ข้ามไปเนื้อหา

ตันซิ่ว

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Chen Shou)
ตันซิ่ว (เฉิน โช่ว)
陳壽
เกิดชื่อสกุล: ตัน (陳 เฉิน)
ชื่อตัว: ซิ่ว (壽 โช่ว)
ชื่อรอง: เฉิงจั้ว (承祚)
ค.ศ. 233[a]
อำเภออานฮั่น เมืองปาเส จ๊กก๊ก
เสียชีวิตค.ศ. 297 (64 ปี)[1]
นครลกเอี๋ยง เมืองโห้หล้ำ ราชวงศ์จิ้น
อาชีพนักประวัติศาสตร์, ขุนนาง, นักเขียน
ผลงานที่สำคัญ
  • สามก๊กจี่ (三國志 ซานกั๋วจื้อ)
  • จูเก่อเลี่ยงกู้ชื่อ (諸葛亮故事)
  • อี้ปู้ฉีจิ้วฉฺวาน (益部耆舊傳)
  • กู่กั๋วจื้อ (古國志)
  • กวานซือลุ่น (官司論)
  • ชื่อฮุ่ย (釋諱)
  • กว่างกั๋วลุ่น (廣國論)
ญาติ
  • เฉิน ฝู (陳符) (หลานอา)
  • เฉิน ลี่ (陳蒞) (หลานอา)
  • เฉิน เจีย (陳階) (ญาติ)
ตันซิ่ว
ชื่อภาษาจีน
อักษรจีนตัวเต็ม陳壽
อักษรจีนตัวย่อ陈寿
ชื่อภาษาเวียดนาม
ภาษาเวียดนามTrần Thọ
ชื่อภาษาเกาหลี
ฮันกึล
진수
ฮันจา
陳壽
ชื่อภาษาญี่ปุ่น
คันจิ陳壽
ฮิรางานะちん じゅ
การถอดเสียง
โรมาจิChin Ju

ตันซิ่ว[2] (ค.ศ. 233–297[1]) มีชื่อในภาษาจีนกลางว่า เฉิน โช่ว (จีน: 陳壽; พินอิน: Chén Shòu) ชื่อรอง เฉิงจั้ว (จีน: 承祚; พินอิน: Chéngzuò) เป็นนักประวัติศาสตร์ ขุนนาง และนักเขียนชาวจีนในยุคสามก๊กและยุคราชวงศ์จิ้นของจีน ตันซิ่วเป็นที่รู้จักจากงานเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดของตนคือสามก๊กจี่ (三國志 ซานกั๋วจื้อ) ซึ่งบันทึกประวัติศาสตร์ในช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกและยุคสามก๊ก ตันซิ่วเขียนสามก๊กจี่ในรูปบทชีวประวัติของบุคคลที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นเป็นหลัก ปัจจุบันสามก๊กจี่ของตันซิ่วเป็นส่วนหนึ่งของสารบบตำราประวัติศาสตร์จีนยี่สิบสี่ชุด (二十四史 เอ้อร์ฉือซื่อฉื่อ)

แหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประวัติของตันซิ่ว

[แก้]

ชีวประวัติของตันซิ่วปรากฏใน 2 แหล่ง แหล่งแรกคือหฺวาหยางกั๋วจื้อ (華陽國志) ซึ่งเขียนโดยฉาง ฉฺวี (常璩) ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ในยุคราชวงศ์จิ้นตะวันออก แหล่งที่สองคือจิ้นชู (晉書) ซึ่งเขียนโดยฝาง เสฺวียนหลิง (房玄齡) และคนอื่น ๆ ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 ในยุคราชวงศ์ถัง

ประวัติ

[แก้]

ตันซิ่วเริ่มรับราชการในฐานะข้าราชการของรัฐจ๊กก๊กในยุคสามก๊ก แต่ถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกส่งออกจากนครหลวงเนื่องจากตันซิ่วปฏิเสธที่จะประจบฮุยโฮ (黃皓 หฺวาง เฮ่า) ขันทีราชสำนักผู้มีอิทธิพลในจ๊กก๊กในช่วงปลาย หลังการล่มสลายของจ๊กก๊กเมื่อ ค.ศ. 263 ชีวิตราชการของตันซิ่วอยู่ในช่วงหยุดชะงัก ก่อนที่จาง หฺวา (張華) ขุนนางราชวงศ์จิ้นจะเสนอให้รับตันซิ่วเข้ารับราชการในราชสำนักราชวงศ์จิ้น ตันซิ่วดำรงตำแหน่งหลัก ๆ ด้านอาลักษณ์และเลขานุการในราชสำนักราชวงศ์จิ้นก่อนจะเสียชีวิตด้วยอาการปวยเมื่อ ค.ศ. 297 ตันซิ่วมีงานเขียนมากกว่า 200 งานเขียน มีประมาณ 30 งานเขียนที่เขียนร่วมกับญาติโดยถือให้เป็นผลงานของตันซิ่ว[3]

ประวัติช่วงต้นและการรับราชการในจ๊กก๊ก

[แก้]

ตันซิ่วเป็นชาวอำเภออานฮั่น (安漢縣 อานฮั่นเซี่ยน) เมืองปาเส (巴西郡 ปาซีจฺวิ้น) ซึ่งอยู่ในนครหนานชง (南充市 หนานชงชื่อ) มณฑลเสฉวน (四川 ซือชฺวาน) ในปัจจุบัน ตันซิ่วเป็นที่รู้จักในเรื่องความขยันเล่าเรียนตั้งแต่วัยเยาว์และได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นผู้มีสติปัญญา มีไหวพริบ และมีความรู้กว้างขวาง ตันซิ่วได้รับการสั่งสอนจากเจาจิ๋ว (譙周 เฉียวโจว) ขุนนางจ๊กก๊กซึ่งเป็นชาวเมืองปาเสเช่นกัน ตันซิ่วภายใต้การสั่งสอนของเจาจิ๋วได้อ่านตำราชูจิง (書經) และชุนชิวซานจฺว้าน (春秋三傳) และยังมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับตำราประวัติศาสตร์ฉื่อจี้ (史記) และฮั่นชู (漢書)[4]

