ข้ามไปเนื้อหา

แอปเปิลทีวี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Apple TV)
โลโก้แอปเปิลทีวี

แอปเปิลทีวี (อังกฤษ: Apple TV) คือเครื่องเล่นสื่อดิจิทัลประเภทสมาร์ททีวี ที่ถูกพัฒนาและขายโดยแอปเปิล เป็นการรวมอุปกรณ์เครือข่ายขนาดเล็ก (small network appliance) และเครื่องสร้างความบันเทิงที่สามารถในรับข้อมูลแบบดิจิทัลได้หลายรูปแบบรวมถึงข้อมูลแบบสตรีม (stream)ให้สามารถแสดงผลผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ได้

ในรุ่นใหม่ล่าสุดเป็นแอปเปิลทีวี 4K เป็นรุ่นที่สาม ที่ได้เปิดตัว ณ วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2565, ซึ่งสนับสนุนมาตรฐานวิดีโอความละเอียดสูง 1080p (incorporating the higher resolution 1080p) แอปเปิลทีวีมีอุปกรณ์ HDMI ที่สนับสนุนการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่มีความละเอียดสูง หรือ โทรทัศน์ที่มีความละเอียดสูงแบบจอกว้าง (high-definition widescreen television) โดยผ่านทางสาย HDMI ไปยัง HDMI พอร์ตของโทรทัศน์, และแสดงผลในรูปแบบ HDMI (HDMI mode) แอปเปิลทีวีไม่ได้มีปุ่มควบคุมที่ตัวเครื่อง จึงต้องควบคุมผ่านทางตัวควบคุมภายนอก อย่าง แอปเปิลรีโมต (Apple Remote control) ที่รวมมาในบรรจุภัณฑ์ ใช้การควบคุมผ่านอินฟราเรต หรือ จาก แอปพลิเคชัน "Remote" (ดาวน์โหลดได้จาก App Store) บนอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS, เช่น iPhone iPad ใช้การควบคุมผ่าน Wi-Fi ของแอปเปิลทีวี และ Wi-Fi ของแอปเปิลทีวียังสามารรับข้อมูลแบบดิจิทัลจาก iTune ผ่านทาง AirPlay หรือเชื่อมต่อกับ iTunes Store โดยตรง ซึ่งจะเป็นข้อมูลแบบสตรีม แอปเปิลทีวีสามารถเล่นสื่อดิจิทัลจาก iTunes Store, Netflix, Hulu Plus, YouTube และ Vevo, รวมถึงพอร์ทัล TV Everywhere ในบางเคเบิล, โครงข่ายการออกอากาศ (broadcast networks), พอร์ทัลสมาชิกวิดีโอรายใหญ่สามในสี่ของลีกกีฬาในอเมริกาเหนือ MLB.tv, NBA League Pass และ NHL GameCenter ซี่งแอปเปิลสามารถเล่นคอนเทนท์ได้ทั้งจาก Mac OS X หรือ Windows ที่รัน iTunes

คู่แข่งของแอปเปิลทีวีได้แก่ WD TV, Roku, Amazon Fire TV, Google TV, Android TV, Now TV (UK), และ Chromecast, เกมคอนโซล (Console) และ มีเดียฮับ (Media hubs) อย่าง PlayStation 3/4, Xbox 360/One และ Nintendo Wii/WiiU และ TiVo DVR systems รุ่นใหม่, เช่นเดียวกับระบบ internal smart TV and เครื่องเล่นบลูเรย์จากหลายบริษัทอย่าง Vizio, Sharp, Sony, Samsung, LG และอื่น ๆ

ประวัติ

[แก้]

การออกแบบช่วงเริ่มต้น

[แก้]

แอปเปิลทีวีถูกเรียกตอนที่อยู่ในช่วงพัฒนาว่า "iTV" เมื่อ 12 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยมีการปรับเปลี่ยนหน้ากากควบคุมมาใช้ Apple Remote[1][2] แอปเปิลได้เริ่มกล่าวถึงการสั่งซื้อล่วงหน้าสำหรับแอปเปิลทีวีเมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2550 ซี่งชื่อ "iTV" ถูกนำมาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในสายผลิตภัณฑ์ "i" ของแอปเปิล อย่างเช่น iMac, iPod, เป็นต้น, แต่ชื่อ "iTV" ไม่สามารถใช้ได้เนื่องจาก สถานีโทรทัศน์ ITV ถือครองสิทธิ์ในชื่อนี้ที่สหราชอาณาจักรและขู่ว่าจะดำเนินการทางกฎหมายกับแอปเปิล ถ้าหากแอปเปิลใช้ชื่อนี้ในผลิตภัณฑ์

แอปเปิลทีวีที่เริ่มจัดส่งวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2550 พร้อมด้วยฮาร์ดดิสก์ความจุ 40 GB.[3][4] แอปเปิลเปิดตัวรุ่น 160 GB วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2550; และหยุดขายรุ่น 40 GB ในวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552[5]

ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2551 ได้มีการปล่อยซอฟต์แวร์อัฟเกรดหลัก (และฟรี) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแอปเปิลทีวีเป็นเครื่องเล่นอย่างเต็มตัวโดยไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่รัน iTunes บน Mac OS X หรือ Windows เพื่อที่จะรับสตรีม หรือซิงค์คอนเทนท์ให้แอปเปิลทีวี และเป็นการสำรองฮาร์ดดิสก์ส่วนใหญ่ของแอปเปิลทีวี การปรับปรุงนี้ยังอนุญาตให้อุปกรณ์สามารถเช่าและซื้อคอนเทนท์จาก iTunes Store โดยตรง, เช่นเดียวกับการดาวน์โหลดพอดคาสท์ (Podcast) และ รูปภาพแบบสตรีมจาก MobileMe (.Mac ในขณะนั้น) และ Flickr[6]

ในวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 แอปเปิลเปิดตัวแอปพลิเคชัน iTunes Remote บน App Store[7] และซอฟแวร์ปรับปรุงของแอปเปิลทีวีเวอร์ชัน 2.1 ที่ทำให้สามารถมองเห็น iPhone และ iPod Touch เป็นรีโมทควบคุมเพื่อเป็นทางเลือกอื่นของ Apple Remote[8] ในการอัปเดตล่าสุดของแอปเปิลทีวี, iTunes และ โปรแกรม Remote ถูกการสนับสนุนกับ iPad, และแนะนำการสนับสนุนสำหรับคุณสมบัติใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน iTunes

รุ่นถัดมา

[แก้]

รุ่นที่สองแอปเปิลทีวีถูกเปิดตัวในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553[9][10][11] อุปกรณ์ได้ถูกติดตั้งในกล่องขนาดเล็กสีดำ ขนาดประมาณ ¼ ของรุ่นก่อนหน้า แอปเปิลทีวีรุ่นใหม่ไม่มีฮาร์ดดิสค์ภายใน แต่มีหน่วยความจำแบบแฟลชขนาด 8 GB ซึ่งมีเนื้อที่เพียงต่อการทำบัฟเฟอร์เท่านั้น สื่อทั้งหมดจะสตรีมแทนที่จะเป็นการซิงค์[12] และแอปเปิลทีวีรุ่นใหม่สามารถเช่าสตรีมเนื้อหาจาก iTunes และวิดีโอจากคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ iOS ผ่าน แอร์เพลย์ (AirPlay) โดยเนื้อหาทั้งหมดจะถูกดึงมาจากแหล่งข้อมูลออนไลน์หรือเชื่อมต่อจากแหล่งให้บริการท้องถิ่น

ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 แอปเปิลยกเลิกอินเตอร์เฟซควบคุมด้านหน้า

ในวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2555 งานเปิดตัว IPad รุ่นที่ 3 (third generation iPad) โดย Tim Cook ซีอีโอของ Apple ประกาศเปิดตัวรุ่นที่สามของแอปเปิลทีวีใหม่ที่ภายนอกเหมือนกับรุ่นที่สอง และมีหน่วยประมวลผล A5 แบบคอร์เดี่ยว โดยเพิ่มการสนับสนุนสื่อที่มีความละเอียด 1080p จาก iTunes และ Netflix[13] โดยในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 แอปเปิลได้ปล่อยรุ่นที่สาม "Rev A" ที่มีส่วนประกอบที่เปลี่ยนแปลงข้าต

คุณสมบัติ

[แก้]

แอปเปิลทีวียอมให้ผู้ซื้อสามารถใช้เซต HDTV ในการแสดงภาพ, เล่นเพลง และดูวิดีโอที่มาจากบางผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและผู้ให้บริการท้องถิ่นได้ ในรุ่นแรก (สีขาว) จะมี iTunes, Flickr, MobileMe/.Mac และ YouTube ส่วนในรุ่นที่สองได้เพิ่ม Netflix ทั้งสองรุ่นสนับสนุนการดาวน์โหลด/สตรีมพอดคาสต์ (podcasts)

การสนับสนุนบริการสื่ออินเทอร์เน็ตรวมถึง:[14]

