act-Indian.Penal.Code,1860-1742
- ↑ "Kiss a miss: How much display of public affection is too much?". economictimes.indiatimes.com.
- ↑ Farmer, Ben (February 3, 2009). "Hindu extremists 'will attack Valentine's Day couples'". Telegraph, UK. London. สืบค้นเมื่อ October 16, 2010.
- ↑ B, Viju. "'Kiss of love' movement: They came, dared the mob, did it". The Times of India. สืบค้นเมื่อ 3 November 2014.
- ↑ "Indonesia bans kissing in public".
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". Going to Dubai. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-06-26. สืบค้นเมื่อ 2018-02-04.
- ↑ "Iran Safety and Security For Tourists". Let's Go Iran (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2016-06-04.