จิ้นชูระบุว่าตันซิ่วรับราชการเป็นเสมียนอำเภอกวานเก๋อ (觀閣令史 กวานเก๋อลิ่งฉื่อ) แต่ในหฺวาหยางกั์วจื้อระบุว่าตันซิ่วดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้ตามลำดับ: นายทะเบียน (主簿 จู่ปู้) ของขุนพลพิทักษ์ (衛將軍 เว่ย์เจียงจฺวิน), เจ้าพนักงานของห้องสมุดหลวงตะวันออก (東觀秘書郎 ตงกวานมี่ชูหลาง), เจ้าพนักงานทหารม้ามหาดเล็ก (散騎侍郎 ซ่านฉีชื่อหลาง) และเจ้าพนักงานสำนักประตูเหลือง (黃門侍郎 หฺวางเหมินชื่อหลาง)[5] ในช่วงปลายสมัยของจ๊กก๊ก (ป. คริสต์ทศวรรษ 250 – ค.ศ. 263) ข้าราชการจำนวนมากประจบประแจงฮุยโฮผู้เป็นขันทีราชสำนักผู้ทรงอิทธิพล หวังจะได้รับความโปรดปรานจากฮุยโฮ ตันซิ่วปฏิเสธที่แสดงพฤติกรรมประจบสอพลอเช่นนั้น การที่ตันซิ่วกระทำเช่นนี้ส่งผลกระทบให้ชีวิตราชการของตันซิ่วตกต่ำลง ตันซิ่วถูกปลดจากตำแหน่งหลายครั้งและถูกส่งตัวออกนอกเซงโต๋ (成都 เฉิงตู) นครหลวงของจ๊กก๊ก[6]

การรับราชการในราชวงศ์จิ้น

[แก้]

หลังการล่มสลายของจ๊กก๊กเมื่อ ค.ศ. 263 ชีวิตราชการของตันซิ่วเข้าสู่ช่วงหยุดชะงักจนกระทั่งจาง หฺวาเสนอให้รับตันซิ่วเข้ารับราชการในราชสำนักราชวงศ์จิ้น จาง หฺวาชื่นชมความสามารถของตันซิ่วและรู้สึกว่าแม้ว่าตันซิ่วมีชื่อเสียงไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่ควรถูกลดขั้นและปลดจากตำแหน่งระหว่างที่อยู่ในจ๊กก๊ก ตันซิ่วได้รับการเสนอชื่อเป็นเซี่ยวเหลียน (孝廉; ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับราชการ) และได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานอาลักษณ์ (佐著作郎 จั่วจู้จั้วหลาง) และรักษาการตำแหน่งนายอำเภอ (令 ลิ่ง) ของอำเภอยงเป๋ง (陽平縣 หยางผิงเซี่ยน)

เมื่อ ค.ศ. 274 ตันซิ่วรวบรวมและเรียบเรียงงานเขียนของจูกัดเหลียง (諸葛亮 จูเก่อ เลี่ยง) ผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีคนแรกของจ๊กก๊ก[7] และเสนอต่อราชสำนักราชวงศ์จิ้น ตันซิ่วได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเจ้าพนักงานอาลักษณ์ (著作郎 จู้จั้วหลาง) และได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจสอบราชการพลเรือน (中正 จงเจิ้ง) ของเมืองปาเส[8] หฺวาหยางกั๋วจื้อระบุว่าตันซิ่วยังดำรงตำแหน่งเป็นปลัดรัฐ (相 เซียง) ของเฮาแห่งยงเป๋ง (平陽侯 หยางผิงโหว) ด้วย[9]

เมื่อจาง หฺวาเสนอให้ตันซิ่วดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานสำนักราชเลขาธิการราชวัง (中書郎 จงชูหลาง) กรมบุคลากรแต่งตั้งให้ตันซิ่วเป็นเจ้าเมือง (太守 ไท่โฉ่ว) ของเมืองฉางกว่าง (長廣郡 ฉางกว่างจฺวิ้น) แทนตามการเสนอของซุนโจย (荀勗 สฺวิน ซฺวี่) จิ้นชูระบุว่าซุนโจยเกลียดจาง หฺวาและไม่ชอบตันซิ่วที่เกี่ยวข้องกับจาง หฺวา ซุนโจยจึงโน้นน้าวให้กรมบุคลากรตั้งให้ตันซิ่วมีตำแหน่งอื่น ตันซิ่วปฏิเสธการรับตำแหน่งโดยให้เหตุผลว่าตนต้องดูแลมารดาผู้ชราของตน[10] หฺวาหยางกั๋วจื้อให้รายละเอียดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตันซิ่วและซุนโจยที่แตกต่างออกไป โดยระบุว่าซุนโจยและจาง หฺวาชอบสามก๊กจี่ที่เป็นงานเขียนของตันซิ่วอย่างมาก ทั้งสองให้ความเห็นว่าตันซิ่วเหนือกว่าปาน กู้ (班固) และซือหม่า เชียน (司馬遷) แต่ภายหลังซุนโจยไม่ชอบภาควุยก๊ก (魏書 เว่ย์ชู) ซึ่งเป็นภาคหนึ่งในสามภาคของสามก๊กจี่ และไม่ต้องการให้ตันซิ่วทำงานในสำนักเดียวกันกับตน จึงให้ตันซิ่วไปเป็นเจ้าเมืองฉางกว่าง[11]

เมื่อ ค.ศ. 278[12] ก่อนที่ขุนพลเตาอี้ (杜預 ตู้ ยฺวี่) จะเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพของทัพราชวงศ์จิ้นในมณฑลเกงจิ๋ว (荊州 จิงโจว) เตาอี้ทูลเสนอชื่อตันซิ่วต่อจักรพรรดิสุมาเอี๋ยน (司馬炎 ซือหม่า เหยียน) โดยทูลว่าตันซิ่วมีความสามารถในการรับราชการเป็นเจ้าพนักงานสำนักประตูเหลือง (黃門侍郎 หฺวางเหมินชื่อหลาง) หรือเจ้าพนักงานทหารม้ามหาดเล็ก (散騎侍郎 ซ่านฉีชื่อหลาง) จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงยอมรับการเสนอของเตาอี้และทรงแต่งตั้งตันซิ่วเป็นขุนนางตรวจสอบจัดการเอกสาร (御史治書 ยฺวี่ฉื่อจื้อชู)[13][14]

จิ้นชูระบุว่าตันซิ่วลาราชการเมื่อมารดาเสียชีวิต ตันซิ่วทำตามความปรารถนาของมารดาก่อนเสียชีวิตที่ให้ฝังศพในนครหลวงลกเอี๋ยง (洛陽 ลั่วหยาง) แต่ตันซิ่วกลับถูกตำหนิและถูกลดขั้น เพราะการฝังศพมารดาในลกเอี๋ยงแทนที่จะเป็นอำเภออานฮั่นอันเป็นบ้านเกิดนั้นถือเป็นการผิดต่อขนบธรรมเนียมในยุคนั้น[15] หฺวาหยางกั๋วจื้อให้ข้อมูลที่แตกต่างออกไปว่าผู้ที่เสียชีวิตคือมารดาบุญธรรมของตันซิ่ว (ไม่ใช่มารดาแท้ ๆ) จึงไม่ต้องการให้ฝังศพตนร่วมกับบิดาของตันซิ่ว (ในอำเภออานฮั่น)[16] ตันซิ่วจึงฝังศพของมารดาบุญธรรมในลกเอี๋ยง