  • ผู้ใช้สามารถเข้าถึง iTunes Store ได้โดยตรงผ่านทางแอปเปิลทีวีการเช่าภาพยนตร์, รายการโทรทัศน์, เสียงสตรีม (Stream audio) และพอดคาสต์วิดีโอ ในขณะที่รุ่นแรกของแอปเปิลทีวีสามารถดาวน์โหลดคอนเทนท์, รุ่นที่สองที่ขาดฮาร์ดไดรฟ์, และไม่สามารถจัดเก็บคอนเทนท์ที่ได้ซื้อไปได้ ผู้ใช้ที่อยากจะซื้อคอนเทนท์ผ่านทางแอปเปิลทีวียังสามารถทำได้ แต่ไม่สามารถดาวน์โหลดโดยตรงผ่านทางแอปเปิลทีวีได้. คอนเทนท์จะต้องเป็นการถ่ายทอดสดทางสตรีม หรือดาวน์โหลดผ่านทาง iTunes บนอุปกรณ์ที่มีความสามารถในการจัดเก็บอย่าง คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล, iPhone, iPad, ฯลฯ) ตั้งแต่ พ.ศ. 2551, พอดคาสต์ได้ถูกใช้บริการบนแอปเปิลทีวี เหมือนกับสื่ออื่น ๆ ของวิดีโอ เทียบได้กับ RSS และ Feeds[15][16] จนกระทั่งถึงกลางเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552, แอปเปิลทีวียังคงเป็นวิธีเดียวที่จะซื้อคอนเทนท์ HD iTunes[17]
  • แอปเปิลทีวีสามารถแสดงผลภาพถ่ายจาก Flickr และ iCloud ในการนำเสนอภาพนิ่งด้วยการเปลี่ยนภาพอัตโนมัติแบบ cross-dissolve และมีออปชันแบบ Ken Burns effect[18]
  • Netflix streaming ถูกเพิ่มเข้ามาในช่วงอัปเดตเดือนกันยายน พ.ศ. 2553
  • Hulu Plus ถูกเพิ่มเข้ามาในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2555
  • YouTube และ Vimeo สามารถดูได้ในแอปเปิลทีวีผ่านทางแอปพลิเคชัน[19][20] บัญชี YouTube ไม่จำเป็นต้องใช้, แต่สามารถทำให้ผู้ใช้เลือกค่าความเป็นส่วนตัวอย่างการตั้งรายการโปรดได้[21]
  • Rotten Tomatoes องค์กรตรวจสอบและจัดอันดับในหนังได้ถูกแสดงในหนังที่ให้เช่าแต่ละเรื่อง[22] ผู้มีบัญชีรายชื่อ Rotten Tomatoes ไม่สามารถทำการล็อกอินได้ และรวมถึงไม่มีการเลือกค่าความเป็นส่วนตัว
  • NBA TV และ MLB.tv อนุญาตให้เข้าถึงคะแนน สถิติในลีกและการบริการของทีมสมาชิกในลีก[23] แต่แอปเปิลทีวีไม่สนับสนุน user-defined RSS audio, video และ text feeds[24]
  • WatchESPN, HBO GO, Sky News, Crunchyroll และ Qello ถูกเพิ่มเข้ามาเมื่อ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556[25] WatchESPN และ HBO GO ต้อการ ผู้ให้บริการ TV Everywhere ที่ได้รับสิทธิ์, ส่วน Crunchyroll และ Qello สามารถทำการจ่ายค่าสมาชิกผ่านทางระบบจ่ายเงินของแอปเปิลได้ และ Sky News สามารถรับชมได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายหรือการยืนยันสิทธิ์ใด ๆ สำหรับผู้ใช้ที่อยู่สหภาพอาณาจักร ไอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา
  • Disney Channel, Disney XD (จำเป็นต้องใช้บริการ TV Everywhere), Vevo, Smithsonian Networks และ The Weather Channel (พยากรณ์ ข่าวภูมิอากาศ และวิดีโอพยากรณ์ในภูมิภาค) ถูกรวมเข้ามาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556[26]
  • Yahoo Screen และ PBS ถูกเพิ่มเข้ามาวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556[27]
  • Bloomberg, Crackle, Watch ABC (ต้องทำการสมัครสมาชิกอย่างไรก็ตามบางส่วนสามารถรับชมได้ฟรี), และ KORTV ถูกเพิ่มเข้ามาวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556[28]
  • The WWE Network ถูกเพิ่มเข้าประมาณช่วงปลายของเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557, พร้อมกับ Red Bull TV และ TV4 สำหรับผู้ชมชาวสวีเดน[29]
  • History, Lifetime และ A&E ถูกเพิ่มช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. 2557
  • ABC News, AOL, PBS Kids, Willow TV ถูกเพิ่มในช่วงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2557

รายงานที่ยังไม่ได้ยืนยันแจ้งว่ามีความเป็นไปได้ในการย้าย IOS apps ได้เพื่อให้สามารถในการแข่งขันกับระบบเกมที่ถูกสร้างขึ้นใน Android อย่าง Ouya

ส่วนควบคุมโดยผู้ปกครอง (Parental controls) จะอนุญาตให้ผู้ปกครองจำกัดสิทธิ์เด็กในปกครองในการเข้าถึงสื่อทางอินเทอร์เน็ต ผ่านทาง Restrictions setting ส่วน individual services สามารถในการปิดได้ (อย่างเช่น, เพื่อลดความซับซ้อนในการใช้งาน), และ icons สามารถในการจัดโดยการลากแปะได้แบบ à la iOS. มีเดียอินเทอร์เน็ตถูกแบ่งเป็น 4 กลุ่มได้แก่ "Internet Photos", "YouTube", "Podcasts", และ "Purchase and Rental" ในแต่ล่ะกลุ่มจะถูกควบคุมโดยส่วนควบคุมโดยผู้ปกครอง (Parental control) ด้วย "Show", "Hide" และ "Ask" เพื่อแสดงหน้าจอการกรอกตัวเลขรหัส 4 หลัก ในได้เพิ่ม movies, TV shows, music และ podcasts ให้สามารถควบคุมโดยระดับความเหมาะสมในการรับชม (Rating)[21]

สื่อท้องถิ่น (Local sources)

[แก้]

Apple TV สามารถซิงค์ หรือ สตรีมรูปถ่าย เพลง และวิดีโอจากคอมพิวเตอร์ที่รัน iTunes[30]

ผู้ใช้สามารถติดต่อคอมพิวเตอร์ผ่านทางเครือข่ายท้องถิ่น (Local network) เพื่อที่จะทำการจัดการคลังมีเดียศูนย์กลางของบ้านผู้ใช้ อย่าง CD, DVD และ HD ที่ถูกอัดจากแผ่น (Ripped) ได้[31] การให้การติดต่อโดยตรงผ่านโปรแกรมจัดการรูปภาพอย่าง iPhoto[32] การจำกัดสิทธิ์ในการเข้าถึงโฮมวิดีโอได้เฉพาะทางเครือข่ายท้องถิ่น[33] การเล่นวิทยุอินเทอร์เน็ต,[34][35] หรือ ดึงข้อมูลล่วงหน้า หรือ พรีโหลดสือบนแอปเปิลทีวีเพื่อที่ทำการรับชมในเวลาถัดไปให้เหมือนกับวิดีโอทั่วไป[36] แอปเปิลทีวีสนับสนุนให้ผู้ใช้ที่อยากจะให้แอปเปิลทีวีติดต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านทาง ซิงค์และสตรีมโหมดก็สามารถทำได้[30]

ซิงค์โหมดในแอปเปิลทีวีทำงานคล้าย ๆ กับที่ทำงานใน iPod ทำโดยเชื่อมต่อกับคลังข้อมูล iTunes บนคอมพิวเตอร์และสามารถซิงค์กับคลังหรือทำสำเนาทั้งหมดหรือส่วนที่เลือกในฮาร์ดดิสค์ของแอปเปิลทีวีได้ และแอปเปิลทีวีไม่จำเป็นต้องทำการติดต่อกับเครือข่ายหลังจากทำการการซิงค์เสร็จ[36][37] ภาพถ่ายสามารถทำการซิงค์จาก iPhoto, Aperture, หรือจากโฟดเดอร์ในฮาร์ดิสค์บน Mac, หรือ Adobe Photoshop Album, Photoshop Elements, หรือจากโฟดเดอร์ใน Windows[38]

แอปเปิลทีวีสามารถทำงานเป็นเครื่องเล่นดิจิทัลแบบ peer-to-peer, เล่นสตรีมจากคลังภาพ iTunes และข้อมูลจากเครือข่าย[39][40]

แอปเปิลที่วีรุ่นแรกสามารถเล่นสตรีมกับคอมพิวเตอร์ได้ถึงห้าเครื่องหรือคลังข้อมูลบน iTunes นอกจากนี้ 5 แอปเปิลทีวีสามารถเชื่อมโยงกับคลัง iTunes เดียวกันได้ ในรุ่นที่สองเป็นต้นมาแอปเปิลทีวีให้ผู้ใช้สามารถสตรีมเนื้อหาจากคลังข้อมูล iTunes ได้มากกว่า 1 ที่: มากไปกว่านั้นคลังข้อมูล iTunes สามารถอยู่บนคอมพิวเตอร์เดียวกันหรือไม่ก็ได้ ซึ่งสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อแอปเปิ้ลทีวีและของทุกคลังข้อมูล iTunes ที่คุณต้องการในการสตรีมเนื้อหามีเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (1) แอปเปิลทีวีและ คลังข้อมูล iTunes ที่คุณกำลังสตรีมมิ่งมาจากเครือข่ายท้องถิ่นเดียวกัน (2) ทั้งหมดใช้ฟีเจอร์iTunes "Home Sharing" และ (3) มี "Home Sharing" Apple ID เดียวกัน

รูปแบบข้อมูลที่สนับสนุน (Supported formats)

[แก้]

แอปเปิลทีวีสนับสนุนรูปแบบข้อมูลเสียง วิดีโอ และภาพดังต่อไปนี้:[41]

วีดิโอ (Video)

High or Main Profile level 4.0 หรือ lower, Baseline profile level 3.0 หรือต่ำกว่าด้วย AAC-LC audio จนถึง 160 kbit/s ต่อชาแนล, 48 kHz, stereo audio ในไฟล์ฟอร์แมต .m4v, .mp4, and .mov
  • MPEG-4 ถึง 720×432 (432p) หรือ 640×480 pixels ที่ 30 เฟรมต่อวินาที
MPEG-4 video ถึง 2.5 Mbit/s, 640×480 pixels, 30 เฟรมต่อวินาที, Simple Profile ด้วย AAC-LC audio จนถึง to 160 kbit/s, 48 kHz, stereo audio ในไฟล์ฟอร์แมต .m4v, .mp4, และ .mov
  • Motion JPEG ถึง 720p ที่ 30 เฟรมต่อวินาที
Motion JPEG (M-JPEG) ถึง 35 Mbit/s, 1280×720 pixels, 30 เฟรมต่อวินาที, audio ใน ulaw, PCM stereo audio ใน .avi file format.

