เคนนี จี
เคนนี จี Kenny G | |
---|---|
เคนนี จี ขณะแสดงที่เซี่ยงไฮ้ | |
ข้อมูลพื้นฐาน | |
ชื่อเกิด | เคนเนธ บรูซ กอลีลิกซ์ |
รู้จักในชื่อ | เคนนี จี |
เกิด | มิถุนายน 5, 1956 |
ที่เกิด | ซีแอตเทิล, วอชิงตัน, สหรัฐอเมริกา |
แนวเพลง | สมูธแจ๊ส อะดัลท์คอมเทมพอรารี |
อาชีพ | นักดนตรี, นักแต่งเพลง, โปรดิวเซอร์ |
ช่วงปี | 1973–1982 (งานกลุ่ม) 1982–ปัจจุบัน (งานเดี่ยว) |
ค่ายเพลง | Arista (1982–2006) Concord (2008–ปัจจุบัน) |
เว็บไซต์ | www.kennyg.com |
เคนเนธ บรูซ กอลีลิกซ์ (อังกฤษ: Kenneth Bruce Gorelick) (เกิด: 5 มิถุนายน 1956) รู้จักกันดีในชื่อของ เคนนี จี เป็นนักดนตรีชาวอเมริกันที่เล่นดนตรีแนว adult contemporary และเป่าแซกโซโฟนแนวสมูธแจ๊ส เขาเริ่มประสบความสำเร็จจากอัลบั้มที่ 4 "ดูโอ้โทนส์ (Duotones)" ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ขายได้ถึง 28 ล้านแผ่น จึงทำให้เขามีชื่อเสียงมากในช่วงปี 1980[1] ผลงานของ เคนนี จี นับเป็นผลงานทางดนตรีที่ประสบความสำเร็จในยอดขายสูงที่สุดในโลก ด้วยยอดขายทั่วโลกมากกว่า 75 ล้านก็อปปี๊[2]
ในปี 1997 เขาได้รับการบันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ว่าเป็นบุคคลที่เล่นโน้ตแซ็กโซโฟนยาวนานที่สุดในโลก โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า Circular breathing เคนนี จี ใช้แซ็กโซโฟน รุ่น E-Flat ซึ่งสามารถทำเวลาได้ถึง 45 นาที กับอีก 47 วินาที บันทึกไว้ที่ งาน เจแอนด์อาร์ มิวสิค เวิร์ด ณ นครนิวยอร์ก [3]
ผลงานเพลง ที่มีชื่อเสียงเช่น The Moment, Forever in Love, Song Bird, Endless Love, You're Beautiful, Titanic เป็นต้น โดยปัจจุบันเคนนี จี ใช้แซ็กโซโฟนรุ่น เซลเมอร์ มาร์ก 6 โซปราโน, อัลโต และเทเนอร์ (Selmer Mark VI Soprano, Alto and Tenor Saxophones) นอกจากนี้เขายังไปเพิ่มบางส่วนของ แซ็กโซโฟน เข้าไปด้วย จึงเรียกแซ็กโซโฟนของเขาว่า "แซ็กโซโฟน เคนนี จี "[4]
ชีวิตในวัยเด็ก
[แก้]เคนนี จี เกิดที่เมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน กับพ่อแม่ครอบครัวชาวยิว (แม่ของเขาพื้นเพเป็นคน รัฐซัสแคตเชวัน, ประเทศแคนาดา) และเติบโตย่านเมืองซีเวิร์ดพาร์ก(Seward Park), ซึ่งเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวยิว. เค้าเริ่มเข้ามาสัมผัสกับกับแซกโซโฟนเมื่อเขาชมการแสดงของคนคนหนึ่งในรายการ ดิเอ็ดซัลลิแวนโชว์[1] เขาเริ่มเล่นแซกโซโฟนครั้งแรกในปี 1966 เมื่อเขาอายุได้ 10 ขวบ เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะเล่นภายใต้การดูแลของนักเป่าแตรของเมืองชื่อ เจอราลด์ ฟิสเตอร์(Gerald Pfister) และฝึกซ้อมพร้อมกับเรคคอร์ด ส่วนใหญ่กับโกรเวอร์วอชิงตันจูเนียร์ (Grover Washington, Jr.) โดยวิธีการฝึกก็คือพยายามเลียนแบบเสียงที่เค้าได้ยิน แซ็กโซโฟนอันแรกของเขาก็คือ อัลโต้แซกโซโฟน ยี่ห้อ บิวเฟ่ต์ รุ่น คอมพอง (Buffet Crampon alto)[5]