ประวัติช่วงปลาย

[แก้]

จิ้นชูระบุว่าหลายปีหลังตันซิ่วถูกลดขั้น ตันซิ่วได้รับการแต่งตั้งเป็นคนสนิท (中庶子 จงชูจื่อ) ของรัชทายาทซือหม่า ยฺวี่ (司馬遹) แต่ตันซิ่วไม่รับตำแหน่ง[17] ตันซิ่วเสียชีวิตด้วยอาการป่วยขณะมีอายุ 65 ปี (ตามการนับอายุแบบเอเชียตะวันออก) เมื่อ ค.ศ. 297 ในรัชสมัยของจักรพรรดิจิ้นฮุ่ยตี้ (晉惠帝)[1]

หฺวาหยางกั๋วจื้อให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนการเสียชีวิตของตันซิ่วที่แตกต่างออกไปโดยระบุว่าตันซิ่วได้รับการแต่งตั้งเป็นคนสนิทของรัชทายาทซือหม่า ยฺวี่ ภายหลังได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานทหารม้ามหาดเล็ก (散騎侍郎 ซ่านฉีชื่อหลาง) อีกครั้งหลังซือหม่า ยฺวี่ทรงถูกปลดจากการเป็นรัชทายาทเมื่อ ค.ศ. 299[18] จักรพรรดิจิ้นฮุ่ยตี้ตรัสกับจาง หฺวาว่า "(ตัน) ซิ่วมีความสามารถโดยแท้ ไม่ควรให้คงอยู่ในตำแหน่งในทุกวันนี้นานเกินไปนัก" จาง หฺวาต้องการเสนอชื่อตันซิ่วให้รับตำแหน่งเป็นตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในเก้าเสนาบดี แค่ตัวจาง หฺวาเสียชีวิตไปเสียก่อนเมื่อ ค.ศ. 300 ในช่วงสงครามแปดอ๋อง[18] ตันซิ่วเสียชีวิตในลกเอี๋ยงในเวลาต่อมา ความสามารถและผลงานของตันซิ่วไม่ได้สะท้อนถึงสถานะของตันซิ่วในช่วงเวลาที่เสียชีวิต ผู้คนหลายคนรู้สึกว่าเป็นความอยุติธรรมต่อตัวตันซิ่ว[19] บันทึกในหฺวาหยางกั๋วจื้อเสนอข้อมูลอย่างชัดเจนว่าตันซิ่วเสียชีวิตเมื่อ ค.ศ. 300 หรือหลังจากนั้นซึ่งไม่สอดคล้องกับปีเสียชีวิตที่ระบุในบันทึกของจิ้นชู

สามก๊กจี่

[แก้]
ชิ้นส่วนที่แสดงบทชีวประวัติของเปาจิด (步騭 ปู้ จื้อ) จากสามก๊กจี่ ส่วนหนึ่งของกลุ่มเอกสารตัวเขียนตุนหฺวาง (敦煌文獻 ตุนหฺวางเหวินเซี่ยน)
ตำราเว่ย์จื้อ (魏志, บันทึกวุยก๊ก) ซึ่งให้ข้อมูลประวัติศาสตร์ของวุยก๊ก เขียนเมื่อราว ค.ศ. 297

ช่วงเวลาหนึ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 3 หลัง ค.ศ. 280[20] ตันซิ่วเขียนงานเขียนชิ้นเอกคือสามก๊กจี่ (三國志 ซานกั๋วจื้อ; จดหมายเหตุสามก๊ก) จำนวน 65 เล่ม ซึ่งบันทึกประวัติศาสตร์ช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกและยุคสามก๊ก เนื้อหาแบ่งเป็น 3 ภาค ได้แก่ ภาควุยก๊ก (魏書 เว่ยชู), ภาคจ๊กก๊ก (蜀書 ฉู่ชู) และ ภาคง่อก๊ก (吳書 อู๋ชู) ประกอบด้วยบทชีวประวัติของบุคคลสำคัญในยุคนั้นเป็นหลัก

ตันซิ่วได้รับการชื่นชมในเรื่องผลงานเขียนจากคนร่วมสมัยและได้รับการยกย่องว่าเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม ในช่วงเวลานั้น เซี่ยโหว จ้าน (夏侯湛) ที่เป็นนักประวัติศาสตร์อีกคนกำลังเขียนตำราของตนเองคือเว่ยชู (魏書; ตำราประวัติศาสตร์วุยก๊ก) ซึ่งบันทึกประวัติศาสตร์ของงวุยก๊กในยุคสามก๊ก หลังได้อ่านสามก๊กจี่ของตันซิ่ว เซี่ยโหว จ้านก็ทำลายงานเขียนของตนเองทิ้ง จาง หฺวาประทับใจสามก๊กจี่อย่างมากจนถึงกับบอกตันซิ่วว่า "เราควรฝากความรับผิดชอบในการเขียนจิ้นชู (晉書; ตำราประวัติศาสตร์ราชวงศ์จิ้น) ไว้กับท่าน" ตันซิ่วได้รับการย่องอย่างเป็นสูงเช่นนั้นหลังเขียนสามก๊กจี่[21]

ข้อโต้แย้ง

[แก้]

แม้ว่าตันซิ่วมีผลงานยิ่งใหญ่ แต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับข้อกล่าวหาและข้อโต้แย้งอื่น ๆ จิ้นชูระบุถึงข้อโต้แย้ง 2 ประเด็นที่เกี่ยวกับตันซิ่วและสามก๊กจี่งานเขียนของตันซิ่ว ซึ่งผู้วิจารณ์ใช้ในการดูหมิ่นตันซิ่ว[22] ถาง เกิง (唐庚) บัณฑิตในยุคราชวงศ์ซ่งก็วิจารณ์ตันซิ่วในฐานะนักประวัติศาสตร์ด้วยเหตุผล 2 ข้อในงานเขียนชื่อซานกั๋วจ๋าชื่อ (三國雜事; เรื่องเบ็ดเตล็ดสามก๊ก)

การบังคับเอาข้าว

[แก้]