ภาพ Picture

Audio

ทีวีที่รองรับ

  • เทียบได้กับ high-definition TVs ด้วย HDMI และรองรับ 1080p หรือ 720p ที่ 60/50 Hz.
  • ต้องการ HDCP เมื่อสื่อมีการป้องกัน
  • แนะนำความเร็วอินเทอร์เน็ตอย่างน้อย 8 Mbit/s หรือเร็วกว่าสำหรับการรับชมภาพยนตร์ 1080p HD movies และ รายทีวี, 6 Mbit/s หรือเร็วกว่าสำหรับรับชมคอนเทนท์ 720p, และ 2.5 Mbit/s หรือเร็วกว่าสำหรับคอนเทนท์ SD

ความพยายามที่จะซิงค์เนื้อหาที่ไม่สนับสนุนในแอปเปิลทีวี มีการแสดงข้อผิดพลาดบน iTunes[43]

รุ่นแรกและครั้งที่สองการแสดงผลของวิดีโอในแอปเปิลทีวีสามารถกำหนดได้ทั้ง 1080i หรือ 1080p; อย่างไรก็ตาม, การแก้ปัญหานี้ถูกจำกัดอยู่ที่ส่วนติดต่อผู้ใช้และการดูรูปภาพ – เนื้อหาอื่น ๆ ทั้งหมดจะถูกปรับให้มีความละเอียดอื่น ซึ่งทั้งสองรุ่นไม่สามารถที่จะเล่นวิดีโอในโหมด 1080i or 1080p ได้ (เช่น HD camera video).[39][40][44][45][46] จนกระทั่งรุ่นที่สามที่สนับสนุน 1080p

แอปเปิลได้นำเสนอภาพยนตร์ H.264 1080p และวิดีโอ podcasts บน iTunes.[47] เปรียบเทียบกับ,ภาพยนตร์ Blu-ray Disc ที่มี 1080p H.264 หรือ การเข้ารหัส วิดีโอ VC-1 ที่ความเร็วสูงถึง 40 Mbit/s.[48]

แอปเปิลทีวีใช้วงจรที่สนับสนุนระบบเสียงแบบ Audio 7.1 surround sound,[49] และในผู้ใช้บริการให้เช่าบางรายให้เช่าแบบ Dolby Digital 5.1 surround sound.[50]

ตัวเลือกใน QuickTime ของแอปเปิลทีวียินยอมให้มีการส่งคอนเทนออกในบางรูปแบบที่อุปกรณ์ไม่สนับสนุนได้ง่ายขึ้นโดยการทำการรีเอนโค้ด (Re-encoded)[51] โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ QuickTime ในการส่งออก ​(Export) สื่อสามารถใช้ตัวเลือกนี้ อย่างเช่น iMovie's Share menu,[52] iTunes' advanced menu,[53] และบางเครื่องมือที่ใช้ในการแปลงคอนเทนของผู้ผลิตรายอื่น[54]

การติดต่อสื่อสาร (Connectivity)

[แก้]
ด้านหลังแอปเปิลทีวีรุ่นที่ 1
ด้านหลังแอปเปิลทีวีรุ่นที่ 2 และ 3

แอปเปิลทีวีวิดีโอสตรีมต่อผ่านสาย HDMI (Type A) ไปยังช่อง HDMI ของโทรทัศน์ ระบบเสียงสนับสนุนผ่านทางเส้นใยนำแสง (optical) หรือช่อง HDMI ในอุปกรณ์ยังมีช่อง Micro-USB ที่สงวนไว้สำหรับการปรับปรุงอุปกรณ์และการตรวจสอบ อุปกรณ์ยังสามารถต่อ Ethernet หรือ Wi-Fi เพื่อติดต่อกับคอมพิวเตอร์สำหรับการรับดิจิทัลคอนเทนท์จากอินเทอร์เน็ตและเครือข่าย แอปเปิลทีวีเองไม่มีการต่อ ระบบเสียงและ ภาพ หรือสายแบบอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้นเพื่อรองรับ ภาพ เสียง หรือสายเคเบิลอื่น ๆ ที่เป็นต่อการใช้งานต้องการเพิ่มเติม[55] ในแอปเปิลทีวีรุ่นก่อน ไฟล์ข้อมูลสามารถโอนย้ายโดยตรงจากเครื่องแอปเปิลทีวีไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นโดยการซิงค์ เมื่อคอนเทนท์ถูกเก็บไว้ที่ฮาร์ดไดร์ของแอปเปิลทีวีแล้ว การต่ออินเทอร์เน็ตก็จำไม่เป็นต้องใช้งานในการดูคอนเทนท์นั้น ๆ[36] ซึ่งจะไม่ได้พบในแอปเปิลทีวีรุ่นหลัง ๆ ที่ไม่มีฮาร์ดไดร์ในเครื่อง

ในแอปเปิลทีวีรุ่นแรกมี วิดีโอคอมโพเนนต์ (Component video) และ RCA connector สำหรับเสียง ซึ่งทั้งสองถูกเอาออกในรุ่นที่สอง ทำให้อุปกรณ์ไม่มี RCA/composite video หรือช่องต่อ F/RF [40][56]

แอร์เพลย์ (AirPlay)

[แก้]

แอร์เพลย์ (AirPlay) ให้อุปกรณ์ที่มีระบบปฏิบัตการ iOS หรือคอมพิวเตอร์ที่เปิดใช้งานแอร์พอร์ต (AirPort-enabled) ด้วยโปรแกรมเพลง iTunes เพื่อส่งเพลงเป็นสตรีมได้ทีล่ะหลาย ๆ สตรีม ( 3 ถึง 6 ) ไปยังจุดเชื่อมต่อสเตอริโอ และไปยังแอร์พอร์ตเอ็กเพรส (AirPort Express) (ในช่วงเริ่มแรกจะเป็นเสียงเพียงอย่างเดียวในแอปเปิลทีวี) หรือ แอปเปิลทีวี[57]

สื่อสตรีมของแอร์พอร์ตเอ็กเพรสสามารถใช้ Apple's Remote Audio Output Protocol (RAOP), เป็นโพรโตคอลหนึ่งใน RTSP/RTP ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของแอปเปิล การใช้ WDS-bridging,[58] แอร์พอร์ตเอ็กเพรสสามารถให้การทำงานแอร์เพลย์ (อย่างเช่น การติดต่ออินเทอร์เน็ต แชร์ไฟล์ และ การแชร์การพิมพ์ เป็นต้น)ในระยะทางไกลได้ถึง 10 ไคลเอนต์ทั้งการสื่อสารถ่าน สาย และไร้สาย

ลำโพงที่ติดมากับแอร์พอร์ตเอ็กเพรส หรือแอปเปิลทีวีสามารถเลือกได้ผ่านทางโปรแกรม "Remote" iPhone/iPod, ซึ่งรองรับการใช้งานผ่านแอร์เพลย์ได้[59] (ดูเพิ่มเติมที่หัวข้อ "Remote control" ที่จะกล่าวต่อไป)

การเข้ากันของแมคที่ใช้ระบบปฏิบัติการ OS X Mountain Lion สามารถแสดงผลหน้าจอไปยังแอปเปิลทีวี ผ่านทางแอร์เพลย์มิรเรอริ่ง (AirPlay Mirroring)[60] และถ้าใช้งานบน OS X Mavericks สามารถใช้งานเพิ่มเติมด้วยแอร์เพลย์ดิสเพลย์ (AirPlay Display)

รีโมทคอนโทร (Remote control)

[แก้]

แอปเปิลทีวีสามารถควบคุมได้ด้วยรีโมทคอนโทรอินฟาเรทได้หลายตัว[61] หรือจะแพร์กับ แอปเปิลรีโมท (Apple Remote) เพื่อป้องกันการรบกวนจากรีโมทอื่น ๆ ก็ได้ [39][62][63] ไม่ว่าจะใช้รีโมทคอนโทรชนิดใดจะสามารถควบคุมหน้าปัดควบคุมเสียงได้ แต่ทำได้เฉพาะการเล่นเพลงเท่านั้น[6][64][65]

แอปเปิลคีบอร์ดไร้สาย (Apple Wireless Keyboard) สามารถใช้ได้ตั้งแต่แอปเปิลทีวีรุ่นที่สองเป็นต้นไป ทำการควบคุมผ่าน Bluetooth[66] ผู้ใช้สามารถควบคุมการเล่นสื่อ, เมนู navigate, การใส่ข้อความ หรือข้อมูลอื่น ๆ คีย์บอร์ดเจ้าอื่นที่ใช้แบบเลย์เอาท์ของแอปเปิลก็สนับสนุนการทำงานนี้เช่นกัน[66]

วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551, แอปเปิลได้ปล่อยฟรีแอปพลิเคชัน Remote, บน iOS ที่ทำให้ iPhone, iPod Touch, และ iPad ควบคุม iTunes บนแอปเปิลทีวีผ่านทาง Wi-Fi[67][68]

ซอฟแวร์ (Software)

[แก้]

เริ่มแรกแอปเปิลทีวีทำงานบน Mac OS X v10.4 Tiger รุ่นปรับปรุง[69] เพื่อให้แสดงผลมายังผู้ใช้ด้วยอินเทอร์เฟต (interface) ที่คล้ายกับ ฟรอนท์โรล (Front Row). เมื่อส่วนอินเทอร์เฟตนี้ถูกรวมเข้ากับ Mac OS X v10.5 ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2550, ซึ่งเป็นการปรับปรุงแอปเปิลทีวีครั้งสำคัญ ("Take Two" และรุ่นถัดไป) ก็ไม่ได้รวม Front Row อีกต่อไป[70] สื่อในแอปเปิลถูกจัดเป็น 6 กลุ่ม (ภาพยนตร์, รายการทีวี, เพลง, YouTube, podcasts, และภาพถ่าย) และแสดงในเมนูเริ่มต้น พร้อมกับตัวเลือก Settings สำหรับการตั้งค่า รวมถึงการอัพเกรดโปรแกรม[71][72] การรวม Apple Remote ถูกใช้ในการเลื่อนเมนูด้วยปุ่มขึ้นลง และเลือกด้วยปุ่มเพลย์ ปุ่มซ้ายขวา ถูกใช้ในการทำดูย้อน และเร่งไปข้างหน้าในขณะทำการชมภาพยนตร์ หรือเลื่อนเพลงไปยังเพลงก่อนหน้า หรือเพลงถัดไปในขณะฟังเพลง[39]

เหมือนแผงหน้าปัดฟรอนท์โรล์บนแมค, ตัวเลือกรายการทีวี จะสามารถให้ผู้ใช้ทำการเรียงข้อมูลด้วยการ เล่นครั้งล่าสุด หรือวันที่ และในตัวเลือกภาพยนตร์ จะสามารถแสดงตัวอย่างภาพยนตร์ที่เข้าใหม่ สามารถทำบุคมาร์คได้กับสื่อภาพยนตร์ทุกชนิด ได้แต่ ภาพยนตร์ รายการทีวี มิวสิควิดีโอ และ วิดีโอพอดคาสต์ แอปเปิลทีวีสามารถทำบุคมาร์คในสตรีมวิดีโอถ้ามีการเล่นอยู่กลางเรื่องเพื่อสามารถเล่นต่อไปได้เมื่อมีการเล่นครั้งถัดไป[73] เมนูย่อย "Music" ก็มีการนำเสนอการทำงานที่คล้ายกับที่ทำในไอพอด (iPod), โดยแสดงเพลงที่มีด้วยการเรียงลำดับตาม ศิลปิน อัลบั้ม เพลง ชนิดของเพลง และผู้แต่ง และยังสามารถทำการสุ่ม และแสดง ออดิโอบุค ประเภทสื่อที่เป็นถูกเลือกด้วยรีโมท ภาพเคลื่อนไหวของอัลบั้มจะถูกแสดงขึ้นมาด้านข้างของสื่อประเภทที่เลือก ในขณะที่ทำการเล่นออดิโอ อย่างเพลงหรือออดิโอพอดแคสต์ แอปเปิลทีวีจะคอยเลื่อนข้อมูลอัลบั้มบนหน้าจอแสดงผลเพื่อป้องกันการไหม้ของหน้าจอแสดงผลบริเวณนั้นจากการแสดงข้อมูลซ้ำ ๆ ที่บริเวณเดียว[73]