เคนนี จี เข้าโรงเรียนประถมศึกษาที่โรงเรียนวิทเวอร์ด อีลิเมนทารี่ สคูล (Whitworth Elementary School) เรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นที่ชาร์ปเพิล (Sharples Junior High School) ศึกษาโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่แฟรงคลิน (Franklin High School) และจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ทั้งหมดอยู่ที่บ้านเกิดของเขาคือ ซีแอตเทิล เมื่อเขาเข้ามัธยมมีความพยายามที่จะเข้าร่วมกับวงดนตรีแจ๊สแต่ไม่สำเร็จ แต่เขาก็ความพยายามที่จะเข้าในปีถัดๆ ไปและจนกระทั่งเขาได้รับเข้าร่วมเป็นครั้งแรก.[6][7] ในโรงเรียนสมัยมัธยมปลาย คือแฟรงคลินนั้นเขามีเพื่อนร่วมชั้นที่ชื่อว่า โรเบิร์ต แดมเปอร์ (Robert Damper) นักเปียโนกับคีย์บอร์ดซึ่งเป็นผู้เล่นในวงของเขา.[8][9] นอกเหนือจากการเรียนในสมัยมัธยม เค้าได้มีโอกาสเรียนรู้ประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับแซกโซโฟน และคลาริเน็ตจากจอนนี่ เจสเซ่น (Johnny Jessen) 1 อาทิตย์ต่อปี[10]
นอกจากนี้เขายังได้อยู่ในทีมกอล์ฟของโรงเรียนในสมัยมัธยมปลาย.[7] เขารักและชื่นชอบการเล่นกีฬาเริ่มมาจากพี่ชายของเขา , เบรน กอลีลิกซ์(Brian Gorelick),ที่แนะนำเขาเมื่อตอนอายุ 10 ขวบ ซึ่งเป็นตอนเดียวกันกับที่เขาเริ่มเล่นแซกโซโฟน.[7]
เส้นทางอาชีพ
[แก้]เส้นทางอาชีพของเคนนี จี เริ่มต้นงานของไซด์แมนในวงเบรี่ไวท์ เลิฟ อันลิมิเต็ด ออเคสตร้า (แบร์รี ไวต์'s Love Unlimited Orchestra) ในปี 1973 ขณะนั้นเขามีอายุ 17 และยังอยู่มัธยม.[11][12] เขายังคงเล่นดนตรีอาชีพขณะเรียนเมเจอร์ในสายบัญชีในมหาวิทยาลัยวอชิงตันในเมืองซีแอตเทิลและจบการศึกษาโดยได้รับเกียรตินิยม(magna cum laude)[11][13] เขาเข้าร่วมกับวงดนตรีสุดเจ๋งแนวฟังก์ [13] ก่อนจะก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกของเจฟลอเบอร์ฟิวชั่น(Jeff Lorber Fusion)[12] เขาเริ่มการแสดงเดี่ยวในสายอาชีพหลังจากช่วงเวลากับเจฟลอเบอร์[12]
เคนนี จี เซ็นสัญญากับอริสต้า เรคคอร์ด (Arista Records) ในฐานะศิลปินเดี่ยวในปี 1982, หลังจากประธานอริสต้า เรคคอร์ด ไคลฟ์ เดวิส(Clive Davis) ได้ยินการตีความของเพลง "แดนซ์ซิง ควีน(Dancing Queen)"[12] เขาได้ออกอัลบั้มเดี่ยวเป็นจำนวนมาก(solo albums) และมีโอกาสร่วมกับศิลปินมากมายรวมถึงอันเดรอา โบเชลลี, วิตนีย์ ฮิวสตัน,[14] พีโบ ไบรสัน, อารอน นิววิว (Aaron Neville), โทนี แบรกซ์ตัน, ดีเจแจ๊สซี่ แจฟ แอนด์เดอะเฟรชปริ้น (DJ Jazzy Jeff & The Fresh Prince),[15] นาตาลี โคล,[16] สตีฟ มิลเลอร์ (Steve Miller),[17] วีเซอร์, ดัสลี่ มัวร์ (Dudley Moore), ลี ริทนาวร์ (Lee Ritenour), เดอะริฟพิงตัน (The Rippingtons), ไมเคิล โบลตัน, เซลีน ดิออน, แฟรงก์ ซินาตรา, สโมกีย์ โรบินสัน, เบเบิ้ล กลิลเบอร์โต้ (Bebel Gilberto), จอร์จ เบนสัน, แชนซ์ มัวส์ (Chante Moore) และอารีธา แฟรงคลิน[14] ที่มีอิทธิพลมาจากแซกโซโฟน กอร์เวอร์ วอชิงตัน จูเนียร์ (Grover Washington, Jr)[10] และอัลบั้มของเขาถูกจัดอยู่ในสมูทแจ๊ส.