ประเด็นแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่ตันซิ่วพยายามบังคับเอาข้าว 1,000 หู[b] จากเหล่าบุตรชายของเตงหงี (丁儀 ติง อี๋) และน้องชายคือเตงอี้ (丁廙 ติง อี้)[c] ซึ่งเป็นขุนนาง 2 คนของรัฐวุยก๊กในยุคสามก๊ก ตันซิ่วให้คำมั่นว่าตนจะเขียนบทชีวประวัติของเตงหงีและเตงอี้ในสามก๊กจี่ หากเหล่าบุตรชายของทั้งสองมอบข้าวให้ตน แต่เหล่าบุตรชายของเตงหงีและเตงอี้ปฏิเสธ ตันซิ่วจึงไม่เขียนบทชีวประวัติของเตงหงีและเตงอี้ อย่างไรก็ตามในจิ้นชูได้ขึ้นต้นเกร็ดประวัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยคำว่า ฮั่ว-ยฺหวิน (或云) ซึ่งมีความหมายว่า "ข่าวลือ"[23]

พาน เหมย์ (潘眉) นักเขียนในยุคราชวงศ์ชิงโต้แย้งบันทึกในจิ้นชูเกี่ยวกับเรื่องที่ตันซิ่วพยายามรีดไถจากตระกูลเตง โดยระบุว่าเป็นข้อมูลที่ "ไร้มูลความจริง" พาน เหมย์หักล้างข้ออ้างที่ว่าเตงหงีและเตงอี้เป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงมากในวุยก๊กโดยชี้ให้เห็นว่าทั้งสองไม่ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญและไม่ได้สร้างผลงานที่สำคัญใด ๆ พาน เหมย์ยังรู้สึกว่าตันซิ่วมีเหตุผลชัดเจนที่จะตัดสินใจไม่เขียนบทชีวประวัติให้เตงหงีและเตงอี้ เพราะมีความเห็นว่าทั้งสองทำเรื่องผิดร้ายแรง ทั้งการยุยงให้เกิดความบาดหมางระหว่างพี่น้องและการก่อให้เกิดความไม่มั่นคงในราชตระกูลของวุยก๊ก[d] ซึ่งทำให้ทั้งสองไม่คู่ควรที่จะมีบทชีวประวัติของตนเองในบันทึกประวัติศาสตร์ พาน เหมย์ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่ายังมีบุคคลที่มีชื่อเสียงคนอื่น ๆ ในวุยก๊ก เช่น ตันหลิม (陳琳 เฉิน หลิน), อู๋ จื้อ (吳質) และเอียวสิ้ว (楊修 หยาง ซิว) ที่ไม่มีบทชีวประวัติของตนเองในสามก๊กจี่ ดังนั้นการมีชื่อเสียงไม่ได้หมายความว่าควรจะมีการเขียนบทชีวประวัติให้บุคคลนั้น ๆ พาน เหมย์สรุปเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่าจิ้นชูกล่าวอ้างอย่างมุ่งร้าย (เกี่ยวกับตันซิ่ว)[24]

อคติ

[แก้]

ประเด็นที่สองเป็นเรื่องที่ตันซิ่วมีความแค้นส่วนตัวกับจูกัดเหลียงผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีของจ๊กก๊กและจูกัดเจี๋ยม (諸葛瞻 จูเก่อ จาน) บุตรชายของจูกัดเหลียง ตันซิ่วจึงเขียนความเห็นในเชิงลบเกี่ยวกับทั้งสองในสามก๊กจี่ บิดาของตันซิ่ว[e]เป็นที่ปรึกษาการทหารของม้าเจ๊ก (馬謖 หม่า ซู่) ขุนพลของจ๊กก๊ก เมื่อม้าเจ๊กถูกประหารชีวิตตามคำสั่งของจูเหลียงหลังม้าเจ๊กพ่ายแพ้ในยุทธการที่เกเต๋ง (街亭 เจียถิง) เมื่อ ค.ศ. 228 บิดาของตันซิ่วมีส่วนเกี่ยวข้องจึงถูกตัดสินโทษด้วยโทษคุน (髡) ซึ่งเป็นการลงโทษด้วยการโกนศีรษะ ส่วนจูกัดเจี๋ยมเคยดูถูกตันซิ่วมาก่อน เมื่อตันซิ่วเขียนบทชีวประวัติของจูกัดเหลียงและจูกัดเจี๋ยมในสามก๊กจี่ ได้วิจารณ์ไว้ว่าจูกัดเหลียงไม่ถนัดในการเป็นผู้นำทางการทหารและยังขาดไหวพริบในการเป็นผู้นำทางการทหารที่ยอดเยี่ยม ส่วนจูกัดเจี๋ยมเป็นเลิศเฉพาะด้านวรรณศิลป์และมีชื่อเสียงที่เกินจริง[25]

เจ้า อี้ (趙翼) นักเขียนในยุคราชวงศ์ชิงโต้แย้งคำอ้างของจิ้นชูที่ว่าตันซิ่วมีมีอคติต่อจูกัดเหลียงในสามก๊กจี่ เจ้า อี้ให้ความเห็นว่าคำอ้างนี้เป็น "คำกล่าวที่ไร้มูลความจริง" และยังให้ความเห็นอีกว่าความเป็นผู้นำทางการทหารไม่จำเป็นต้องถือว่าเป็นความถนัดของจูกัดเหลียง เพราะจูกัดเหลียงก็สร้างผลงานที่โดดเด่นในด้านอื่น ๆ ด้วย เจ้า อี้ยังบ่งชี้ถึงหลักฐาน 2 ส่วนที่ขัดกับคำอ้างของจิ้นชู นั่นคือตันซิ่วแสดงความเห็นในเชิงบวกเกี่ยวกับความสามารถของจูกัดเหลียงในฐานะนักการเมืองในรวมผลงานของจูกัดเหลียง และในบทวิจารณ์ของตนในช่วงท้ายบทชีวประวัติจูกัดเหลียงในสามก๊กจี่ ข้อสรุปของเจ้า อี้ในประเด็นนี้ก็คือตันซิ่วได้ระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของจูกัดเหลียงอย่างชัดเจนในคำวิจารณ์จูกัดเหลียงในสามก๊กจี่[26]

การอ้างว่าจ๊กก๊กไม่มีสำนักประวัติศาสตร์

[แก้]