ในเครื่องรุ่นที่ 2 แอปเปิลทีวีทำงานบน iOS, แทนที่จะเป็น Mac OS X ที่ถูกปรับปรุงจากรุ่นปกติ ทำให้ส่วนติดต่อผู้ใช้มีบางส่วนไม่ตรงกับในเครื่องรุ่นที่ 1 บ้าง

ข้อมูลทางเทคนิค (Technical specifications)

[แก้]
Legend
สิ้นสุดการผลิต ผลิตภัณฑ์ในปัจจุบัน
รุ่น รุ่นที่ 1 รุ่นที่ 2 รุ่นที่ 3 รุ่นที่ 3 Rev. A
วันที่ออก 9 มกราคม ค.ศ. 2007 1 กันยายน ค.ศ. 2010 7 มีนาคม ค.ศ. 2012 28 มกราคม ค.ศ. 2013
สิ้นสุดการผลิต 1 กันยายน ค.ศ. 2010 7 มีนาคม ค.ศ. 2012 10 มีนาคม ค.ศ. 2013[74] ยังวางขายอยู่
หมายเลขรุ่น - ID รุ่น - หมายเลขการสั่ง A1218 - AppleTV1,1 - MA711LL/A A1378 - AppleTV2,1 - MC572LL/A A1427 - AppleTV3,1 - MD199LL/A A1469 - AppleTV3,2 - MD199LL/A
หน่วยประมวลผล 1 GHz Intel "Crofton" Pentium M[75] Apple A4 (ARM Cortex-A8) Apple A5 (Single core ARM Cortex-A9, dual core with one core closed) Apple A5 (ARM Cortex-A9) Single core (Redesign from A5 dual core).
กราฟิก Nvidia GeForce Go 7300 with 64 MB of VRAM[76] Apple A4 (PowerVR SGX535) Apple A5 (PowerVR SGX543MP2)
หน่วยความจำ 256 MB of 400 MHz DDR2 SDRAM[77] 256 MB[78] 512 MB[79]
ส่วนเก็บข้อมูล ฮาร์ดดิสก์ขนาด 40 GB หรือ 160 GB hard disk 8 GB NAND Flash สำหรับการแคช[79][80]
พอร์ทที่ใช้ติดต่อ USB 2.0 (officially for diagnostic use only, though hackers have managed to allow connectivity of hard disks, mice, and keyboards),[81] infrared receiver, HDMI, component video, optical audio Bluetooth,[66] Micro-USB (reserved for service and diags.), HDMI, infrared receiver, optical audio
เครือข่าย Wi-Fi (802.11b/g and draft-n), 10/100 Ethernet Wi-Fi (802.11a/b/g/n), 10/100 Ethernet
เอาต์พุต 720p over HDMI, Component Video 720p 60/50 Hz (NTSC/PAL), 576p 50 Hz (PAL) over HDMI only 1080p/720p/480p over HDMI only, HDCP capable
480p 60 Hz (NTSC)[82]
(480i 60 Hz is unofficially supported)
 
ออดิโอ Optical audio (48 kHz maximum sample rate), HDMI, RCA analog stereo audio Optical audio (48 kHz fixed sample rate), HDMI
กำลังไฟฟ้า Built-in universal 48 W power supply Built-in universal 6 W power supply
ขนาด 7.8 in (200 mm) (h)
7.8 in (200 mm) (w)
1.1 in (28 mm) (d)
3.9 in (99 mm) (h)
3.9 in (99 mm) (w)
0.9 in (23 mm) (d)
น้ำหนัก 2.4 lb (1.1 kg) 0.6 lb (0.27 kg)
ระบบปฏิบัติการภายใน Mac OS X 10.4 "Tiger" รุ่นปรับแต่ง Apple TV Software 4.0 (พื้นฐานมาจาก iOS 4.1) Apple TV Software 4.2 (พื้นฐานมาจาก iOS 5.1) Apple TV Software 5.2[83] (พื้นฐานมาจาก iOS 6.1)
ระบบปฏิบัติการปัจจุบัน Mac OS X 10.4 "Tiger" รุ่นปรับแต่ง Apple TV Software 6.2 (พื้นฐานมาจาก iOS 7.1.2)

การปรับแต่งและการแฮ็ก (Modifications and hacks)

[แก้]

คุณสามารถบอกรุ่นของเครื่องแอปเปิลทีวีของคุณ โดยไปยัง Setting ของแอปเปิลทีวี แล้วเลือก General และ About แล้วจะนำทำการค้นหาจากเว็บสำหรับรุ่นที่แอปเปิลที่แสดง ตัวอย่างเช่น เครื่องของคุณมีรุ่นเป็น MC572LL/A, เมื่อทำการค้นหาจะเป็น แอปเปิลทีวีรุ่นที่ 2

คุณจำเป็นที่จะต้องทราบรุ่นของแอปเปิลทีวีของคุณก่อนที่จะทำกระบวนการการแก้ไขปรับปรุง การปรับปรุงไม่สามารถทำได้ในบางรุ่น และแอปเปิลทีวีรุ่นที่ 3 ไม่สามารถเจลเบรกได้

รุ่นที่ 1 (1st generation)

[แก้]

ระหว่างวันเปิดตัวของแอปเปิลทีวีรุ่นที่ 1 ได้เกิดการแฮ็กที่เป็นทางพาณิชย์ และไม่ทางพาณิชย์ขึ้น การแฮ็กอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงแอปเปิลทีวีระยะไกล และเพิ่มความสามารถในการสนับสนุนการเข้ารหัส (codecs) อื่น ๆ, การติดตั้ง Mac OS X Tiger ฉบับเต็ม, ใช้งานฮาร์ดไดร์ฟผ่านทาง USB, ใช้งานเพื่อการท่องเว็บ, ใช้รีโมทคอนโทรที่ไม่ใช่ของแอปเปิล, และการดาวน์โหลดเมตาดาต้า (metadata) จาก IMDb[24][84] ในกลางปี พ.ศ. 2552, Fire Core ได้ปล่อยซอร์ฟแวร์ aTV Flash เพื่อให้แอปเปิลทีวีสนับสนุนสื่อในฟอร์แมทอื่น, เว็บเบราว์เซอร์, การสนับสนุน USB ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก, และอื่น ๆ[85] ในฟรีและโอเพนซอร์สรายอื่นอย่าง atvusb-creator ได้ให้ทำเหมือน ๆ กันโดยสามารถใช้ตัวเชื่อมกับกราฟิกพื้นฐานบน Mac และ Windows

ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 แอปเปิลไม่ได้ปกป้องการทำการปรับปรุงโดยผู้ใช้แอปเปิลทีวี แต่เตือนว่าการทำการแฮ็กจะมีผลให้การประกันสิ้นสุดลง[86]

การติดตั้งอัปเดตสำหรับระบบแอปเปิลทีวีโดยปกติจะทำการกำจัดซอฟต์แวร์แฮ็กออก แต่แอปเปิลทีวีที่ถูกแฮ็กส่วนมากจะทำการอัฟเดตได้ปกติ[87]

ปลั๊กอินส่วนมากในฟรอนท์โรล มีส่วนน้อย และไม่ค่อยได้ทำการอัปเดตให้ทำงานกับแอปเปิลทีวีที่ทำงานบน iOS 2.x AwkwardTV รายงานว่ามี 10 ปลั๊กอินจาก 32 ปลั๊กอินที่ได้รับเครื่องหมายการใช้ได้ด้วย "Take Two" อัปเดต[88]

ความนิยมในการปรับแต่ง รวมถึงการเปลี่ยน ส่วนติดต่อผู้ใช้ฟรอนท์โรลในแอปเปิลทีวีด้วยซอร์ฟแวร์ media center ตัวอื่น รวมถึง Plex, XBMC Media Center และ Boxee[24][89] จนถึง Boxee ติดตั้งปลั๊กอิน Netflix Watch Instantly, ซึ่งแอปเปิลทีวีไม่สามารถทำการประมวลผลได้เพียงพอกับการใช้งาน Silverlight framework ที่ปลั๊กอิน Netflix ใช้งานอยู่[90][91]

ผู้ใช้มักปรับฮาร์ดดิสก์ภายในแอปเปิลทีวีรุ่นที่ 1[92]

การแฮ็กฮาร์ดแวร์ทำให้แอปเปิลทีวีรุ่น 1 สามารถส่งเอาท์พุดที่เป็นสีไปยัง composite video[93] สำหรับเฟิร์มแวร์ (firmware) version 3.0 ส่วน เฟิร์มแวร์ 2.x hack เป็นการเรียกเคอร์เนล (kernel) ที่เรียกว่า TVComposite.kext

True 1080p playback และ เอาต์พุตท์ video สามารถเปิดใช้งานบนแอปเปิลทีวีรุ่น 1 โดยการติดตั้ง installing a Broadcom CrystalHD PCI-e card เก็บถาวร 2010-01-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน และ version 10.0 (Dharma) และในตอนหลัง XBMC ทำงานบน Linux แทนที่จะทำงานบน Mac OS X 10.4.x ที่เป็นระบบปฏิบัติการพื้นฐาน ซึ่งได้เริ่มต้นตั้งแต่ มิถุนายน พ.ศ. 2553 โดยผู้สร้างชื่อ Sam Nazarko ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2554 นั้น Nazarko ได้ออกส่วนติดตั้ง GUI สำหรับ Linux และ Windows แพลตฟอร์มที่ทำให้สามารถทำการติดตั้งได้อย่างรวดเร็วสำหรับ Minimal[ต้องการอ้างอิง] distribution ใน distribution ได้เสนอ การสนับสนุน PVR และ AirPlay และยังคงมีการอัปเดตอยู่อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน[94]

AirPlay video และ photo streaming สามารถทำได้ในแอปเปิลทีวีรุ่น 1 โดยการติดตั้ง Remote HD plugin, Plex หรือ XBMC Media Center[ต้องการอ้างอิง]

รุ่นที่ 2 (2nd generation)

[แก้]

