เดอะบอกซ์ทรี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ตัวร้านเดอะบอกซ์ทรี

เดอะบอกซ์ทรี คือ ร้านอาหารตั้งอยู่ในเมืองอิลลีย์ เขตยอร์คเชอร์ตะวันตก ในอังกฤษ พ่อครัวไซมอน เกลเลอร์และรีนา ภรรยาของไซมอนเคยเป็นผู้ดูแลกิจการตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 ร้านได้ถูกตกแต่งใหม่โดยใช้องค์ประกอบตกแต่งจากเจ้าของร้านดั้ง เดิม มีเสียงตอบรับที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จากนักวิจารณ์อาหาร ร้านได้รับ 1 ดาวจากมิชลิน และ 3 กุหลาบจาก เอเอ (สมาคมรถยนต์) โดยพ่อครัวไซมอนได้ตั้งบริษัทในเครือ ชื่อว่า บอกซ์ทรีอีเวนท์ เริ่มแรก ร้านเปิดเป็นร้านน้ำชาในปี ค.ศ. 1962 และกลายเป็นหนึ่งในสี่ร้าน อาหารในอังกฤษที่ได้ 2 ดาวในปี ค.ศ. 1977 หลังจากได้สูญเสียดาวทั้งสองไป ทางร้านก็ได้ 1 ดาวกลับคืนมาในระหว่างปี ค.ศ. 1996 และ ค.ศ. 2001 ซึ่งเจ้าของในขณะนั้นคือ เฮเลย เอวิส ในปี ค.ศ. 2010 อดีตพนักงาน ชื่อว่า มาร์โค ปิแอร์ ไวท์ ได้ถูกว่าจ้างกลับมาอีกครั้ง ร้านอาหารจึงมีอาหารฝรั่งเศสสมัยใหม่ให้บริการ ทำให้ได้รับรางวัล 3 กุหลาบจาก เอเอ และได้ลงรายชื่อในรายการแนะนำร้านอาหารของฮาร์เดน

ลักษณะ[แก้]

เดอะบอกซ์ทรีตั้งอยู่ที่เลขที่ 35-37 ถนนเชิร์ชในเมืองอิลลีย์ตั้งแต่เริ่มเปิดครั้งแรกโดยมาร์คอม รีด และคอลลิน ลองในปี ค.ศ. 1962[1][2] โดยร้านเปลี่ยนมาบริหารโดยไซมอน และรีนา เกลเลอร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 [3] ภายใต้สัญญาการเช่าต่อจากผู้บริหารรายเดิม [4] เกลเลอร์เคยเป็นหัวหน้าพ่อครัวที่ร้านราสคาส[3][5]ที่ได้รับดาวจากมิชลิน ครอบครัวเกลเลอร์ยังได้บริหาร บริษัทในเครือที่ชื่อ บอกซ์ทรีอีเวนท์ ที่รับงานจัดเลี้ยงอีกด้วย[6] หลังจากเกลเลอร์ซื้อร้านมาในปี ค.ศ. 2004 ก็ได้ทำการตกแต่งร้านใหม่ให้ทันสมัยขึ้น ปรับปรุงการตกแต่งที่ทรุดโทรมจากเจ้าของคนก่อนๆ โดยรวมถึงการใช้ไฟและผนังผ้าในการตกแต่ง[3] มีเตาผิงอยู่ที่กลางห้อง และใช้แบบเก้าอี้ไม้แบบสมัยศตวรรษที่ 18 [2] แต่ยังคงองค์ประกอบจากสมัยของรีดและลองอยู่ โดยใช้บาร์และเพดานเดิมๆ ของร้าน[7]

รายการอาหาร[แก้]

รายการอาหารปัจจุบันยังคงรายการเดิมตั้งแต่สมัยเริ่มเปิดร้าน[2] เช่น ลุฟเตอร์เตอมิดอร์(อาหารฝรั่งเศส)และเกราส์[8] พ่อครัวเกลเลอร์ได้สร้างผลงานอาหารฝรั่งเศสสมัยใหม่[9] โดยใช้องค์ประกอบดั้งเดิม รายงานอาหารอื่นๆ รวมถึง ตับบดที่มาพร้อมกับสลัดปลาไหลรมควัน และเจลลี่แอปเปิ้ลและซุปข้นแอปเปิ้ล[10] ตับบดได้ถูกเอาออกจากรายการอาหารชั่วคราวในปี ค.ศ. 2008 เนื่องจากการประท้วงจากนักเคลื่อนไหวสิทธิสัตว์ [11] ต่อมาได้ถูกเพิ่มขึ้นมาใหม่ และได้ถูกรวมในรายการตับบดและเทอรีนเป็ดกับ พิสทาชิโอ[7] เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปีของร้านในปี ค.ศ. 2008 เกลเลอร์ได้เพิ่มรายการอาหารที่เคยมีในปี ค.ศ. 1963 แต่ตัดสินใจที่จะไม่ผลิตอาหารบางชนิด เช่น เชสเสอร์ไก่ หรือ เมล่อนโบท ส่วนอื่นๆในรายการอาหารดั้งเดิม คือ เครป และเกรฟฟรุ๊ทย่าง(ครึ่งหนึ่ง) อาหารที่เลือกได้รวมอยู่ในรายการอาหารชุด6 รายการของทศวรรษ 1960 [12]