ตันซิ่วเขียนในบทชีวประวัติเล่าเสี้ยนว่ารัฐจ๊กก๊กไม่มีสำนักประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่บทชีวประวัติขุนนางของจ๊กก๊กมีข้อมูลร่อยหรอ[27] ถาง เกิงสงสัยในคำอ้างนี้ โดยให้ความเห็นว่าแม้ตำราโบราณแนะนำให้มีอาลักษณ์คนหนึ่งสำหรับเขียนทุกพระดำรัสของเจ้าแผ่นดิน และอาลักษณ์อีกคนสำหรับเขียนทุกพระราชกิจ แต่ความเหล่านี้เป็นการกล่าวเกินจริง ถาง เกิงยกตัวอย่างเหล่าบุคคลที่ประสานบทบาทของตนในฐานะนักประวัติศาสตร์เข้ากับหน้าที่อื่น ๆ ในราชสำนัก นอกจากนี้ ในช่วงที่โจวหลี่ (周禮; ก่อนศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล) ถูกเขียนขึ้น แม้แต่ขุนศึกท้องถิ่นก็มีสำนักประวัติศาสตร์ของตนเอง ดังนั้นการที่จ๊กก๊กไม่มีสำนักประวัติศาสตร์จึงเป็นเรื่องน่าสงสัย ท้ายที่สุดถาง เกิงก็ชี้ให้เห็นว่าตันซิ่วระบุขัดแย้งกันเองในบทชีวประวัติเดียวกันจากการเขียนว่า "สำนักประวัติศาสตร์ (史官 ฉื่อกวาน) รายงานการเห็นดาวสว่างไสว"[28] ซึ่งปรากฏในอีก 3 ย่อหน้าถัดมา[29]

การกล่าวถึงรัฐของเล่าปี่และเล่าเสี้ยนด้วยชื่อ "จ๊ก" แทนที่จะเป็น "ฮั่น"

[แก้]

ถาง เกิงแสดงความเห็นว่านับตั้งแต่ฉื่อจี้จนถึงยุคสมัยของตัวถาง เกิงเอง ทุกรัฐในบันทึกประวัติศาสตร์หลวงถูกเรียกด้วยชื่อที่รัฐนั้น ๆ ใช้ไม่ว่ากรณีใด ๆ เนื่องจากการเรียกเช่นนั้นเป็นการให้เกียรติโดยพื้นฐาน แต่ตันซิ่วเป็นนักประวัติศาสตร์เพียงคนเดียวที่ยกเว้นในกรณีของรัฐจ๊กก๊ก ตลอดช่วงเวลาที่รัฐจ๊กก๊กดำรงอยู่ เล่าปี่และเล่าเสี้ยนใช้ชื่อว่า "ฮั่น" ในการเรียกรัฐของตนมาโดยตลอด เนื่องจากทั้งสองถือว่าตนเป็นผู้สานต่อการปกครองของราชวงศ์ฮั่น แม้คำว่า "จ๊ก" หรือ "ฉู่" (蜀) เป็นศัพท์ทางภูมิศาสตร์ที่หมายถึงอาณาบริเวณอันเป็นที่ตั้งของรัฐจ๊กก๊ก แต่ก็ยังเป็นชื่อในเชิงดูถูกที่วุยก๊กและราชวงศ์จิ้นใช้ในการลดทอนความชอบธรรมในการอ้างตนของจ๊กก๊กว่าเป็นผู้สืบทอดของราชวงศ์ฮั่น การที่ตันซิ่วเลือกใช้คำว่า "จ๊ก" หรือ "ฉู่" ในงานเขียนของตนนั้น ถาง เกิงมองว่าเป็นการจงใจละเลยความเป็นกลางเพื่อเอาใจผู้อุปถัมป์และด้วยความเกลียดชังส่วนตัวของตันซิ่วเอง

ถาง เกิงยกตัวอย่างสถานการณ์ในยุคห้าราชวงศ์สิบรัฐที่คล้ายคลึงกันเพื่อเปรียบต่าง โดยกล่าวถึงรัฐถังใต้ (南唐 หนานถัง) ที่ถูกเรียกในเชิงดูถูกว่า "อู๋" (吳) และรัฐฮั่นเหนือ (北漢 เป่ย์ฮั่น) ที่ถูกเรียกในเชิงดูถูกว่า "จิ้น" (晉) แต่เอกสารทางประวัติศาสตร์ก็ยังคงเรียกรัฐเหล่านี้ด้วยชื่อที่รัฐนั้น ๆ เรียกตนเอง จากนั้นถาง เกิงก็คร่ำครวญว่าเมื่อไม่นานมานี้มีบางคนใช้งานเขียนของตันซิ่วมาเป็นตัวอย่างเพื่อโน้มน้าวนักประวัติศาสตร์ไม่ให้บันทึกเหตุการณ์ที่เห็นว่าไม่สำคัญ[30]

ผลงานอื่น ๆ

[แก้]

จิ้นชูระบุว่าในช่วงต้น ๆ ที่ตันซิ่วรับราชการกับราชวงศ์จิ้น ตันซิ่วได้รวบรวมและเรียบเรียงงานเขียนของจูกัดเหลียง ตำรารวมงานเขียนนี้เรียกว่า ฉู่เซียงจูเก่อเลี่ยงจี๋ (蜀相諸葛亮集; รวมผลงานของจูกัดเหลียงอัครมหาเสนาบดีจ๊กก๊ก)[31] หฺวาหยางกั๋วจื้อระบุว่าภายหลังจาง หฺวาทูลเสนอจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนให้ปรับปรุงตำราใหม่และเรียบเรียงเป็นชุด 24 เล่ม ในช่วงเวลานั้น โช่ว เหลียง (壽良) ก็มีงานวิจัยของตนเองเกี่ยวกับงานเขียนของจูกัดเหลียง ซึ่งมีเนื้อหาที่ค่อนข้างแตกต่างจากฉบับดั้งเดิมของตันซิ่ว ท้ายที่สุดตำราได้ถูกเขียนขึ้นใหม่และกลายเป็น จูเก่อเลี่ยงกู้ชื่อ (諸葛亮故事; เรื่องราวของจูกัดเหลียง)[32]

นับตั้งแต่ช่วงปลายศักราชเจี้ยนอู่ (建武; ค.ศ. 25-56) ในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เหล่านักเขียนได้แก่ เจิ้ง ปั๋วอี้ (鄭伯邑), เจ้า เยี่ยนซิ่น (趙彥信), เฉิน เชินปั๋ว (陳申伯), จู้ ยฺเหวียนหลิง (祝元靈) และหวาง เหวินเปี่ยว (王文表) ได้ร่วมกันเขียน ปาฉู่ฉีจิ้วจฺว้าน (巴蜀耆舊傳; ชีวประวัติบุคคลที่มีชื่อเสียงจากแดนปา-จ๊ก) ตันซิ่วรู้สึกว่าปาฉู่ฉีจิ้วจฺว้านยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ จึงเขียนขยายเพิ่มเติมเป็น 10 เล่ม เรียกว่า อี้ปู้ฉีจิ้วจฺว้าน (益部耆舊傳; ชีวประวัติบุคคลที่มีชื่อเสียงจากมณฑลเอ๊กจิ๋ว)[f][33] ขุนนางเหวิน ลี่ (文立) ทูลเกล้าฯ ถวายงานเขียนชุดนี้แด่จักรพรรดิสุมาเอี๋ยน จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงชื่นชมงานเขียนดังกล่าว[34]