เคนนี จีได้รับความสำเร็จอย่างมากกับผลงาน จีฟอร์ต และ แกลฟ์วิตี้ (G Force and Gravity) และมีอัลบั้มที่ 2 และ 3 ตามมาเป็นลำดับ,ความสำเร็จของเขาคือ แพลตตินั่ม สเตตัส (platinum status) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ยอดขายติดอันดับสูงในอัลบั้มที่ 4, ดูโอ้โทน (Duotones), ถูกขายได้มากกว่า 5 ล้านก๊อปปี้ในประเทศสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียว. ในอัลบั้มที่ 6 ของเขา "Breathless", กลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดเท่าที่เคยมี มียอดขายมากกว่า 15 ล้านก๊อปปี้ ซึ่งขายได้ 12 ล้านก๊อปปี้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาทำลายสถิติอีกในอัลบั้มที่เป็นวันหยุดแรกของเขา นั่นคืออัลบั้ม "Miracles", ถูกขายได้มากกว่า 13 ล้านก๊อปปี้, ทำให้มันเป็นอัลบั้มคริสมาสต์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในปัจจุบัน.[13]
ในปี 1997, เคนนี จี ได้รับการบันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ ในการเล่นแซกโซโฟนที่ยาวนานที่สุดบรรดาในการเป่าแซ็กโซโฟนที่เคยถูกบันทึกไว้ โดยมีการใช้เทคนิควิธีการระบายลมหายใจคือการเป่าที่มีลมเป่าต่อเนื่องยาวนานต่อเนื่องไม่ขาดช่วงนั้นเอง ที่เรียกกันว่า "circular breathing", เคนนี จีสามารถเป่าแซ็กโซโฟนรุ่น E-flat ได้เวลา 45 นาที 47 วินาที ที่เจแอนด์อาร์มิวสิคเวิลด์ ในเมืองนิวยอร์กประเทศสหรัฐอเมริกา.[18] ในปีเดียวกัน, เคนนี จี ได้มีเพลงชื่อ "Havana", ในอัลบั้มของเขาที่ชื่อว่า "The Moment", ที่ถูกสร้างและเรียบเรียงใหม่โดย "DJs Todd Terry" และ"Tony Moran" และถูกปล่อยเพื่อโปรโมตในคลับเต้นรำในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกลายเป็นติดชาร์ตเบอร์ 1 ในบิลด์บอร์ดแดนด์คลับในเดือนเมษายน ปี 1997(บิลบอร์ด ฮอตแดนซ์คลับเพลย์)[19]
เคนนี จี ในปี 1999 มีซิงเกิล "What A Wonderful World" ซึ่งได้รับคำวิจารณ์มันใช้วิธีการอัดเสียงลงไปอีกที กับเสียงที่มีอยู่แล้ว (overdubbing) เพลงคลาสสิคของหลุยส์ อาร์มสตรอง เขาได้รับคำวิจารณ์หลักๆ จากคนที่เขาเคารพนับถืออย่างศิลปินเช่น อาร์มสตรอง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีที่จะช่วยในการปรับปรุงผลงานของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักดนตรีที่มีความลึกซึ้งและมีความเข้าใจในด้านดนตรีคลาส สิคแจ๊สก็จะมีคำถาม[20][21][22][23][24] บางคอลัมน์นิสต์ได้มีการวิจารณ์บอกว่าผลงานของ เคนนี จี เปิดกว้างสำหรับผู้ฟังในวงการดนตรีคลาสสิคแจ๊ส, แต่การวิจารณ์โดยรวมเป็นการวิจารณ์เป็นไปทางลบ.[25]