แอปเปิลทีวี รุ่นที่ 2 เป็นครั้งแรกที่มีระบบปฏิบัติการที่มาจาก iOS

นักพัฒนาที่ได้ประยุกต์ใช้ iOS jailbreaking ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ทางแอปเปิลไม่อนุมัติ อาจทำให้การประกันสิ้นสุดลงเมื่อถูกติดตั้งในแอปเปิลทีวี การติดตั้งสามารถทำได้โดยดาวน์โหลดแอปเปิลทีวีเฟิร์มแวร์จากเซิร์ฟเวอร์ของแอปเปิล แล้วใช้คัสตอมเฟิร์มแวร์อย่าง Seas0nPass[95] หรือ PwnageTool[96] เพื่อทำการสร้างอัสตอมเฟิร์มแวร์ ผู้ใช้จะติดต่อแอปเปิลทีวีไปยัง iTunes, เปลี่ยนโหมดแอปเปิลทีวีเป็น DFU และเรียกคืน (restore) คัสตอมเฟิร์มแวร์ไปยังแอปเปิลทีวี

คัสตอมเฟิร์มแวร์จะให้การสนับสนุน SSH ไปยังอุปกรณ์ ที่ที่ผู้ใช้สามารถใช้ APT ในการติดตั้งซอร์ฟแวร์ไปยังอุปกรณ์ หรือ GUI รุ่นที่คล้ายกับ Cydia ซึ่งถูกเรียกว่า NitoTV เก็บถาวร 2014-12-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ซึ่งได้รวมถึงไดร์เวอร์ที่ทำการเปิดการทำงานของ Build-in Bluetooth ในปัจจุบันยังมีซอร์ฟแวร์จำนวนไม่มากที่ทำงานได้บนแอปเปิลทีวี อย่างไรก็ตาในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554 กลุ่ม XBMC ได้ออกซอร์ฟแวร์เวอร์ชันแรกอย่างเป็นทางการอย่าง XBMC Media Center เก็บถาวร 2014-07-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน สำหรับอุปกรณ์รุ่นที่สอง เมื่อเร็ว ๆ นี้ Plex Media Center เก็บถาวร 2013-11-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ที่เป็น Thin Client ได้เพิ่งเปิดตัวมา[เมื่อไร?]

ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 นั้น Greenpois0n RC6 ได้ให้การทำเจลเบรกอย่างเต็มที่โดยรองรับแอปเปิลทีวีรุ่นที่ 2 บน iOS 4.2.1 ซึ่งใช้วิธีที่ง่ายกว่า Seas0nPass หรือ PwnageTool[97]

รุ่นที่ 3 (3rd generation)

[แก้]

แอปเปิลทีวีรุ่นที่ 3 ได้ออกมาใน เดือนมีนาคม พ.ศ. 2555 เจลเบรกสำหรับแอปเปิลทีวีรุ่นที่ 3 ได้แสดงให้เห็นถึงการทำที่ยากขึ้นกว่าในเวอร์ชันก่อนหน้า อย่างไรก็ตามในเบต้าเวอร์ชัน Snow3rd อ้างว่าสามารถทำเจลเบรกแอปเปิลทีวีรุ่นที่ 3 ได้[98] แต่หลังจากทำการวิเคราะห์วิดีโอในการทำเจลเบรกคล้ายกับว่ายังไม่สามารถทำได้จริง[99] Bootrom ของแอปเปิลทีวีรุ่นนี้ ได้ถูกทำ hardened เพื่อป้องกันการเข้าใช้งานที่ผ่านทางเจลเบรกในรุ่นก่อนหน้าของแอปเปิลทีวี Bootrom-level เพื่อเข้าใช้ซึ่งจำเป็นที่จะทำการเจลเบรกและแอปเปิลทีวีได้ปิด Micro-USB พอร์ตจนกว่า port จะทำการ fully booted แม้ว่า FireCore LLC กลุ่มที่ทำงานอิสระ ซึ่งได้ทำการนำเสนอการทำเจลเบรกบนแอปเปิลทีวี การแยกตามกลุ่มการทำงาน และมีความเป็นไปได้ในการนำเสนอแอปเปิลทีวีรุ่นที่ 3 ที่ถูกเจลเบรก Plexconnect (giving Plex functionality) ในปัจจุบันสามารถมีโดยไม่จำเป็นต้องทำเจลเบรกสำหรับรุ่นที่ 2 และ รุ่นที่ 3[100][101]

รุ่นที่ 3 Rev A (3rd generation Rev A)

[แก้]

แอปเปิลทีวีรุ่นที่ 3 Rev ได้ถูกนำสุ่ตลาด วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 เหมือนกับรุ่น 3 ก่อนหน้า มันไม่มีการ bootrom เพื่อเข้า และวิธีนี้ยังไม่มีการเจลเบรกสำหรับเครื่องรุ่นนี้ยกเว้น Plexconnect (จากที่กล่าวข้างต้น)

ข้อจำกัด

[แก้]

การใช้งาน

[แก้]

แอปเปิลทีวีไม่มีทีวีจูนเนอร์รวมถึงเครื่องอัดวิดีโอมาพร้อมกับเครื่อง[39][43] ทั้งสองความสามารถนี้สามารถทำได้โดยทำการติดต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านทางผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตรายอื่น อย่าง ซอฟต์แวร์ PVR ที่ติดต่อกับ iTunes และสามารถตั้งเวลาการอัด HDTV โดยอัตโนมัติผ่านทางแอปเปิลทีวีเพื่อที่จะทำการเล่นซ้ำอีกครั้ง[102]

ส่วนติดต่อผู้ใช้ ฟรอนท์โรลไม่มีฟังก์ชันบางอย่างเหมือน iTunes รวมถึงการให้เรทติ้ง, การตรวจสอบยอดเงินในบัญชี, การเพิ่มเงินในบัญชี, การซิงค์ที่จากคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่อง,[103] สนับสนุน (วิทยุทางอินเทอร์เน็ต) เต็มรูปแบบ,[40][104] และเกมส์[105]

การค้นหาภาพยนตร์ต้องทำผ่าน iTunes Store เท่านั้น ไม่สามารถหาจากฮาร์ดดิสก์ของเครื่อง หรือในเครือข่ายได้[106]

การเช่าภาพยนตร์บนแอปเปิลทีวี ต้องรับชมบนแอปเปิลทีวี, ไม่เหมือนกับการเช่าบน iTunes, ที่สามารถส่งไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เปิด อย่าง iPod, iPhone หรือ Apple TV ได้[107][108] แต่ภาพยนตร์ที่ซื้อผ่านทาง Apple TV สามารถจะย้ายไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ ได้ อย่างเช่น iPod หรือ iPhone โดยผ่านทาง iTunes[109]

แอปเปิลทีวีไม่สนับสนุนโพรโทคอล HDMI Consumer Electronics Control (HDMI CEC) สำหรับทำการควบคุมอย่างอัตโนมัติโดยรีโมททีวี

บนแอปเปิลทีวี (รุ่นที่ 2), ดิจิทัลออดิโอเอาพุตท์ (digital output audio) สามารถทำการแซมปลิงได้ถึง 48 kHz, รวมถึงการริบ CD แบบ lossless CD rips ที่ 44.1 kHz แม้ว่าจะเป็นความถี่ที่สูง และความแตกต่างจะไม่ค่อยแตกต่างเมื่อทำการฟังในหลาย ๆ กรณี สื่อออดิโอก็ไม่ได้ดีที่สุดในมุมมองของการส่งข้อมูลทางดิจิทัล[110]

ข้อจำกัดที่ผ่านมาในรุ่นก่อน ๆ

[แก้]

รูปภาพจะเป็นต้องซิงค์กับอุปกรณ์จนกว่า iTunes ทำการอัปเดตสตรีม[111]

ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552, อัปเดตซอฟแวร์รุ่น 2.0 ("Take Two") ยอมให้ผู้ใช้ทำการเช่าภาพยนตร์ที่มีความคมชัดปกติ หรือแบบ HD ที่มีระบบเสียง Dolby Digital 5.1 รอบทิศทาง ซึ่งก่อนหน้านี้แอปเปิลทีวีจะสนับสนุนเฉพาะ Dolby Pro Logic simulated 5.1,[44] จนถึง Full 5.1 Surround Sound digital ถ้าอุปกรณ์ผู้รับสนับสนุน 5.1 ติดต่อด้วยสายใยแก้วไปยังแอปเปิลทีวี และสื่อออดิโอมีการเข้ารหัส (Encode) แบบ Lossless.[112][113] QuickTime และ Apple TV ไม่มี AC-3 codec,[114] และ สื่อของ iTunes Store สนับสนุนแต่เสียงรอบทิศทาง 4.0.[115] สำนักข่าวทางเว็บไซต์ได้รายงานว่าผู้ใช้บางคนได้พยายามเพิ่มส่วนสนับสนุน AC-3 (Dolby Digital) 5.1 channel โดยการแฮ็กแอปเปิลทีวี[116]

ก่อนการอัปเดต 2.3, แอปเปิลรีโมทสามารถทำการควบคุมเสียงและ ฟรอนท์โรลผ่านทาง เครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช (Macintosh) แต่ในแอปเปิลทีวีทำได้แค่การควบคุมเสียง[39][43]

นักวิจารณ์กล่าวว่าแอปเปิลทีวี มีหน้าจอติดต่อผู้ใช้ที่ยุ่งเหยิง ยากต่อการเรียกดูหรือค้นหาภาพยนตร์ และมีความจำเป็นที่ต้องใช้ Netflix-like queues และ "watched" flags หรือวันที่[117][118] แอปเปิลได้ปล่อย ลิสท์ภาพยนตร์ที่ต้องการ ลิสท์สำหรับเล่นภาพยนตร์ และ แฟลกที่แสดงการเคยรับชม ในแอปเปิลทีวี เวอร์ชัน 2.1 ถึง 2.4.[6][119]

ตอนเริ่มต้นแอปเปิลทีวีใช้ QuickTime 7,[120] ดังนั้นจึงไม่สามารถเล่นวิดีโอที่ใช้ H.264 Sample Aspect Ratio (ต้องใช้ QuickTime X)[121][122] ซึ่งในรุ่นที่ 2 แอปเปิลถึงสนับสนุน H.264[123]

การขาย

[แก้]

Apple TV (รุ่นที่ 1)

[แก้]

ภายในสัปดาห์แรกของการจองในเดือนมกราคม พ.ศ. 2550 แอปเปิลทีวีเป็นสินค้าที่เป็นที่ 1 ในการจองอุปกรณ์การที่แอปเปิลสโตร์ (Apple Store)[124] การจองมากว่า 100,000 ชุดในปลายเดือนมกราคม และแอปเปิลคาดว่าจะขายได้กว่าล้านชุดก่อนช่วงฤดูฮอลิเดย์ของปี 2550[125] นักวิเคราะห์เริ่มกล่าวขวัญให้เป็น "ผู้ฆ่า DVD" ("DVD killer")[126] ที่สามารถให้บริการได้หลายบริการ นักวิเคราะห์คาดการว่าแอปเปิลจะสามารถขายได้กว่า 1.5 ล้านชุดในปีแรก[127] นอกจากแอปเปิลสตอร์ (Apple Store), Best Buy เป็นผู้ค้ารายปลีกรายแรกที่ขายอุปกรณ์นี้[128] Target และ Costco[129] ขายตามหลังจากนั้นไม่นาน

