แบร็สต์ (ประเทศฝรั่งเศส)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แบร็สต์
ประเทศฝรั่งเศส
แคว้นเบรอตาญ
จังหวัดฟีนิสแตร์
เขตแบร็สต์
สหเทศบาลBrest Métropole Océane
การปกครอง
 • นายกเทศมนตรี (พ.ศ. 2557-2563) ฟร็องซัว กุยย็องดร์ (พรรคสังคมนิยม)
พื้นที่149.51 ตร.กม. (19.12 ตร.ไมล์)
ประชากร
 (พ.ศ. 2551)2
142,097 คน คน
เขตเวลาUTC+1 (CET)
 • ฤดูร้อน (เวลาออมแสง)UTC+2 (CEST)
รหัสอีนเซ/ไปรษณีย์29019 /29200
สูงจากระดับน้ำทะเล0–103 m (0–338 ft)
(avg. 34 m หรือ 112 ft)
เว็บไซต์https://www.brest.fr/
1 ข้อมูลอาณาเขตที่ตามขึ้นทะเบียนไว้โดยไม่รวมทะเลสาบ, หนองน้ำ, ธารน้ำแข็งที่ขนาดใหญ่กว่า 1 ตารางกิโลเมตรตลอดจนปากแม่น้ำ 2 Population without double counting: residents of multiple communes (e.g., students and military personnel) only counted once.

แบร็สต์ (ฝรั่งเศส: Brest, ออกเสียง: [bʁɛst]) เป็นชื่อเมืองในจังหวัดฟีนิสแตร์ (Finistère) แคว้นเบรอตาญ (หรือบริตตานีในภาษาอังกฤษ) ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศส ไม่ไกลจากปลายด้านตะวันตกของคาบสมุทรเบรอตง แบร็สต์เป็นเมืองที่อยู่ตะวันตกที่สุดของเขตปกครองฝรั่งเศส และเป็นที่ตั้งของท่าเรือทางทหารที่สำคัญเป็นอันดับสองรองจากตูลง จากการสำรวจสำมะโนประชากรในปี พ.ศ. 2552 แบร็สต์มีจำนวนผู้อยู่อาศัย 142,722 คน และเป็นเมืองที่มีจำนวนพลเมืองหนาแน่นเป็นอันดับที่ 22 ของฝรั่งเศส แบร็สต์เป็นศูนย์กลางของเขตปกครองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของแคว้นเบรอตาญตะวันตก ให้บริการดูแลราษฎรจำนวน 1 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่[1] แม้ว่าจะเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของฟีนิสแตร์ แต่เมืองหลักของจังหวัดกลับเป็นแก็งแปร์ (Quimper) ที่มีขนาดเล็กกว่ามาก

ในยุคกลาง ประวัติความเป็นมาของแบร็สต์ส่วนมากเกี่ยวข้องกับปราสาท จนกระทั่งพระคาร์ดินัลรีเชอลีเยอ ได้เปลี่ยนเมืองให้เป็นท่าเรือทางทหาร แบร็สต์จึงกลายเป็นคลังสรรพาวุธจนถึงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ที่เมืองถูกทำลายอย่างหนักจากการจู่โจมทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 ศูนย์กลางของเมืองได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ภายหลังการเสร็จสิ้นของสงคราม ในช่วงปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ไปถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 เมืองลดความสำคัญของอุตสาหกรรมลง และหันมาให้ความสำคัญกับธุรกิจการให้บริการแทน ปัจจุบันแบร็สต์เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นบริตตานี ที่มีนักศึกษากว่า 23,000 คน[2]

นอกเหนือจากการเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความหลากหลายทางวิชาการแล้ว แบร็สต์และพื้นที่ล้อมรอบยังเป็นแหล่งของโรงเรียนและสถาบันสำหรับชนชั้นสูงที่มีชื่อเสียง อาทิ โรงเรียนนายเรือแห่งฝรั่งเศส (the French Naval Academy) เตเลกอมเบรอตาญ (Télécom Bretagne) และสถาบันเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งเบรอตาญ (Superior National School of Advanced Techniques of Brittany) นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์วิจัยที่สำคัญซึ่งมุ่งเน้นในเรื่องเกี่ยวกับทะเล ได้แก่ สถาบันการวิจัยเรื่องการแสวงประโยชน์จากทะเลแห่งฝรั่งเศส (French Research Institute for Exploitation of the Sea) ศูนย์ข้อมูลการวิจัยและทดลองด้านมลภาวะทางน้ำ (Centre of Documentation, Research and Experimentation on Accidental Water Pollution) และสถาบันวิจัยขั้วโลกใต้

