เนวิลล์ ซัททอลล์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนวิลล์ ซัททอลล์
(Neville Southall)
ซัททอลล์ ในปี ค.ศ. 2007
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม Neville Southall[1]
วันเกิด (1958-09-16) 16 กันยายน ค.ศ. 1958 (65 ปี)
สถานที่เกิด แลนดิดโน, เวลส์
ส่วนสูง 1.85 m (6 ft 1 in)
ตำแหน่ง ผู้รักษาประตู
สโมสรเยาวชน
1970–1973 แลนดิดโน สวิฟต์
1973–1974 แลนดิดโน ทาวน์
1974–197? แบงกอร์ ซิตี
197?–1979 คอนวี ยูไนเต็ด
1979–1980 วินสฟอร์ด ยูไนเต็ด
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
1980–1981 บิวรี 39 (0)
1981–1998 เอฟเวอร์ตัน 578 (0)
1983 → พอร์ต เวล (ยืมตัว) 9 (0)
1997–1998 → เซาท์เอนด์ ยูไนเต็ด (ยืมตัว) 9 (0)
1998สโตก ซิตี (ยืมตัว) 3 (0)
1998 สโตก ซิตี 9 (0)
1998 ดองคัสเตอร์ โรเวอส์ 9 (0)
1998–2000 Torquay United 53 (0)
1999Huddersfield Town (loan) 0 (0)
2000 Bradford City 1 (0)
2001 York City 0 (0)
2001 Rhyl 3 (0)
2001 Shrewsbury Town 0 (0)
2001 Dover Athletic 0 (0)
2001–2002 Shrewsbury Town 0 (0)
2002 Dagenham & Redbridge 0 (0)
รวม 710 (0)
ทีมชาติ
1982–1997 Wales[2] 92 (0)
จัดการทีม
1999 Wales (caretaker manager)
2001–2002 Dover Athletic
2004–2005 Hastings United
2009 Margate (caretaker manager)
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น

เนวิลล์ ซัททอลล์ (อังกฤษ: Neville Southall) เป็นอดีตนักฟุตบอลทีมชาติเวลส์ มีชื่อเสียงอย่างมากในช่วงที่เป็นนักเตะของเอฟเวอร์ตัน เขาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในยุคนั้น และเคยได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ ในปี 1985 รวมทั้งได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ MBE ชั้นที่ 5 (บริติชเมมเบอร์ออฟบริติชเอมไพร์) ในปี 1995 ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์ให้วงการฟุตบอล โดยเขาเป็นผู้ทำสถิติลงเล่นให้ทีมชาติเวลส์มากที่สุดที่ 92 นัด

เส้นทางค้าแข้ง[แก้]

ซัททอลล์นับว่าเริ่มอาชีพนักฟุตบอลได้ช้าเพราะก่อนจะมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพเขาเสียเวลาไปกับการทำงานเป็นพนักงานเก็บขยะมูลฝอย,บ๋อยในร้านอาหารรวมถึงพนักงานขนส่ง ก่อนจะดังคับเกาะอังกฤษในฐานะผู้เล่นของเอฟเวอร์ตันซึ่งเขาลงสนามในลีกให้เอฟเวอร์ตันถึง 578 นัด (และเมื่อรวมทุกรายการแล้วเขาลงเล่นให้เอฟเวอร์ตัน มากกว่า 750 นัด) เนวิลล์ ซัททอลล์ได้แชมป์ลีกสูงสุดกับสโมสร 2 สมัย, แชมป์เอฟเอคัพอีก 2 สมัย และเคยได้แชมป์คัพวินเนอส์คัพ 1 สมัย โดยลงเล่นให้ทีมชาติเวลส์ถึง 92 นัด

เนวิลล์ ซัททอลล์จัดว่าเป็นผู้รักษาประตูที่มีรูปร่างอ้วน แต่สามารถกระโดดเซฟประตูได้อย่างไม่น่าเชื่อในหลายจังหวะ โดยเขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษในฤดูกาล 1984-1985 และอยู่เล่นให้เอฟเวอร์ตันมากกว่า 10 ปี ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพปี 1995 เขามีส่วนสำคัญในการพาเอฟเวอร์ตันชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1-0 โดยหลังจบเกมส์เขาได้รับเลือกให้เป็นแมนออฟเดอะแมตช์จากการป้องกันอันสุดยอด และเอฟเวอร์ตันได้จัดเกมส์เทสติโมเนียลแมตช์ให้เขาในฐานะที่ลงสนามรับใช้สโมสรมากว่า 10 ปีโดยเชิญกลาสโกว์เซลติกมาเตะที่กูดิสันพาร์กในปีดังกล่าว

ปี 1997 เขาได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น MBE ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์ให้วงการฟุตบอลอังกฤษ

เนวิลล์ ซัททอลล์ลงสนามครั้งสุดท้ายในชีวิตค้าแข้งให้แบรดฟอร์ดซิตีในเกมส์พบลีดส์ยูไนเต็ดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 1999-2000 และภายหลังเขาย้ายไปร่วมลีกระดับล่างอีกหลายทีมแต่ไม่ได้ลงสนาม

หลังจากนั้นเขาเริ่มเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการเป็นสตาฟโค้ชกับทีมชาติเวลส์และทีมดาร์เกนนัมแอนด์เรดบริดจ์ ในที่สุดเขาก็รับงานคุมทีมโดเวอร์แอทเลติกทีมในลีกสมัครเล่นของอังกฤษในฤดูกาล 2001-2002 แต่ก็ถูกปลดเมื่อจบฤดูกาล

อาชีพคุมทีมฟุตบอลของเนวิลล์ ซัททอลล์ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เมื่อในปี 2004 เขารับงานคุมทีมอีกครั้งโดยเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมเฮสติงส์ยูไนเต็ด ทีมในลีกสมัครเล่นของอังกฤษก่อนจะถูกปลดในเวลาต่อมา

ชีวิตส่วนตัวของเขานับว่ามีสีสันไม่แพ้ลีลาการเซฟประตูในสนาม เมื่อเขาตัดสินใจทิ้งภรรยากับลูกในปี 2007 ไปหาคู่ควงคนใหม่ และต่อมาเขาฟ้องเรียกสมบัติอันประกอบด้วยเหรียญรางวัลและหมวกทีมชาติรวมถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของเขาคืนจากลูกสาวต่อศาลเด็กและเยาวชนในเมืองลิเวอร์พูล หลังจากที่เขาชนะคดีทำให้ซาแมนทา ลูกสาวของเขาที่เพิ่งอายุ 19 ปี มีหนี้ที่ต้องชำระแก่ศาลกว่า 6,000 ปอนด์ ซึ่งทนายของเนวิลล์ ซัททอลล์กล่าวว่า เนวิลล์รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก

ปี 2008 เซาธอลล์ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในสตาฟโค้ชของทีมมาร์เกต ซึ่งเป็นทีมในลีกสมัครเล่นของอังกฤษ

ผลงานในฐานะผู้เล่น[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. "เนวิลล์ ซัททอลล์". Barry Hugman's Footballers. สืบค้นเมื่อ 9 มีนาคม 2017.
  2. Alpuin, Luis Fernando Passo (20 February 2009). "Wales – Record International Players". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. สืบค้นเมื่อ 10 March 2009.