หลังจากขายได้ 2 เดือน Forrester Research คาดการว่าแอปเปิลสามารถขายแอปเปิลทีวีได้ล้านชุด เนื่องจากผู้บริโภคชอบสื่อที่มีโฆษณามากกว่าสื่อที่ต้องจ่ายค่าสมาชิก Forrester คาดว่าบริษัทเคเบิลจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์มากกว่าผู้ให้บริการสืออย่าง iTunes Store[130] หลังจากนั้นไม่นานแอปเปิลได้ปล่อยฟังก์ชันการดู YouTube และบ่งบอกถึงแอปเปิลทีวีเป็น "เครื่องเล่น DVD สำหรับอินเทอร์เน็ต" ในนักวิเคราะห์บางสำนักคาดว่า "ยูทูปบนแอปเปิลทีวีมีศักยภาพและมีโอกาสจะพัฒนาไปในอนาคต" [131] แต่โดยรวมแล้วนักวิเคราะห์ยังมีความเห็นที่เป็นเชิงลบกล่าวถึงอุปกรณ์นี้คือเป็นงานอดิเรก ที่มีความสำคัญน้อยกว่า แมคอินทอช (Macintosh),ไอพอด (iPod), และ ไอโฟน (iPhone)[132]

ในไตรมาสสุดท้ายของปี พ.ศ. 2551 มียอดขายมาถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี พ.ศ. 2550[133]

ในรายงานทางการเงินไตรมาสแรกของแอปเปิล ปี พ.ศ. 2552 ทางการประชุมทางไกล ทิม คุก ในขณะนั้นเป็น acting chief executive ได้กล่าวว่า การขายแอปเปิลทีวีได้เพิ่มเป็น 3 เท่าเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเขาใด้ให้ความสำคัญกับธุรกิจการเช่าภาพยนตร์ที่กำลังเป็นไปได้ด้วยดีสำหรับแอปเปิล ซึ่งแอปเปิลเองควรที่จะทำการลงทุนต่อไปกับการให้เช่าภาพยนตร์ และแอปเปิลทีวี, แต่แอปเปิลทีวียังคงเป็นงานอดิเรกของบริษัทต่อไป[133] จากการเติบโตของสื่อทีวีดิจิทัล และผู้บริโภคได้หันมาใช้บริการสื่อทางเลือก, นักวิเคราะห์ได้คาดการว่าจะสามารถขายแอปเปิลทีวีได้กว่า 6.6 ล้านเครื่องในปลายปี พ.ศ. 2552[134]

Apple TV (รุ่นที่ 2)

[แก้]

รุ่นที่สองขายได้ 250,000 ชุดในสองสัปดาห์แรกหลังเปิดตัว ในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553 แอปเปิลประกาศว่าสามารถขายถึงแอปเปิลทีวีได้ 1 ล้านชุด[135] และในไตรมาสที่สองของปี พ.ศ. 2554 ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 2 ล้านชุด โดยขายได้ 820,000 ชุดถูกขายในไตรมาสนี้[136]

ในวันที่ 24 มกราคม 2555 แอปเปิลประกาศว่าสามารถขายได้ 1.4 ล้านชุดในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2555[137] และ 2.8 ล้านชุดในปี พ.ศ. 2554[138] (4.2 ล้านชุดจนถึงวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553)

Apple TV (รุ่นที่ 3)

[แก้]

ทิม คุก (Tim Cook) ได้นำเสนอที่การประชุม All Things Digital conference ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2555 และสามารถขาดได้ 2.7 ล้านเครื่องในปี พ.ศ. 2555[139]

ผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายของปี พ.ศ. 2555, Engadget รายงานข้อมูลจาก ทิม คุก ว่า แอปเปิลสามารถนำส่งแอปเปิลที่ได้กว่า 1.3 ล้านเครื่องในไตรมาสที่ 4 ของปี (คาดการว่าเป็นแอปเปิลทีวีรุ่นที่ 3)[140]

MacObserver รายงานข้อความจาก ทิม คุก ในไตรมาสที่ 1 ของปี พ.ศ. 2556 ผลประกอบการของแอปเปิล สามารถขายแอปเปิลทีวีกว่า 2 ล้านเครื่องในปลายเดือนธันวาคมของปีก่อนหน้า (คาดการว่าเป็นแอปเปิลทีวีรุ่นที่ 3)[141]

จากการรายงานที่กล่าวมานำไปสู่การประมาณการปริมาณการขายสะสนของรุ่นที่ 3 ได้กว่า 6 ล้านเครื่องในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

วันที่ 28 กุมภาพันธุ์ พ.ศ. 2557 ที่งานผู้ถือหุ้นแอปเปิลพบแอปเปิล CEO ทิม คุกได้แสดงให้เห็นว่าปี พ.ศ. 2556 แอปเปิลทีวีทำรายได้กว่า 1 ล้านบาทให้แก่แอปเปิล[142]

เปรียบเทียบกับ แมคมินิ (Mac Mini comparison)

[แก้]

ผู้ที่ต้องการหาทางเลือกอื่นทดแทนแอปเปิลทีวี อาจพิจารณาไปยังอุปกรณ์ Mac Mini เนื่องจากฮาร์ดแวร์ที่มีความสามารถมากกว่า แม้ราคาจะสูงกว่า แต่ก็เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับ Home Theater PC (HTPC)[143][144] เหมือนกับคอมพิวเตอร์ทั่วไป, แมคมินิ ขาดความเรียบง่าย และความง่ายต่อการใช้งานเหมือนแอปเปิลทีวี แมคมินิจำเป็นต้องได้รับการยืนยันในสำหรับ FairPlay เพื่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์ซึ่งไม่เหมือนกับแอปเปิลทีวี หรืออุปกรณ์อื่นภายใต้ระบบปฏิบัติการ iOS อย่างไรก็ตาม การกำหนดค่าเพื่อใช้งานแอปพลิเคชันโฮมเทียร์เตอร์เพียงครั้งเดียว ผู้ชมก็สามารถใช้งานรีโมทรคอนโทรอย่าง ระบบนำทางในฟรอนท์โรล (Front Row) แม้ว่าในการจัดการสื่ออื่น ๆ ยังคงเป็นส่วนเสริม[145] ฟรอนท์โรล (Front Row) จะสามารถใช้ใน Mac OS X 10.4 จนถึง 10.6, และถูกเอาออกใน Mac OS X Lion (10.7) เป็นต้นไป ข้อได้เปรียบในมินิแมค คือสามารถเพิ่มที่เก็บข้อมูล สนับสนุนวิดีโอและออดิโอได้หลายฟอร์เแมต และสามารถใช้ตัวจัดการสื่อของผู้ผลิตรายอื่นได้ แมคมินิรีโมทสามารถควบคุมเสียงได้ทุกแอปพลิเคชันทั้งวิดีโอ และออดิโอ

แมคมินิสามารถเล่นสตรีมอย่าง YouTube, Hulu และ Netflix โดยใช้บราวว์เซอร์ หรือ แอปพลิเคชัน HTPC ฟรีในเวอร์ชันเต็มอย่าง Plex และ XBMC Media Center