ประวัติศาสตร์ของแบร็สต์เกี่ยวโยงกับทะเลมาโดยตลอด ในปี พ.ศ. 2295 โรงเรียนนายเรือก่อตั้งขึ้นพร้อม ๆ กันกับการสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินชาร์ล เดอ โกล และทุก ๆ 4 ปี แบร็สต์จะจัดงานเฉลิมฉลองระดับนานาชาติเนื่องในเทศกาลเกี่ยวกับทะเลและการเดินเรือ ซึ่งจะเป็นแหล่งพบปะและดึงดูดนักเดินเรือจากทั่วทุกมุมโลก

ประวัติศาสตร์[แก้]

เมืองแบร็สต์ พ.ศ. 2322
เมซงเดอลาฟองแตน ในเขตเรอกูฟ์ร็องซ์ คือหนึ่งในบ้านที่เก่าแก่ที่สุดของแบร็สต์ (ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ไปจนถึงช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18)

ก่อนหน้าปี พ.ศ. 1783 แบร็สต์ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก จนกระทั่งเคานต์แห่งลียงยกให้ฌ็องที่ 1 ดยุกแห่งเบรอตาญ ต่อมาในปี พ.ศ. 1885 ฌ็องที่ 4 ได้ส่งมอบแบร็สต์ให้กับอังกฤษซึ่งยึดครองไว้จนกระทั่งปี พ.ศ. 1940 ความสำคัญของแบร็สต์ในช่วงยุคกลางมีมากจนทำให้เกิดคำพูดที่ว่า "ไม่มีดยุกแห่งเบรอตาญคนใด ที่ไม่ใช่ลอร์ดของแบร็สต์" ด้วยการอภิเษกสมรสระหว่างพระเจ้าฟร็องซัวที่ 1 แห่งฝรั่งเศส กับพระราชินีโกลด พระธิดาในแอนน์แห่งบริตานี สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส ทำให้แบร็สต์กลายเป็นดินแดนภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ความได้เปรียบของแบร็สต์ในฐานะเมืองท่าเรือเดินทะเลเป็นที่ยอมรับครั้งแรกโดยพระคาร์ดินัลรีเชอลีเยอ ผู้สร้างท่าเทียบเรือไม้ในปี พ.ศ. 2174 ซึ่งเวลาต่อมาได้กลายเป็นฐานที่มั่นของทัพเรือฝรั่งเศส หลังจากนั้น ฌ็อง-บาติสต์ กอลแบร์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้สร้างท่าเรือใหม่ด้วยการก่ออิฐ ต่อด้วยการสร้างป้อมปราการโดยโวบ็อง ในระหว่างปี พ.ศ. 2223 – 2231 ความสำคัญของเมืองในฐานะที่มีปราการทางทะเลที่แน่นหนา สามารถป้องกันข้าศึกได้ดำเนินมาต่อเนื่องจนถึงศตวรรษที่ 18 ในปี พ.ศ. 2237 กองเรือรบภายใต้บัญชาการของลอร์ดเบิร์กลีย์แห่งอังกฤษ ได้พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงในการมาโจมตีแบร็สต์

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี พ.ศ. 2460 แบร็สต์ถูกใช้เป็นท่าขึ้นฝั่งของกองทหารหลายพันนายที่เดินทางมาจากสหรัฐอเมริกา เพื่อผ่านไปยังแนวด้านหน้าของสนามรบ[3] ต่อเนื่องมาจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมันใช้แบร็สต์เป็นฐานขนาดใหญ่ของเรือดำน้ำ หลังจากการบุกครองนอร์ม็องดี ของฝ่ายสัมพันธมิตรในปี พ.ศ. 2487 การต่อสู้ที่แบร็สต์ถือเป็นสมรภูมิรบที่ดุเดือดที่สุดของแนวรบด้านตะวันตก เมืองเกือบทั้งหมดถูกทำลาย ภายหลังสงครามเสร็จสิ้น รัฐบาลของเยอรมันตะวันตกต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลหลายพันล้านดอยช์มาร์ค เป็นค่าปฏิกรรมสงครามให้กับแบร็สต์ เพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเมือง ปัจจุบันพื้นที่ขนาดใหญ่หลายแห่งและอาคารถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยหินแกรนิตและคอนกรีต และฐานทัพเรือของฝรั่งเศสกลายเป็นศูนย์ฝึกอบรม[4]