ใน เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2000, เคนนี จี ได้ถูกเชิญไปยังทำเนียบขาวและทำการแสดงบนเวทีให้กับผู้ว่าการรัฐและสมาชิก รัฐมนตรีของประธานาธิบดี บิล คลินตัน.[26]
เคนนี จี มีการบันทึกเพลงจีน อย่างเช่น เพลง "โม่ลี่ฮัว" (茉莉花) หรือ "เยว่เหลียงไต้เปี่ยวหวอเตอซิน" (月亮代表我的心). เพลงของเขาได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศจีน. เพลงของเขาอย่างเพลง "Going Home" มักจะถูกเล่นในเวลาปิดในที่สาธารณะหรือเวลาจบคลาสเรียนของโรงเรียน ระบบขนส่งมวลชนในเทียนจินและเซี่ยงไฮ้จะเล่นเพลงนี้เมื่อรถไฟเข้าใกล้สถานีปลายทาง
ในช่วงปี 2003, เคนนี จี เป็นหนึ่งใน 25 ศิลปินที่มียอดขายสูงสุดในอเมริกาที่ถูกจัดอันดับโดยสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา(RIAA), 48 ล้านอัลบั้มที่ขายในสหรัฐอเมริกาที่ถูกขายในสหรัฐอเมริกาในช่วง 31 กรกฎาคม ปี 2006.[27] ในปี 1994, เคนนี จี ได้รับรางวัลชนะในแกรมมีอวอร์ดในฐานะเพลงรักตลอดกาล(Grammy Award for Best Instrumental Composition)
ในเดือนตุลาคม ปี 2009, เคนนี จี ปรากฏตัวขึ้นพร้อมวงวีเซอร์ ในบริษัทเอโอแอล มีการโปรโมตส่งเสริมการขายอัลบั้มของพวกเขาที่ชื่อว่า"Raditude" โดยมีการโซโลเพลง "I'm Your Daddy" เคนนี จี บอกว่าเขาไม่รู้จักการแสดงของวงวีเซอร์มาก่อน.[28] แม้ว่านักวิจารณ์เพลงบางคนด้วยเหตุนี้ทำให้กลับมาวิจารณ์ในการกลับมาทำงานร่วมกันของพวกเขา[29][30] โดยเป็นการรวมตัวกันอย่างไม่น่าเชื่อโดยมีการตอบรับอย่างดีโดยนิตยสาร AOL magazines Spinner.com และ Popeater.com.[28][31]
ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011 เคนนี จี และดนตรีของเขาเป็นส่วนสำคัญในโฆษณารถยนต์ซูปเปอร์โบลว์เอ็กซ์แอลวีของออดี้(Super Bowl XLV :เอาดี้) เรียกว่า "Release the Hounds."[32]และเคนนี จี เริ่มเขาสู่หนังสั้นในหนังมีรายละเอียดเกี่ยวกับเขาเป็นหน่วยปราบปรามอยู่ในเรือนจำที่หรูหรา[33]
เมื่อเร็วๆ นี้, เขาได้ปรากฏตัวในมิวสิควิดีโอป๊อบสตาร์ของนักร้องคือ เคที เพร์รี(Katy Perry's single) ในเพลง"Last Friday Night (T.G.I.F.) " กับลุงเคนนี่(เรียก เคนนี จี ว่าลุง) ในวันที่ 8 เดือนตุลาคม ปี 2011 เรื่องราวชีวิตของคืนวันเสาร์(Saturday Night Live),เคนนี จี ปรากฏตัวพร้อมกับเสียงนักร้องโซปราโนกับแซกโซโฟนของเขา เข้าร่วมกับวงดนตรีร๊อค(อัลเทอร์เนทีฟ) วงมีชื่อว่า"Foster the People" กับการแสดงในเพลงของพวกเขาที่ชื่อว่า "Houdini."