แอปเปิลทีวีจำเป็นต้องทำการแฮ็กเพื่อทำการเพิ่มซอฟต์แวร์อย่าง Plex และ XBMC Media Center เพื่อชดเชยความสามารถที่ถูกลดทอนการทำงานของเบราว์เซอร์พื้นฐานในระบบ ตั้งแต่โปรแกรมพวกนี้ไม่ได้อยู่ในการส่วนการติดตั้งและโปรแกรมที่ถูกต้องจากผู้ผลิตได้เอาการแฮ็กออกทำให้การติดตั้งมีผลทำให้การประกันสิ้นสุดลง[146]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Cohen, Peter (September 12, 2006). "Apple 'It's Showtime!' event". Macworld. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-09. สืบค้นเมื่อ September 13, 2006.
  2. Eran, Daniel (September 13, 2006). "How Apple's iTV Media Strategy Works". RoughlyDrafted Magazine. สืบค้นเมื่อ June 19, 2009.
  3. "Apple TV Now Shipping". Apple press release. March 21, 2007. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-03-28. สืบค้นเมื่อ April 3, 2007.
  4. "Apple TV Now Shipping". Apple. March 21, 2007. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-03-28. สืบค้นเมื่อ April 3, 2007.
  5. Arya, Aayush (September 14, 2009). "Apple drops price of 160GB Apple TV, kills 40GB model". Macworld. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-10-05. สืบค้นเมื่อ September 14, 2009.
  6. 6.0 6.1 6.2 "Apple TV: About Apple TV software updates". Apple. November 19, 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-05. สืบค้นเมื่อ November 20, 2008.
  7. Ricker, Thomas (2008-07-10). "Apple's Remote: turns your iPhone into a WiFi remote control". Engadget. AOL. สืบค้นเมื่อ 2008-07-14.
  8. Bohon, Cory (2008-07-10). "Apple TV 2.1 update goes live, adds MobileMe support". The Unofficial Apple Weblog. AOL. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-07-14. สืบค้นเมื่อ 2008-07-14.
  9. "Overhauled Apple TV unveiled". The Spy Report. Media Spy. September 2, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-13. สืบค้นเมื่อ September 8, 2010.
  10. Helft, Miguel (September 1, 2010). "From Apple, a Step Into Social Media for Music". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-09-11. สืบค้นเมื่อ September 8, 2010.
  11. Heussner, Ki Mae (September 1, 2010). "Apple Goes 'Wild' Over New iPods". ABC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-09-04. สืบค้นเมื่อ September 8, 2010.
  12. "Apple TV 2nd Generation Teardown — Page 2". iFixit. สืบค้นเมื่อ March 28, 2012.
  13. "Apple".
  14. "What is Apple TV?". Apple. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-04-21. สืบค้นเมื่อ March 11, 2009.
  15. Laporte, Leo (March 26, 2007). "TWiT 92: The Tiki Gods". TWiT. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-21. สืบค้นเมื่อ April 3, 2007. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |coauthors= ถูกละเว้น แนะนำ (|author=) (help)
  16. Colligan, Paul (February 13, 2008). "7 Ways Apple TV Changes The Game And What Podcasters Need To Know And Do About It". paulcolligan.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-01-17. สืบค้นเมื่อ March 13, 2009.
  17. Patel, Nilay (March 19, 2009). "Apple adds HD video purchases to the iTunes Store". engadgetHD. สืบค้นเมื่อ March 21, 2009.[ลิงก์เสีย]
  18. Heid, Jim (February 19, 2008). "Apple TV "Take Two" Flickrs Dimly". Maclife. สืบค้นเมื่อ March 13, 2009.
  19. "Photos of AppleTV update: YouTube, security". MacNN. June 20, 2007. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-25. สืบค้นเมื่อ June 30, 2007.
  20. Horwitz, Jeremy (June 20, 2007). "The Complete Guide to Apple TV 1.1 Software and YouTube". iLounge. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-29. สืบค้นเมื่อ July 16, 2007.
  21. 21.0 21.1 Lynch, Jim (February 15, 2008). "Hands On with Apple TV 2.0". ExtremeTech. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-06-07. สืบค้นเมื่อ March 12, 2009.
  22. "Apple – Apple TV – Rent HD movies and TV shows, stream Netflix, and more". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-10-29. สืบค้นเมื่อ October 26, 2010.
  23. "The Apple TV Guide". theapple.tv. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-03. สืบค้นเมื่อ March 15, 2011.
  24. 24.0 24.1 24.2 Cheng, Jacqui (April 9, 2007). "Plugins for the Apple TV: RSS and Perl scripts". Ars Technica. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-04-28. สืบค้นเมื่อ April 11, 2007.
  25. Bell, Killian (June 19, 2013). "HBO GO & WatchESPN Now Available On Apple TV With iOS 5.3 Update". Cult of Mac. สืบค้นเมื่อ September 16, 2013.
  26. Gurman, Mark (August 27, 2013). "Apple TV updated with Vevo, Disney Channel, Disney XD, Weather Channel, Smithsonian apps". 9to5Mac. สืบค้นเมื่อ September 16, 2013.
  27. "Now playing: Yahoo Screen and PBS on your Apple TV". Macworld. 19 November 2013. สืบค้นเมื่อ 19 November 2013.
  28. Hall, Zac (December 13, 2013). "Apple TV adds Crackle, Watch ABC, and KORTV channels in addition to Bloomberg". 9to5Mac. สืบค้นเมื่อ December 13, 2013.
  29. "Apple TV 6.1 update makes it easier to hide unwanted channels". AppleInsider. 10 March 2014. สืบค้นเมื่อ 16 March 2014.
  30. 30.0 30.1 "Apple TV Fast Start: The New User's Guide for Apple TV". Apple. November 26, 2008. สืบค้นเมื่อ June 18, 2009.
  31. "My Apple TV Take Two Review: Ripping DVDs, Creating a Media Library, and HD Downloads". myhdtvchoice.com. March 1, 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-23. สืบค้นเมื่อ March 13, 2009.
  32. "My Take on Apple TV, Take Two". tunegardener.com. February 17, 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-08-31. สืบค้นเมื่อ March 13, 2009.
  33. "Liberate Your Memories: Home Movies on Your Apple TV". "theAppleBlog". October 8, 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-25. สืบค้นเมื่อ March 13, 2009.
  34. Breen, Christopher (September 4, 2008). "Adding streaming radio to Apple TV". Macworld. สืบค้นเมื่อ March 13, 2009.
  35. Lu, Mat (April 30, 2008). "Apple TV offers limited internet radio support". The Unofficial Apple Weblog. สืบค้นเมื่อ March 14, 2009.[ลิงก์เสีย]
  36. 36.0 36.1 36.2 Pegoraro, Rob (March 29, 2007). "Apple Tries to Bridge Computer Desk, Living Room". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ June 18, 2009.
  37. "iTunes for Windows 8.0 Help: Syncing your Apple TV with iTunes". Apple. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-02. สืบค้นเมื่อ April 14, 2007.
  38. "Apple TV: Syncing Photos via iTunes". Apple. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-26. สืบค้นเมื่อ March 15, 2009.
  39. 39.0 39.1 39.2 39.3 39.4 39.5 Cheng, Jacqui; Ecker, Clint (March 27, 2007). "Apple TV: an in-depth review". Ars Technica. สืบค้นเมื่อ April 2, 2007.
  40. 40.0 40.1 40.2 40.3 Falcone, John P. (March 27, 2007). "Review: Apple TV best for iTunes addicts". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-04-10. สืบค้นเมื่อ April 3, 2007.
  41. "Apple TV Technical Specifications". Apple. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-09-07. สืบค้นเมื่อ September 5, 2010.
  42. "Apple TV: Tip – สร้างสื่อภาพยนตร์ด้วย AC-3 audio สำหรับ true surround sound". Apple. สืบค้นเมื่อ April 7, 2011.
  43. 43.0 43.1 43.2 Kafasis, Paul (March 22, 2007). "AppleTV Surprises And Impressions". Software's Under the Microscope. Rogue Amoeba. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-03-27. สืบค้นเมื่อ April 3, 2007.
  44. 44.0 44.1 Breen, Christopher (March 30, 2007). "Apple TV". Macworld. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-04-29. สืบค้นเมื่อ April 22, 2007.
  45. Sadun, Erica (April 5, 2007). "AP disses Apple TV". The Unofficial Apple Weblog. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-04-20. สืบค้นเมื่อ April 10, 2007.
  46. Reynolds, Paul (March 21, 2007). "Apple TV: Is it a "must-see" show". Consumer Reports. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-13. สืบค้นเมื่อ April 22, 2007.
  47. "apple.com - Apple TV". Apple. January 15, 2013. สืบค้นเมื่อ January 15, 2013.
  48. Ou, George (April 7, 2010). "Here's what fake HD video looks like". ZDNet. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-31. สืบค้นเมื่อ March 28, 2012.
  49. Frakes, Dan (March 28, 2007). "Hacking Apple TV". Macworld. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-04-27. สืบค้นเมื่อ April 23, 2007.
  50. "Apple TV – HD Movie Rentals". Apple. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-02-04. สืบค้นเมื่อ January 29, 2008.
  51. Horwitz, Jeremy (March 18, 2007). "QuickTime gains 720P Apple TV high-definition export mode". iLounge. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-03-29. สืบค้นเมื่อ April 3, 2007.
  52. "iMovie 8.0 Help: Watching your movies on Apple TV". Apple. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-06-13. สืบค้นเมื่อ March 12, 2009.
  53. Breen, Christopher (February 5, 2009). "DVD ripping FAQ". Macworld. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-03-11. สืบค้นเมื่อ March 12, 2009.
  54. Macworld has a guide for using the tools to convert media to Apple TV-compatible formats: Seff, Jonathan (April 4, 2007). "Convert video for Apple TV". Macworld. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-04-16. สืบค้นเมื่อ April 20, 2007.
  55. "Apple TV technical specifications". สืบค้นเมื่อ 4 June 2014.
  56. "Apple TV – Tech Specs". Apple. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-04-07. สืบค้นเมื่อ April 3, 2007.
  57. "Apple TV: Using AirPlay". Apple. November 20, 2008. สืบค้นเมื่อ March 12, 2009.
  58. "Apple WDS Setup". Support.apple.com. February 11, 2011. สืบค้นเมื่อ March 28, 2012.
  59. "iTunes Remote". Apple. September 13, 2011. สืบค้นเมื่อ March 28, 2012.
  60. "OS X Mountain Lion - Inspired by iPad. Made for the Mac". Apple. Apple Inc. สืบค้นเมื่อ February 22, 2012.
  61. "About Remote Learning on Apple TV". Apple. November 20, 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-04-06. สืบค้นเมื่อ March 11, 2009.
  62. "Pairing and Unpairing the Apple Remote with Apple TV". Apple. สืบค้นเมื่อ April 21, 2007.
  63. Breen, Christopher (May 31, 2006). "My multimedia Mac mini". Macworld. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-06-11. สืบค้นเมื่อ April 21, 2007.
  64. Carlson, Jeff (November 21, 2008). "Apple TV 2.3 Adds AirTunes, Volume Control". TidBITS. สืบค้นเมื่อ November 21, 2009.
  65. McNulty, Scott (November 24, 2008). "Apple TV 2.3: Now With More Remotes, and Remote Music". PC World. สืบค้นเมื่อ March 12, 2009.
  66. 66.0 66.1 66.2 "Apple TV: Using the Apple Wireless Keyboard". Apple. April 26, 2013. สืบค้นเมื่อ September 14, 2013.
  67. The Apple Remote Application can also be used to control your PC's iTunes Library, WiFi connected speaker system and more.Ricker, Thomas (July 10, 2008). "Apple's Remote: turns your iPhone into a WiFi remote control". Engadget. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-07-14. สืบค้นเมื่อ July 14, 2008.
  68. Bohon, Cory (July 10, 2008). "Apple TV 2.1 update goes live, adds MobileMe support". The Unofficial Apple Weblog. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-07-14. สืบค้นเมื่อ July 14, 2008.
  69. "What operating system do the Apple TV models use? Do they run Mac OS X? Do they run iOS?". EveryMac. April 12, 2013. สืบค้นเมื่อ September 16, 2013.
  70. Bower, Graham (January 1, 2009). "Could the new Mac mini and Apple TV be the same product?". Mac Predictions. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-29. สืบค้นเมื่อ June 19, 2009.
  71. "Gallery: Apple TV Take 2 software update". MacNN. February 12, 2008. สืบค้นเมื่อ March 12, 2009.
  72. "How to update Apple TV software". Apple. September 2, 2008. สืบค้นเมื่อ March 12, 2009.