ในปี พ.ศ. 2515 กองทัพเรือฝรั่งเศสทำพิธีเปิดฐานทัพเรือดำน้ำอาวุธนิวเคลียร์อย่างเป็นทางการที่เกาะลงก์ (Île Longue) ในอาณาเขตของแบร็สต์ ซึ่งยังคงเป็นฐานที่มั่นสำคัญของเรือดำน้ำขีปนาวุธนิวเคลียร์ของฝรั่งเศสมาจนถึงปัจจุบัน

ประชากร[แก้]

ปี (พ.ศ.) จำนวนประชากร (คน) เปลี่ยนแปลง (ร้อยละ) ปี (พ.ศ.) จำนวนประชากร (คน) เปลี่ยนแปลง (ร้อยละ)
2336 24,180 - 2449 85,294 +1.2%
2343 25,865 +7.0% 2454 90,540 +6.2%
2349 22,130 −14.4% 2464 73,960 −18.3%
2364 26,361 +19.1% 2469 67,861 −8.2%
2374 29,860 +13.3% 2474 69,841 +2.9%
2379 29,773 −0.3% 2479 79,342 +13.6%
2384 48,225 +62.0% 2489 74,991 −5.5%
2389 55,820 +15.7% 2497 110,713 +47.6%
2394 61,160 +9.6% 2505 136,104 +22.9%
2399 54,665 −10.6% 2511 154,023 +13.2%
2404 67,833 +24.1% 2518 166,826 +8.3%
2409 79,847 +17.7% 2525 156,060 −6.5%
2415 66,270 −17.0% 2533 147,956 −5.2%
2419 66,828 +0.8% 2542 149,634 +1.1%
2424 69,110 +3.4% 2548 145,100 −3.0%
2429 70,778 +2.4% 2550 142,722 −1.6%
2434 75,854 +7.2% 2551 142,097 −0.4%
2439 74,538 −1.7% 2555 141,315 −0.6%
2444 84,284 +13.1% - - -

มุทราศาสตร์ และ ธัชวิทยา[แก้]

Blason Brest(29).svg

นิยามของตรา: ด้านซ้ายเป็น เฟลอร์เดอลี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของราชอาณาจักรฝรั่งเศสในอดีตสีทองสามดวงบนพื้นสีกรมท่า ด้านขวาเป็นพื้นลายสีดำบนพื้นสีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแคว้นเบรอตาญ เมื่อรวมกันหมายถึงการร่วมกันของฝรั่งเศสและแบร็สต์ ประกาศใช้เป็นครั้งแรกภายใต้ความเห็นชอบร่วมกันของสภาเทศบาลเมืองในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2226[5]

หลังจากท่าเรือแห่งแรกของดัชชีแห่งแบร็สต์ (เบรอตง: Dugelezh Breizh)ได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลาที่แคว้นแยกจากอังกฤษ ได้ใช้ธงสัญลักษณ์ไม้กางเขนสีดำ (เบรอตง: Kroaz Du) ซึ่งต่อมามีการปรับปรุงหลายครั้ง โดยล่าสุดธงเป็นสัญลักษณ์ของสหภาพของฝรั่งเศสและแบร็สต์

ธงของแบร็สต์
ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 
ธงของแบร็สต์
ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 
ธงของแบร็สต์
ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 
ธงพิธีการของแบร็สต์: ธงที่ใช้มากที่สุดของเบรสต์ในปัจจุบัน 

อ้างอิง[แก้]

  1. "Brest.fr – Brest perspectives". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-03.
  2. Gaële MALGORN (22 February 1999). "Brest accueille ses 23 000 étudiants". Participation Brest. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-18. สืบค้นเมื่อ 6 April 2011.
  3. Van Wyen, Adrian O. (1969). Naval Aviation in World War I. Washington, D.C.: Chief of Naval Operations. p. 65.
  4. "The Nizkor Project - Nuremberg Trials transcript". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-01-26.
  5. Malte-Brun (1882). "Donne un autre blason en parallèle à celui ci-dessus : D'azur à un navire d'or, au chef d'hermine". La France illustrée.
ทั่วไป

บรรณานุกรม[แก้]

ตีพิมพ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 19
  • C.B. Black (1876). "Brest". Guide to the North of France. Edinburgh: Adam and Charles Black. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |chapterurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|chapter-url=) (help)
ตีพิมพ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 20
  • "Grenoble". The Encyclopaedia Britannica (11 ed.). New York: Encyclopaedia Britannica. 1910. OCLC 14782424. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |chapterurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|chapter-url=) (help)

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]