เคนนี จี ยังมีชื่อเสียงในการจัดรายการวิทยุและสามารถได้ยินเสียงของเขาทุกเช้าร่วมกับแซนดี้ โควัค (Sandy Kovach) ในรายการ WLOQ ในเมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา[34]
ความนิยมที่แปลกใหม่ในประเทศจีน
[แก้]ตั้งแต่ปี 1989, ที่เคนนี จี ได้มีการบันทึกเพลง "Going Home" ซึ่งกลายเป็นสิ่งแปลกใหม่ในจีนที่เป็นกระแสเพลงฮิตเป็นอย่างมาก มันได้กลายเป็นเพลงที่ใช้เปิดอย่างไม่เป็นทางการอย่างเช่นในศูนย์อาหาร, ตลาดกลางแจ้ง,สโมสรเกี่ยวกับสุขภาพ,ห้างสรรพสินค้า,สถานีรถไฟ เป็นต้น.ที่เปิดไปทั่วประเทศ ในหลายธุรกิจมีการใช้เพลงของเคนนี จีเปิดออกเครื่องกระจายเสียงก่อนที่จะทำการปิดทำการในเวลาคืน สถานีโทรทัศน์ยังมีการเล่นเพลงของเขาก่อนจะจบการออกอากาศจากสถานีในเวลา กลางคืน ชาวจีนส่วนมาก มีคำถามว่าพวกเขามีความเชื่อมโยงเพลงที่ได้ฟังแต่ทำกิจกรรมทั้งวันนอกบ้าน หรือว่าเป็นการทำงานไปจนถึงกระทั่งกลับถึงบ้าน (แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักชื่อเพลงหรือชื่อศิลปินเลยก็ตาม). [35]
อุปกรณ์
[แก้]เคนนี จี เล่นเพลงโดยใช้ โซปราโน่แซกโซโฟน ยี่ห้อ เซลเมอร์ รุ่น มาร์ค ซิค (Selmer Mark VI Soprano Saxophones), อัลโต้แซกโซโฟน (Alto Saxophone) และ เทเนอร์แซกโซโฟน (Tenor Saxophone) เขาได้สร้างสายของแซกโซโฟนของเขาเองโดยเรียกว่า "เคนนี จี แซกโซโฟน: Kenny G Saxophones".[36]
ชีวิตส่วนตัว
[แก้]เคน นี จี ได้แต่งานกับ ลินดี้ เบนสัน กอลีลิกซ์ ในปี 1992, และมีลูกชาย 2 คน. ในเดือนมกราคม ปี 2012, เบลสันและเคนนี จี ได้ยื่นเอกสารขอแยกทางกฎหมาย.[37] เคนนี จี ได้ฟ้องหย่าในเดือนสิงหาคม 2012.[38]
เคนนี จี ได้อาศัยอยู่ที่เมืองมาลิบู(Malibu), รัฐแคลิฟอร์เนีย(California)[39] นอกจากนี้เขายังเป็นนักกอล์ฟตัวยงและมีแต้มต่อ (handicap) อยู่ 0.6.[6] เขายังมีส่วนร่วมในการแข่งขันในรายการทัวร์นาเมนต์ที่มีชื่อว่า "AT&T Pebble Beach National Pro-Am" ครั้งที่ 7 ในปี 2007และร่วมกับฟิล มิเคลสัน ร่วมกันในรายกาย "AT&T pro-am " ในปี 2001 ซึ่งมีทีมของไทเกอร์ วูดส์ และ เจรี่ ชาง (Jerry Chang)[7] เขายังเป็นนักกอล์ฟไดเจส(Golf Digest) ที่ติดอันดับ 1 ใน 100 ในเพลง,ตามดัชนีกอล์ฟแต้มต่อของนักดนตรีที่สำคัญ, เขาเริ่มต้นในปี 2006[6] และครั้งที่ 2 ในปี 2008.[40] เขายังเป็นสมาชิคในแชร์วูดส์คันที่คลับ(Sherwood Country Club) ในเมืองเธาว์สันโอ๊ค(Thousand Oaks), รัฐแคริฟอร์เนีย(California)
เคนนี จี เป็นนักบิน (aircraft pilot) และมีเครื่องบิน "De Havilland Beaver" ที่เขาบินอย่างสม่ำเสมอ.[41] เขาเองยังเป็นนักลงทุน มีธุรกิจที่ลงทุนคือ กาแฟสตาร์บัคส์[42]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 "Kenny G Is Still the Smooth Jazz King". Barnes & Noble.com. October 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-04-21. สืบค้นเมื่อ April 7, 2007.