งานเขียนอื่น ๆ ของตันซิ่ว ได้แก่ กู่กั๋วจื้อ (古國志; จดหมายเหตุรัฐโบราณ) จำนวน 50 เล่ม ซึ่งได้รับการชื่นชมเป็นอย่างสูง,[33][35] กวานซือลุ่น (官司論; วาทนิพนธ์ว่าด้วยระบบข้าราชการ) จำนวน 7 เล่ม ซึ่งใช้ตัวอย่างจากประวัติศาสตร์มาอภิปรายเรื่องการปฏิรูป, ชื่อฮุ่ย (釋諱; อธิบายข้อห้าม), กว่างกั๋วลุ่น (廣國論),[36] เว่ย์หมิงเฉินโจ้ว (魏名臣奏; ฎีกาของขุนนางที่มีชื่อเสียงแห่งวุยก๊ก)[37]

ครอบครัวและญาติ

[แก้]

เฉิน ฝู (陳符) ผู้มีชื่อรองว่าฉางซิ่น (長信) เป็นบุตรชายของพี่ชายของตันซิ่ว เป็นที่รู้จักในเรื่องความสามารถทางวรรณกรรมและสืบทอดหน้าที่ของตันซิ่วผู้อาในฐานะเจ้าพนักงานสำนักราชเลขาธิการผู้ช่วย และยังรับราชการในตำแหน่งนายอำเภอ (令 ลิ่ง) ของอำเภอช่างเหลียน (上廉縣 ช่างเหลียนเซี่ยน)[38]

น้องชายของเฉิน ฝูคือเฉิน ลี่ (陳蒞) ผู้มีชื่อรองว่าชูตู้ (叔度) รับราชการเป็นผู้ช่วยข้าหลวงมณฑล (別駕 เปี๋ยเจี้ย) ในมณฑลเลียงจิ๋ว (涼州 เหลียงโจว) ภายหลังมาเป็นขุนนางของสุมาฮิว (司馬攸 ซือหม่า โยว) ผู้เป็นเจอ๋อง (齊王 ฉีหวาง) และขุนพลทหารม้าทะยาน (驃騎將軍 เพี่ยวฉีเจียงจฺวิน) เฉิน ลี่เสียชีวิตในลกเอี๋ยงเช่นกัน[39]

เฉิน ลี่มีญาติที่อายุน้อยกว่าชื่อเฉิน เจีย (陳階) ผู้มีชื่อรองว่าต๋าจือ (達之) เฉิน เจียดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้: นายทะเบียน (主簿 จู่ปู้) ของที่ว่าการมณฑลเอ๊กจิ๋ว, เปาจงลิ่ง (褒中令), นายกองร้อยตะวันตก (西部都尉 ซีปู้ตูเว่ย์) ของเมืองเองเฉียง (永昌郡 'หย่งชางจฺวิ้น), เจ้าเมือง (太守 ไท่โฉ่ว) ของเมืองเกียมเหลง (建寧) และซิงกู่ (興古) เฉิน เจียยังเป็นที่รู้จักจากความสามารถทางวรรณกรรม[40]

เฉิน ฝู, เฉิน ลี่และเฉิน เจียต่างการเขียนผลงานมากกว่า 10 งานเขียนจากทั้งหมดมากกว่า 200 งานเขียนที่ถือกันว่าเป็นผลงานของตันซิ่ว[3]

เกร็ดประวัติ

[แก้]

ช่วงไว้ทุกข์ให้บิดา

[แก้]

จิ้นชูระบุว่าตันซิ่วล้มป่วยระหว่างช่วงไว้ทุกข์หลังการเสียชีวิตของบิดา แขกบางคนที่มาเยี่ยมบ้านแสดงความไม่พอใจเมื่อเห็นตันซิ่วให้หญิงรับใช้ป้อนยาให้ตน เพราะตันซิ่วควรใช้ชีวิตอย่างสมถะในช่วงไว้ทุกข์ ชาวเมืองได้ยินเรื่องนี้ต่างก็พากันวิพากย์วิจารณ์ตันซิ่ว[41]

ขัดแย้งกับหลี่ เซียง

[แก้]

หฺวาหยางกั๋วจื้อระบุว่าตันซิ่วเป็นเพื่อนสนิทของหลี่ เซียง (李驤) ผู้มีชื่อรองว่าชูหลง (叔龍) และเป็นชาวเมืองจื่อถง (梓潼郡 จื่อถงจฺวิ้น) หลี่ เซียงมีชื่อเสียงในด้านความสามารถ ชื่อเสียงคล้ายกับตันซิ่ว ได้รับการเสนอชื่อเป็นซิ่วไฉ (秀才) และรับราชการเป็นเจ้าพนักงานสำนักราชเลขาธิการ (尚書郎 ช่างชูหลาง) ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมือง (太守 ไท่โฉ่ว) ของเมืองเจี้ยนผิง (建平郡 เจี้ยนผิงจฺวิ้น) แต่หลี่ เซียงปฏิเสธการแต่งตั้งและอ้างว่าป่วยเพราะตนต้องการคงอยู่ในมณฑลบ้านเกิด ต่อมาหลี่ เซียงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองของเมืองก๋งฮาน (廣漢郡 กว่างฮั่นจฺวิ้น; อยู่บริเวณนครกว่างฮั่น มณฑลเสฉวนในปัจจุบัน) ความสัมพันธ์ระหว่างตันซิ่วและหลี่ เซียงเลวร้ายลงและทั้งสองก็เริ่มกล่าวหาเท็จต่อกันและกัน ข้าราชการคนอื่น ๆ ดูถูกตันซิ่วและหลี่ เซียงเพราะการทะเลาะเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างทั้งคู่[42]

คำแนะนำของเจาจิ๋วแก่ตันซิ่ว

[แก้]

จิ้นชูระบุว่าเจาจิ๋วอาจารย์ของตันซิ่วมักบอกกับตันซิ่วว่า "ท่านจะโด่งดังจากความสามารถของท่านเองเป็นแน่ แต่หากเผชิญหน้ากับความเสื่อมถอยใด ๆ นั่นอาจไม่ใช่ผลจากเคราะห์ร้าย ท่านควรระมัดระวังให้มากในสิ่งที่ท่านจะทำ" ฝาง เสฺวียนหลิงให้ความเห็นว่าประสบการณ์ของตันซิ่วทั้งการถูกลดขั้นและการถูกดูหมื่นระหว่างที่อยู่ในจ๊กก๊ก และถูกกระทำเช่นเดียวกันเมื่อรับราชการกับราชวงศ์จิ้นนั้นสอดคล้องกับสิ่งที่เจาจิ๋วเคยพูดเกี่ยวกับตันซิ่ว[43]

