แอลแคปโทนิวเรีย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แอลแคปโทนิวเรีย (Alkaptonuria)
ชื่ออื่นโรคปัสสาวะสีดำ (Black urine disease), โรคกระดูกสันหลัง (black bone disease), แอลแคปโทนิวเรีย (alcaptonuria)
ใบหน้าของผู้ป่วยแสดงการเปลี่ยนสี
สาขาวิชาวิทยาต่อมไร้ท่อ

แอลแคปโทนิวเรีย หรือ แอลแคปโทนูเรีย (Alkaptonuria) เป็นโรคพันธุกรรมหายากชนิดหนึ่งที่เกิดจากมิวเทชั่นในยีน HGD สำหรับเอนไซม์ฮอมอเจนทิเสต 1,2-ไดออกซีจีเนส (homogentisate 1,2-dioxygenase — EC 1.13.11.5) ร่างกายของผู้ป่วยจะเกิดการสะสมของสารอินเทอร์มีเดียทที่เรียกว่า กรดฮอมอเจนทิสิก (homogentisic acid) หรือฮอมอเจนทิเสต (homogentisate) ในเลือดและเนื้อเยื่อ กรดฮอมอเจนทิเสต และอัลคัปโทน (alkapton) ซึ่งเป็นรูปออกไซด์ จะถูกขับถ่ายออกทางปัสสาวะและอุจจาระส่งผลให้เกิดสีที่ดำเข้มผิดปกติ กรดฮอมอเจนติสิกสามารถสร้างอันตรายต่อกระดูกอ่อน (ซึ่งเรียกส่าอาการ ออครอนอซิส; ochronosis ซึ่งอาจนำไปสู่ ออสทีโออาร์ธริทิส; osteoarthritis) และ ลิ้นหัวใจ เช่นเดียวกับเร่งให้เกิดนิ่วในไตและอวัยวะอื่น ๆ อาการของโรคมักเกิดในผู้ป่วยที่อายุเกินสามสิบปี ในขณะที่การเปลี่ยนสีของปัสสาวะเป็นสีเข้มนั้นสามารถพบได้ตั้งแต่แรกเกิด

ประวัติศาสตร์[แก้]

แอลแคปโทนิวเรียเป็นหนึ่งในสี่โรคที่ Archibald Edward Garrod เคยกล่าวและอธิบายถึงว่าเป็นผลจากการคั่งของสารมัธยันตร์ (intermediates) อันเกิดจากความผิดปกติทางเมทาบอลิก เขาได้เขื่อมโยงอาการ ochronosis เข้ากับการคั่งของสารแอลแคปแทนส์ (alkaptans) ในปี 1902[1][2] มุมมองของเขาต่อโรคนี้และประเด็นศึกษาเกี่ยวกับกรรมพันธุ์ของเขาได้ถูกสรุปเมื่อปี 1908 ในครูออเนียนเลคเชอร์ ที่ราชแพทยาลัยแห่งบริเตน[1][3][4]

ความผิดปกตินี้ได้ถูกจำกัดความลงเหลือที่ความผิดปกติของเอนไซม์โฮโมเจนติเสดออกซิเดสในงานศึกษาจากปี 1958[1][5] พื้นฐานทางพันธุศาสตร์ได้ถูกทำให้กระจ่างในปี 1996 เมื่อมิวเทชั่นในยีน HGD ได้ถูกค้นพบ[1][6]

ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งจากปี 1977 พบว่ามัมมี่อียิปต์โบราณหนึ่งอาจมีอาการของโรคแอลแคปโทนิวเรีย[7][8]

อาการ[แก้]

ดิสก์กระดูสันหลัง (Intervertebral discs) เกิดการแคลซิไฟด์ (calcification) ผลจากอาการของออครอนอซิส (ochronosis)

ผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการในวัยเด็กหรือวัยรุ่น แต่ปัสสาวะอาจพบเป็นสีน้ำตาลหรือดำเมื่อถูกเก็บตัวอย่างมาทิ้งไว้ในอากาศ[9] การเกิดสีเข้มนี้สามารถพบได้ในกระดูกอ่อนรวมถึงใบหู,[9][10] และส่วนตาขาว กับ คอร์เนียลลิมบัส ของดวงตา[11]

การรักษา[แก้]