- ↑ Hwang, Kellie (2013-07-02). "7/5: Kenny G performing at Wild Horse Pass Casino". The Arizona Republic. สืบค้นเมื่อ 2013-09-23.
- ↑ http://music.yahoo.com/
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-06-15. สืบค้นเมื่อ 2013-05-04.
- ↑ Kenny G (June 19, 2009). "Some more Q & A". Kenny G Rhythm and Romance. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-03-24. สืบค้นเมื่อ April 1, 2010.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 Diaz, Jaime (December 2006). "After selling millions of records, Grammy winner Kenny G wants to conquer golf". GolfDigest.com. สืบค้นเมื่อ April 7, 2007.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 Kroichick, Ron (February 7, 2007). "Kenny G can swing with the best of them". Scripps News. ScrippsNews.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-05-04. สืบค้นเมื่อ April 7, 2007.
- ↑ "Robert Damper". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-24. สืบค้นเมื่อ 2014-08-23.
- ↑ Gene Stout. Seattle-bred sax star Kenny G wows crowd in Jazz Alley debut. The Seattle Times, April 27, 2012.
- ↑ 10.0 10.1 Wissmuller, Christian (2006). "I'm just doing my own thing, too". Jazzed (December/January). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-12-18. สืบค้นเมื่อ April 1, 2010.
- ↑ 11.0 11.1 Glenn, Alan (1995). "Kenny G". Encyclopedia.com. HighBeam Research, Inc. สืบค้นเมื่อ April 1, 2010.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 Yanow, Scott. "Kenny G Biography". AllMusic.com. สืบค้นเมื่อ April 7, 2007.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 Zimmerman, Kevin (September 30, 2002). "Kenny G Has Time on his Side". BMI.com. สืบค้นเมื่อ April 7, 2007.
- ↑ 14.0 14.1 Sandow, Greg (2007). "Kenny G". Microsoft Encarta. ไมโครซอฟท์. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-11-01. สืบค้นเมื่อ May 4, 2007.
- ↑ "The Moment – Credits". Allmusic. สืบค้นเมื่อ May 7, 2007.
- ↑ "Everlasting – Credits". Allmusic. สืบค้นเมื่อ May 7, 2007.
- ↑ "Living in the 20th Century – Credits". Allmusic. สืบค้นเมื่อ May 7, 2007.
- ↑ "Kenny G. Blows". Yahoo!. December 2, 1997. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-17. สืบค้นเมื่อ 2012-01-08.
- ↑ "Dance/Club Play Songs – Week of April 26, 1997". Billboard. สืบค้นเมื่อ April 9, 2010.
- ↑ Ben Ratliff MUSIC; Jazz Can Take Itself Too Seriously เดอะนิวยอร์กไทมส์, July 16, 2000
- ↑ Mark Sabbatini Kenny G: At Last...The Duets Album All About Jazz, December 30, 2004
- ↑ George Varga Kenny G: Changes His Tune เก็บถาวร 2009-09-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน JazzTimes May 1999
- ↑ Mike Joyce Who's overrated? Who's Underrated? JazzTimes, September 1997
- ↑ Pat Metheny MUSIC; Pat Metheny on Kenny G เก็บถาวร 2023-02-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Jazz Oasis, October 5, 2000
- ↑ Maldonado, Shirley (August 10, 2000). "Gee whiz, give Kenny a break". Boston Herald. Boston Herald and Herald Media. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-11-07. สืบค้นเมื่อ April 7, 2010.