คำวิจารณ์

[แก้]

ฉาง ฉฺวีผู้เขียนบทชีวประวัติตันซิ่วในหฺวาหยางกั๋วจื้อ[g] ยกย่องตันซิ่วไว้ว่า "ศึกษาเรื่องอดีต ชื่อเสียงเทียบซือหม่า เชียนและปาน กู้"[44]

สิ่งตกทอด

[แก้]

ดูเพิ่ม

[แก้]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. บทชีวประวัติตันซิ่วในจิ้นชูระบุว่าตันซิ่วเสียชีวิตขณะมีอายุ 65 ปี (ตามการนับอายุแบบเอเชียตะวันออก) ในศักราชยฺเหวียนคาง (元康) ปีที่ 7 ในรัชสมัยของจักรพรรดิจิ้นฮุ่ยตี้[1] เมื่อคำนวณแล้ว ปีเกิดของตันซิ่วควรอยู่ราว ค.ศ. 233
  2. หู (斛) เป็นหน่วยวัดน้ำหนักของจีนโบราณ อาจมีค่าเทียบเท่ากับ 5 หรือ 10 โต่ว (斗) ขึ้นกับยุคสมัย 1 โต่ว มีค่าเทียบเท่ากับ 120 จิน (斤) 1 จิน มีค่าระหว่าง 500 กรัมถึงประมาณ 605 กรัมตามมาตรฐานปัจจุบัน
  3. ในจิ้นชูบันทึกชื่อของเตงอี้ (ติง อี้) น้องชายของเตงหงีคลาดเคลื่อนเป็น "ติง เฮ่า" (丁暠)
  4. เตงหงีและเตงอี้เป็นสหายสนิทของโจสิด (曹植 เฉา จื๋อ) น้องชายของโจผี (曹丕 เฉา พี) ซึ่งภายหลังเป็นจักรพรรดิผู้ก่อตั้งรัฐวุยก๊ก ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 210 โจผีและโจสิดแย่งชิงอำนาจกันเพื่อสืบทอดตำแหน่งของบิดา การแย่งชิงอำนาจกันสิ้นสุดเมื่อ ค.ศ. 217 ด้วยชัยชนะของโจผี โจผีสั่งประหารชีวิตเตงหงีและเตงอี้หลังขึ้นครองราชย์เมื่อ ค.ศ. 220
  5. ตัวตนของบิดาตันซิ่วไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด
  6. ตำราชุดนี้เรียกว่า อี้ตูฉีจิ้วจฺว้าน (益都耆舊傳; 'ชีวประวัติบุคคลที่มีชื่อเสียงจากนครหลวงของมณฑลเอ๊กจิ๋ว) ในจิ้นชู
  7. บทชีวประวัติตันซิ่วบันทึกอยู่ในหฺวาหยางกั๋วจื้อเล่มที่ 11 ซึ่งมีชื่อเล่มว่า ชีวประวัติของวิญญูชนในยุคหลัง (後賢志 โฮ่วเสียนจื้อ) มีเนื้อหาครอบคลุมประวัติของบุคคลที่มีชื่อเสียงจากภูมิภาคเสฉวนในยุคราชวงศ์จิ้น