ไม่มีการรักษาใดที่แสดงมห้เห็นอย่างชัดเจนส่าสามารถรักษาอาหารต่าง ๆ ของแอลแคปทอนิวเรียได้ การรักษาหลัก ๆ จะมุ่งเน้นไปที่การรักษาอาการของ ochronosis ผ่านการลดระดับกรดโฮโมเจนติสิกในเลือด หนึ่งในวิธีรักษาที่พบมากคือการให้ผู้ป่วยรับกรดแอสคอร์บิก (วิตามินซี) ขนานใหญ่ หรือจำกัดการรับประทานกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยวิตามินซีนี้ไม่ได้มีผลการรักษาที่เป็นประสิทธิภาพอย่างชัดเจน[9] และในการศึกษาทางคลินิกพบว่าการลดการทานฟีนิลอะลานีนลง (ซึ่งทำได้ยาก) ก็ไม่ได้แสดงผลที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน[9]

งานซึกษาจำนวนหนึ่งเสนอว่ายาฆ่าหญ้า nitisinone อาจมีผระสิทธิภาพในการรักษาแอลแคปทอนิวเรีย เนื่องจากมันจะไปยับยั้งเอนไซม์ 4-hydroxyphenylpyruvate dioxygenase ซึ่งจะแปลงไทรอซีนไปเป็นกรดโฮโมเจนติสิก จึงสามารถลดการคั่งของโฮโมเจนติเสดในเลือดได้ การศึกษาพบว่าการรักษาด้วยยาตัวนี้สามารถลดปริมาณโฮโมเจนติเสดในเลือดและปัสสาวะของผู้ป่วยลงได้มากถึง 95%[9] ปัญหาหลักประการเดียวคือไม่มีผู้สดทราบถึงความเสี่ยงระยะยาวของการสะสมของไทรอซีนในร่างกาย โดยเฉพาะความเป็นไปได้ที่อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา การรักษาวิธีนี้ในระยะยาวจำเป็นต้องมีการนิดตามผลข้างเคียงโดยตลอด[9]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Zatkova2011
  2. Garrod AE (1902). "The incidence of alkaptonuria: a study in clinical individuality". Lancet. 2 (4137): 1616–1620. doi:10.1016/S0140-6736(01)41972-6. PMC 2230159. PMID 8784780. Reproduced in Garrod AE (2002). "The incidence of alkaptonuria: a study in chemical individuality. 1902 classical article". Yale Journal of Biology and Medicine. 75 (4): 221–31. PMC 2588790. PMID 12784973.
  3. Garrod AE (1908). "The Croonian lectures on inborn errors of metabolism: lecture II: alkaptonuria". Lancet. 2 (4428): 73–79. doi:10.1016/s0140-6736(01)78041-5.
  4. Garrod AE (1909). "Inborn errors of metabolism". Oxford University Press. OL 7116744M.
  5. La Du BN, Zannoni VG, Laster L, Seegmiller JE (1 January 1958). "The nature of the defect in tyrosine metabolism in alcaptonuria". Journal of Biological Chemistry. 230 (1): 251–60. PMID 13502394. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2008-05-31. สืบค้นเมื่อ 2020-08-08.
  6. Fernández-Cañón JM, Granadino B, Beltrán-Valero de Bernabé D, และคณะ (1996). "The molecular basis of alkaptonuria". Nature Genetics. 14 (1): 19–24. doi:10.1038/ng0996-19. PMID 8782815.
  7. Stenn FF, Milgram JW, Lee SL, Weigand RJ, Veis A (1977). "Biochemical identification of homogentisic acid pigment in an ochronotic egyptian mummy". Science. 197 (4303): 566–8. Bibcode:1977Sci...197..566S. doi:10.1126/science.327549. PMID 327549.
  8. Lee, SL.; Stenn, FF. (Jul 1978). "Characterization of mummy bone ochronotic pigment". JAMA. 240 (2): 136–8. doi:10.1001/jama.1978.03290020058024. PMID 351220.
  9. 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 9.5 Ranganath LR, Jarvis JC, Gallagher JA (May 2013). "Recent advances in management of alkaptonuria (invited review; best practice article)". J. Clin. Pathol. 66 (5): 367–73. doi:10.1136/jclinpath-2012-200877. PMID 23486607.
  10. Speeckaert R, Van Gele M, Speeckaert MM, Lambert J, van Geel N (July 2014). "The biology of hyperpigmentation syndromes". Pigment Cell Melanoma Res. 27 (4): 512–24. doi:10.1111/pcmr.12235. PMID 24612852.
  11. Lindner, Moritz; Bertelmann, Thomas (2014-01-30). "On the ocular findings in ochronosis: a systematic review of literature". BMC Ophthalmology (ภาษาอังกฤษ). 14 (1): 12. doi:10.1186/1471-2415-14-12. ISSN 1471-2415. PMC 3915032. PMID 24479547.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

การจำแนกโรค
ทรัพยากรภายนอก