- ↑ Anne Gearan. Clinton hosts governors minus Bush. The Associated Press, Feb. 27, 2000.
- ↑ "Top Artists". RIAA.com. July 31, 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-03-04. สืบค้นเมื่อ April 7, 2007.
- ↑ 28.0 28.1 Charley Rogulewski Weezer Run With Chamillionaire, Sara Bareilles and ... Kenny G? เก็บถาวร 2012-09-10 ที่ archive.today Spinner.com, October 23, 2009
- ↑ Tom Breihan Weezer Team Up With Kenny G, Chamillionaire, Sara Bareilles Pitchfork Media, October 23, 2009
- ↑ Mike Burr Weezer Breaks Out Rolodex, Brings Kenny G., Chamillionaire, and Sara Bareilles To AOL Session เก็บถาวร 2020-08-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Prefix Magazine , October 23, 2009
- ↑ Kenny G Steps Back Into the Spotlight เก็บถาวร 2020-08-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน popeater.com, October 26, 2009
- ↑ Audi Big Game Commercial 2011 – Release the Hounds youtube.com, February 2, 2011
- ↑ Audi Big Game 2011 Teaser – Kenny G Riot Suppressor (Part 2) youtube.com, February 1, 2011
- ↑ "Kenny G & Sandy Kovach - Orlando's Smooth Jazz". 1025wloq.com. 2011-08-18. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-01-15. สืบค้นเมื่อ 2012-12-27.
- ↑ . 2014-05-11 http://www.nytimes.com/2014/05/11/world/asia/china-says-goodbye-in-the-key-of-g-kenny-g.html?hp&_r=0. สืบค้นเมื่อ 2014-05-11.
{{cite web}}
:|title=
ไม่มีหรือว่างเปล่า (help) - ↑ "Kenny G Saxophones". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-06-15. สืบค้นเมื่อ September 8, 2012.
- ↑ Everett, Christina (January 20, 2011). "Kenny G's wife files for legal separation". Daily News (New York). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-22. สืบค้นเมื่อ February 22, 2011.
- ↑ Fleeman, Mike (August 13, 2012). "Kenny G Files for Divorce After 20 Years of Marriage". People. สืบค้นเมื่อ August 14, 2012.
- ↑ "Girl hurt by item cast from Kenny G's home". ลอสแอนเจลิสไทมส์. June 30, 2007. สืบค้นเมื่อ May 25, 2011.
- ↑ Furlong, Lisa; Craig Bestrom (November 2008). "The Top 100 in Music". Golf Digest. Condé Nast Digital. สืบค้นเมื่อ April 3, 2010.
- ↑ Strauss, Neil (October 31, 2006). "... And Two if by Seaplane". The New York Times. สืบค้นเมื่อ April 3, 2010.
- ↑ Harding, Cortney (January 25, 2008). "Q&A: Kenny G explores Latin "Rhythm"". Thomson Reuters. Reuters. สืบค้นเมื่อ April 3, 2010.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Kenny G's official website
- Kenny G at Myspace
- Kenny G at Legacy Recordings เก็บถาวร 2009-01-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Kenny G เก็บถาวร 2010-12-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at วีเอชวัน.com
- Kenny G Interview – Billboard en Español เก็บถาวร 2009-01-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Kenny G at ออลมิวสิก
- เคนนี จี ที่อินเทอร์เน็ตมูวีเดตาเบส
[[วิกิพีเดีย:|ข้อมูลบุคคล]] | |
---|---|
ชื่อ | G, Kenny} |
ชื่ออื่น | Gorelick, Kenneth |
รายละเอียดโดยย่อ | Saxophonist, Songwriter |
วันเกิด | 1956-6-5 |
สถานที่เกิด | ซีแอตเทิล, Washington (U.S. state) |
วันตาย | |
สถานที่ตาย |