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 (元康七年,病卒,時年六十五。) จิ้นชู เล่มที่ 82.
  2. ยง อิงคเวทย์. "สามก๊กจี่และสามก๊กเอี้ยนหงี". สืบค้นเมื่อ August 2, 2024.
  3. 3.0 3.1 (凡壽所述作二百餘篇,符、蒞、階各數十篇。二州先達及華夏文士多為作傳,大較如此。) 'หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  4. (少受學於散騎常侍譙周,治《尚書》、《三傳》,銳精《史》、《漢》。聰警敏識,屬文富豔。) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  5. (初應州命,衛將軍主簿,東觀秘書郎,散騎、黃門侍郎。) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  6. (陳壽,字承祚,巴西安漢人也。少好學,師事同郡譙周,仕蜀為觀閣令史。宦人黃皓專弄威權,大臣皆曲意附之,壽獨不為之屈,由是屢被譴黜。) จิ้นชู เล่มที่ 82.
  7. Roberts 1991, p. 946.
  8. (及蜀平,坐是沈滯者累年。司空張華愛其才,以壽雖不遠嫌,原情不至貶廢,舉為孝廉,除佐著作郎,出補陽平令。撰《蜀相諸葛亮集》,奏之。除著作郎,領本郡中正。) จิ้นชู เล่มที่ 82.
  9. (出為平陽侯相。) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  10. (張華將舉壽為中書郎,荀勖忌華而疾壽,遂諷吏部遷壽為長廣太守。辭母老不就。) จิ้นชู เล่มที่ 82.
  11. (中書監荀勗、令張華深愛之,班固、史遷不足方也。 ... 華表令兼中書郎。而壽《魏志》有失勗意,勗不欲其處內,表為長廣太守。) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  12. จือจื้อทงเจี้ยน เล่มที่ 80.
  13. (杜預將之鎮,複薦之於帝,宜補黃散。由是授御史治書。) จิ้นชู เล่มที่ 82.
  14. (鎮南將軍杜預表為散騎侍郎,詔曰:「昨適用蜀人壽良具員。且可以為侍御史。」) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  15. (以母憂去職。母遺言令葬洛陽,壽遵其志。又坐不以母歸葬,竟被貶議。) จิ้นชู เล่มที่ 82.
  16. (繼母遺令不附葬。以是見譏。) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  17. (後數歲,起為太子中庶子,未拜。) จิ้นชู เล่มที่ 82.
  18. 18.0 18.1 จือจื้อทงเจี้ยน เล่มที่ 83.
  19. (數歲,除太子中庶子。太子廢後,再兼散騎常侍。惠帝謂司空張華曰:「壽才宜真,不足久兼也。」華表欲登九卿,會受誅,忠賢排擯。壽遂卒洛下,位望不充其才,當時冤之。) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  20. (吳平後,壽乃鳩合三國史,著魏、吳、蜀三書六十五篇,號《三國志》 ... ) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  21. (撰魏吳蜀《三國志》,凡六十五篇。時人稱其善敘事,有良史之才。夏侯湛時著《魏書》,見壽所作,便壞己書而罷。張華深善之,謂壽曰:「當以《晉書》相付耳。」其為時所重如此。) จิ้นชู เล่มที่ 82.
  22. (議者以此少之。) จิ้นชู เล่มที่ 82.
  23. (或雲丁儀、丁暠有盛名於魏,壽謂其子曰:「可覓千斛米見與,當為尊公作佳傳。」丁不與之,竟不為立傳。) จิ้นชู เล่มที่ 82.
  24. (誅丁儀丁廙
    《晉書‧陳壽傳》雲:丁廙有盛名於魏。壽謂其子曰:「可覓千斛米見與,當為尊公作佳傳。」丁不與之,竟不為立傳。按丁儀﹑丁廙,官不過右刺姦掾及黃門侍郎,外無摧鋒接刃之功,內無升堂廟勝之效,黨於陳思王,冀搖冢嗣,啟衅骨肉,事既不成,刑戮隨之,斯實魏朝罪人,不得立傳明矣。《晉史》謂索米不得不為立傳,此最無識之言。同時如徐幹、陳琳、阮瑀、應瑒、應璩、劉楨、吳質、邯鄲淳、繁欽、路粹、楊脩皆無傳,益足證《晉史》之誣。) ซานกั๋วจื้อเข่าเจิ้ง เล่มที่ 5.
  25. (壽父為馬謖參軍,謖為諸葛亮所誅,壽父亦坐被髡,諸葛瞻又輕壽。壽為亮立傳,謂亮將略非長,無應敵之才,言瞻惟工書,名過其實。) จิ้นชู เล่มที่ 82.
  26. (陳壽論諸葛亮
    陳壽傳(晉書)「壽父為馬謖參軍,謖為諸葛亮所誅,壽父亦被髡(刑罰,剃髮也),故壽為亮傳,謂將略非所長。」此真無識之論也!
    亮之不可及處,原不必以用兵見長。
    觀壽校定諸葛集表,言「亮科教嚴明,賞罰必信,無惡不懲,無善不顯。至於吏不容奸,人懷自勵。至今梁、益之民,雖甘棠之詠召公,鄭人之歌子產,無以過也。」
    又亮傳後評曰「亮之為治也,開誠心,布公道,善無微而不賞,惡無纖而不貶。終於邦域之內,咸畏而愛之。刑政雖峻而無怨者,以其用心平而勸戒明也。」
    其頌孔明,可謂獨見其大矣!) เอ้อร์ฉือเอ้อร์ฉื่อจ๋าจี้ เล่มที่ 6.
  27. (又國不置史,注記無官,是以行事多遺,災異靡書。) สามก๊กจี่ เล่มที่ 33.
  28. (史官言景星見,於是大赦,改年。) สามก๊กจี่ เล่มที่ 33.
  29. (《礼记》人君言则左史书之,动则右史书之。《周礼》建官备矣,独不闻有所谓左右史者。虽有太史,然不以注记为职。是时诸侯皆有史,岂天子独阙乎?春秋之时,卜田宅者、占云日者,皆称太史,则太史殆阴阳家流。然书赵盾者、书崔杼者,亦称太史,则太史又似掌注记者。盖方是时,学者通知天卜,而卜兴废者亦不甚用蓍龟。太史伯以祝融之功而推楚国之必兴,太史赵以虞舜之德而占陈氏之未亡。其论议证据有绝人者,故阴阳注记得兼掌之。汉司马谈父子为太史令,以论著为己任,而又掌天官,则兼掌之效于兹可见。魏晋之际,始署著作郎,自是太史之职分而为二。孔明之时未也。按后主景耀元年,史官奏景星见,于是大赦改元,而曰蜀不置史,妄矣。) ซานกั๋วจ๋าชื่อ.
  30. (上自司马迁《史记》,下至《五代史》,其间数千百年,正统偏霸与夫僭窃乱贼,甚微至弱之国,外至蛮夷戎狄之邦,史家未有不书其国号者,而《三国志》独不然。刘备父子相继四十馀年,始终号汉,未尝一称蜀;其称蜀,俗流之语耳。陈寿黜其正号,从其俗称,循魏晋之私意,废史家之公法。用意如此,则其所书善恶褒贬予夺,尚可信乎!魏晋之世,称备为蜀,犹五代称李璟为吴,称刘崇为晋矣。今《五代史》作南唐、东汉世家,未尝以吴、晋称之,独陈寿如此,初无义例,直徇好恶耳。往时欧阳文忠公作《五代史》,王荆公曰:‘五代之事无足采者,此何足烦公;三国可喜事甚多,悉为陈寿所坏,可更为之。’公然其言,竟不暇作也,惜哉!) ซานกั๋วจ๋าชื่อ
  31. (撰《蜀相諸葛亮集》,奏之。) จิ้นชู เล่มที่ 82.
  32. (華又表令次定《諸葛亮故事》,集為二十四篇。時壽良亦集,故頗不同。復入為著作。) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  33. 33.0 33.1 (壽又撰《古國志》五十篇、《益都耆舊傳》十篇,余文章傳於世。) จิ้นชู เล่มที่ 82.
  34. (益部自建武後,蜀郡鄭伯邑、太尉趙彥信,及漢中陳申伯、祝元靈,廣漢王文表,皆以博學洽聞,作《巴蜀耆舊傳》。壽以為不足經遠,乃並巴漢撰為《益部耆舊傳》十篇。散騎常侍文立表呈其《傳》,武帝善之。) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  35. (... 又著《古國志》五十篇;品藻典雅。) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  36. (上《官司論》七篇,依據典故,議所因革。又上《釋諱》、《廣國論》。) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  37. Wei Zheng; และคณะ, บ.ก. (1973) [636]. "33: 志第28 經籍二". 隋書 [Book of Sui]. Beijing: Zhonghua Publishing. p. 973.
  38. (兄子符,字長信,亦有文才,繼壽著作佐郎,上廉令。) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  39. (符弟蒞,字叔度,梁州別駕,驃騎將軍齊王辟掾,卒洛下。) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  40. (蒞從弟階,字達之,州主簿,察孝廉,褒中令,永昌西部都尉,建寧、興古太守。階辭章粲麗,馳名當世。) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  41. (遭父喪,有疾,使婢丸藥,客往見之,鄉黨以為貶議。) จิ้นชู เล่มที่ 82.
  42. (時梓潼李驤叔龍,亦雋逸器,知名當世。舉秀才,尚書郎。拜建平太守,以疾辭不就,意在州里。除廣漢太守。初與壽齊望,又相昵友。後與壽情好攜隙,還相誣攻。有識以是短之。) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 08.
  43. (初,譙周嘗謂壽曰:「卿必以才學成名,當被損折,亦非不幸也。宜深慎之。」壽至此,再致廢辱,皆如周言。) จิ้นชู เล่มที่ 82.
  44. (太子中庶子陳壽承祚:庶子稽古,遷、固並聲。) หฺวาหยางกั๋วจื้อ เล่มที่ 11. 01.

บรรณานุกรม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]