  73. 73.0 73.1 Breen, Christopher (March 22, 2007). "Apple TV Diary: Out of the box". Macworld. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-04-27. สืบค้นเมื่อ April 20, 2007.
  74. "TV (3rd Generation, Early 2012) Specs". EveryMac.com. สืบค้นเมื่อ September 16, 2013.
  75. "What's inside an Apple TV: Tear-down reveals (almost) all". AppleInsider. March 28, 2007. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-08-19. สืบค้นเมื่อ August 1, 2007.
  76. "Pentium M-based Intel chip at heart of Apple TV". AppleInsider. January 15, 2007.
  77. Shimpi, Anand Lal (March 22, 2007). "Apple TV". AnandTech. สืบค้นเมื่อ March 23, 2007.
  78. "New Apple TV Offers 8 GB of Internal Storage, 256 MB RAM". MacRumors. September 29, 2010.
  79. 79.0 79.1 "ATV3 Teardown". XBMC Forums.
  80. "Apple TV 2nd Generation Teardown". iFixIt. September 29, 2010.
  81. Cheng, Jacqui (January 9, 2007). "ARS at Macworld: Questions about the Apple TV". Ars Technica. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-03-08. สืบค้นเมื่อ March 23, 2007.
  82. "Apple TV (1st generation) – Technical Specifications". Apple. September 29, 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-09-14. สืบค้นเมื่อ October 1, 2010.
  83. "New Apple TV (Model A1469) Discovered In FCC Filings, Likely To Arrive With Updated A5X (SoC) Processor". สืบค้นเมื่อ April 5, 2013.
  84. staff. "The AwkwardTV Plug-in Directory". AwkwardTV. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-11. สืบค้นเมื่อ March 24, 2009.
  85. Haney, Mike (October 30, 2008). "Polish the Apple TV". Popular Science. สืบค้นเมื่อ June 20, 2009.
  86. Cheng, Jacqui (April 5, 2007). "Apple denies meddling with Apple TV hacks". Ars Technica. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-05-09. สืบค้นเมื่อ March 11, 2007.
  87. staff (July 8, 2007). "June 20, 2007 Patch (aka the YouTube Patch)". AwkwardTV.org. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-29. สืบค้นเมื่อ July 16, 2007.
  88. staff. "ATV2-Compatible Plugins". AwkwardTV. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-13. สืบค้นเมื่อ March 24, 2009.
  89. Todd Harter. "atvusb-creator – Google Code". Twine Bookmark. Twine. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-04-20. สืบค้นเมื่อ March 24, 2009.
  90. Zjawinski, Sonia (April 9, 2009). "Apple TV + Boxee, the Discoveries Continue". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-04-12. สืบค้นเมื่อ April 13, 2009.
  91. "Netflix does not work on the Apple TV". Boxee forums. April 11, 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-04-09. สืบค้นเมื่อ April 13, 2009.
  92. "How-to: Upgrade the drive in your Apple TV". Engadget. March 23, 2007. สืบค้นเมื่อ June 23, 2009.
  93. Sorrel, Charlie (September 9, 2007). "Gadget Lab Hardware News and Reviews Apple TV Hacked to Output Full Composite Color". Wired Magazine. สืบค้นเมื่อ June 20, 2009.
  94. "CrystalHD for AppleTV". Stm Labs. March 28, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-05-22. สืบค้นเมื่อ March 9, 2011.
  95. "Jailbreaking 101 - Seas0nPass : FireCore Support". Support.firecore.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-07-21. สืบค้นเมื่อ March 28, 2012.
  96. "PwnageTool". Blog.iphone-dev.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-10-21. สืบค้นเมื่อ March 28, 2012.
  97. "Jailbreak Apple TV 2G iOS 4.2.1 with GreenPois0n RC6".
  98. "Snow3rd for Jailbreak Apple TV 3". Snow3rd. สืบค้นเมื่อ September 16, 2013.
  99. "Apple TV 3 Jailbreak Status Update and $2500 Bounty Launch". Apple TV 3 Jailbreak. May 15, 2013. สืบค้นเมื่อ September 16, 2013.
  100. "Introducing PlexConnect, an AppleTV client which Thinks Different". Plex. June 4, 2013. สืบค้นเมื่อ September 16, 2013.
  101. Frost, Kyle (August 13, 2012). "What's this? An Apple TV 3 jailbreak is in the works". Today's iPhone. สืบค้นเมื่อ September 16, 2013.
  102. Sadun, Erica (April 18, 2007). "Elgato releases EyeTV 2.4 update". The Unofficial Apple Weblog. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-05-02. สืบค้นเมื่อ April 20, 2007.
  103. Chartier, David (March 29, 2007). "Apple TV: What you can't do". The Unofficial Apple Weblog. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-05-02. สืบค้นเมื่อ April 4, 2007.
  104. Dilger, Daniel Eran (February 5, 2009). "How Apple TV can score at the big 3.0". RoughlyDrafted Magazine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-09. สืบค้นเมื่อ March 17, 2009.
  105. Berka, Justin (March 7, 2007). "Apple TV might have games, eventually". Ars Technica. สืบค้นเมื่อ July 21, 2007.
  106. Horwitz, Jeremy (January 30, 2008). "What to Expect From Apple TV 2.0: Photos and Details". iLounge. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-27. สืบค้นเมื่อ July 8, 2009.
  107. "How to rent a movie from the iTunes Store on Apple TV". Apple. December 1, 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-27. สืบค้นเมื่อ March 12, 2009.
  108. "iTunes Store movie rental usage rights in the United States". Apple. December 17, 2008. สืบค้นเมื่อ March 17, 2021.
  109. Block, Ryan (January 16, 2008). "iTunes and Apple TV rentals and purchases: what you can (and can't) do". Engadget. สืบค้นเมื่อ March 17, 2009.
  110. "All about the numbers..." AVHub.com.au. February 23, 2011.
  111. AppleInsider Staff (June 29, 2007). "iTunes 7.3 supports iPhone, adds Apple TV photo streaming". AppleInsider. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-07-04. สืบค้นเมื่อ June 30, 2007.
  112. Eran, Daniel (March 27, 2007). "Ten Myths of the Apple TV: 5.1 Audio". Roughly Drafted Magazine. Roughly Drafted. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-04-06. สืบค้นเมื่อ April 3, 2007.
  113. "Get Dolby Digital output from Apple TV without hacking". Apple TV Source. April 16, 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-13. สืบค้นเมื่อ April 20, 2007.
  114. Dave (January 15, 2007). "5.1 surround sound playback on Mac (and maybe Apple TV)". This Much I Know. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-07-02. สืบค้นเมื่อ July 22, 2007.
  115. Eran, Daniel (February 25, 2007). "Apple TV: iTunes Store Movie Quality vs DVD, HD, Cable". Roughly Drafted Magazine. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-29. สืบค้นเมื่อ July 3, 2007.
  116. "AC3 Passthrough success?". AwkwardTV.org. May 21, 2007. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-07-04. สืบค้นเมื่อ July 22, 2007.
  117. "Netflix reveals $100 Apple TV competitor". AppleInsider. May 20, 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-25. สืบค้นเมื่อ March 17, 2009.
  118. Howard, Todd (May 5, 2008). "Why Apple TV Needs a Subscription Offering". Zoom In Online. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-29. สืบค้นเมื่อ March 17, 2009.
  119. David Hollington, Jesse (June 25, 2009). "Instant Expert: Secrets & Features of Apple TV 2.4". iLounge. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-26. สืบค้นเมื่อ July 9, 2009.
  120. "Apple TV: What kinds of music and movies can I play on Apple TV?". Support.apple.com. December 2, 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-07-29. สืบค้นเมื่อ July 12, 2010.
  121. "11.7. Using MEncoder to create QuickTime-compatible files". Mplayerhq.hu. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-07-16. สืบค้นเมื่อ July 12, 2010.
  122. "[MPlayer-DOCS] r30566 – trunk/DOCS/xml/en/encoding-guide.xml". Mailinglistarchive.com. February 14, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-05. สืบค้นเมื่อ July 12, 2010.
  123. "Apple TV — Buy the New Apple TV with 1080p HD — Apple Store (U.S.)". Store.apple.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-03-07. สืบค้นเมื่อ March 28, 2012.
  124. AppleInsider Staff (January 17, 2007). "Apple TV tops best seller list at Apple Store". AppleInsider. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-29. สืบค้นเมื่อ July 18, 2007.
  125. staff (January 24, 2007). "Apple TV Blowing Away Expectations". Apple Recon. สืบค้นเมื่อ September 3, 2007.
  126. Martin, Scott (February 20, 2007). "Apple TV: DVD Killer?". redherring.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-02-02. สืบค้นเมื่อ July 18, 2007.
  127. Christ, Steve (March 22, 2007). "Apple's Next Evolution". Wealth Daily. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-06. สืบค้นเมื่อ March 18, 2009.
  128. Ogg, Erica (March 21, 2007). "Best Buy finagles Apple TV exclusive". CNET. สืบค้นเมื่อ July 18, 2007.
  129. Cheng, Jacqui (April 30, 2007). "Apple TV shows up at Target and...Costco?". Ars Technica. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-04. สืบค้นเมื่อ June 18, 2009.
  130. Plesser, Andy (May 24, 2007). "Apple TV Sales Will Stall at 1 Million". AlwaysOn. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-13. สืบค้นเมื่อ July 18, 2007.
  131. Crum, Rex (May 31, 2007). "Apple boosts analysts' hopes for Apple TV". MarketWatch. CBS. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-07-03. สืบค้นเมื่อ July 18, 2007.
  132. Block, Ryan (May 30, 2007). "Steve Jobs live from D 2007". Engadget. สืบค้นเมื่อ June 18, 2009.
  133. 133.0 133.1 McLean, Prince (January 21, 2009). "Apple TV sales up threefold, will see continued investment". "RoughlyDrafted Magazine". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-01. สืบค้นเมื่อ March 14, 2009.
  134. "Is Apple planning a DVR and web-enabled TV set?". TechRadar.com. March 2, 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-03-06. สืบค้นเมื่อ March 18, 2009.
  135. Apple Stock Watch. "Apple TV Sales Hit 250,000 in Q4". MacObserver. สืบค้นเมื่อ March 28, 2012.
  136. AppleInsider: Total shipments of new Apple TV top 2 million, 820K sold last quarter – report. April 19, 2011. Apple TV Second Generation holds 32 Percent of Internet Connected TV Markets
  137. "Apple Q1 2012: le trimestre de tous les records". Maximejohnson.com. สืบค้นเมื่อ March 28, 2012.
  138. "Apple's CEO Discusses Q1 2012 Results - Earnings Call Transcript". สืบค้นเมื่อ April 5, 2013.
  139. "Apple TV has Sold 2.7 Million Units This Year, Says Tim Cook". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-11-19. สืบค้นเมื่อ April 5, 2013.
  140. "Apple Q4 2012 earnings: $36 billion in revenue, $8.2 billion net profit". สืบค้นเมื่อ April 5, 2013.
  141. "Apple Earnings Report Q1 - 2013 on January 23rd, 2013". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-01-22. สืบค้นเมื่อ April 5, 2013.
  142. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-02. สืบค้นเมื่อ 2014-07-24.
  143. Pegoraro, Rob (March 20, 2009). "Apple Liberates HD Movies From Apple TV". Washington Post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-01-17. สืบค้นเมื่อ March 21, 2009.
  144. Akhtar, Iyaz (January 16, 2007). "Apple TV vs. Mac mini – Which one is right for you?". the Apple Blog. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-14. สืบค้นเมื่อ March 18, 2009.
  145. Saunders, Grover (2007). "Mac mini: The original Apple TV alternative". Ars Technica. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-03-02. สืบค้นเมื่อ March 3, 2009. {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help)
  146. "Apple Hardware Warranty" (PDF). Apple. 2009. สืบค้นเมื่อ June 19, 2009. The Apple Warranty explicitly excludes coverage "to a product or part that has been modified to alter functionality or capability without the written permission of Apple"

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]