ประวัติ[แก้]

ตัวอาคารหินทรายถูกสร้างขึ้นในช่วงทศวรรษ 1720[10][13] รีดและลองได้ซื้อต่อมาในปี ค.ศ. 1962 เพื่อเปิดเป็นร้านขายน้ำชา [2] (และอาหารเบาๆ) ร้านได้รับ 2 ดาวจากมิชลินในปี ค.ศ. 1977 ในรายการในปีนั้น ร้านเป็นร้านอาหารที่ 1 ที่ได้ 2 ดาวในอังกฤษ (ร้านที่เหลือที่ได้รับ 2 ดาว เช่นกัน ได้แก่ วอเตอร์ไซด์อินน์ เลอเกฟฮอช และ คอนนอกซ์ [14]

ร้านกลายเป็นร้านยอดนิยม ของบรรดาผู้คนที่มีชื่อเสียง มีจอห์นนี่ เมทธิสเป็นลูกค้าประจำ และทั้งเชอรี่ บาสซี่และมาร์กาเรต แทตเชอร์ก็เคยมาเป็นลูกค้าของร้าน[2] ในปี ค.ศ. 1979 พ่อครัวมาร์โค ปีแอร์ ไวท์ (ซึ่งต่อมาได้เป็นพ่อครัวดาวมิชลินหลายครั้ง)ได้มาทำงานที่เดอะบอกซ์ทรี ขณะนั้นอายุ 17 เค้าได้รับการฝึกที่ร้านภายใต้การ ดูแลของรีดและลอง[15][16] ต่อมา เค้ายังได้เขียนในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า ไวท์ฮีท(ความร้อนสีขาว) ว่า ร้านทำให้เค้าลุ่มหลงกับอาหาร และยังคงเชื่อว่า ร้านนี้เป็นที่พักพิงแห่งจิตวิญญาณ[15][17]

หลังจากได้ 2 ดาวมิชลินจนถึงปี ค.ศ. 1988 และเหลือแค่ 1 ดาวในปี ค.ศ. 1991[9] ในปี ค.ศ. 1992 ทางร้านถูกเข้าพิทักษ์ทรัพย์และถูกซื้อโดยเฮเลน เอวิส ภายใต้การดูแลของพ่อครัวเทียรี่ ลูพราท-กราเน ร้านอาหารได้รับ 1 ดาวมิชลินกลับมาในปี ค.ศ. 1996 ไวท์ได้กลับมาเป็นที่ปรึกษาให้กับร้านในปี ค.ศ. 1996[18] เป็นเวลา 2 เดือนแต่ก็จบลงในศาล โดยเขาต้องจ่ายเงินให้กับร้านจำนวน 880 ปอนด์สำหรับค่าเพดานที่เสียหาย[19][20]

ลูพราท-กราเนลาออกในปี ค.ศ. 2001 โดยมีโทบี้ ฮิลล์ พ่อครัวที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับดาวมิชลินเข้ามาเป็นพ่อครัวแทน การเปลี่ยนพ่อครัวทำให้รูปแบบอาหารเปลี่ยนไปเป็น “แนวเมดิเตอริเนียน” [21] แต่เขาก็อยู่คุมครัวได้แค่ 7 เดือน เชน กู๊ดเวย์เข้ามาแทนที่ฮิลล์ในปี ค.ศ. 2002 และเปลี่ยนรูปแบบเป็นอาหารฝรั่งเศสต้นตำรับ[22][23] ร้านได้สูญเสียดาวมิชลินไปในปี 2003 และไม่ได้ถูกรวมทั้งในคู่มือร้าน อาหาร เอเอ หรือ คู่มืออาหารอร่อย [9][24] กู๊ดเวย์ลาออกหลังจากร้านได้เสียดาวมิชลินไปไม่นาน และกล่าวว่า การตัดสินใจมีมาก่อนหน้านั้นแล้ว[25]

ครอบครัวเกลเลอร์ได้เช่าร้านจากเอวิส ในปี ค.ศ. 2004 หลังจากกลับมาเปิดใหม่แค่ 5 เดือนร้านก็ได้รับดาวมิชลิน หนึ่งปีหลังจากนั้น เจ้าของได้เสนอขายร้านในขณะที่ สัญญาเช่ากับเกลเลอร์มีถึงปี 2017[4] มาร์โค ปิแอร์ ไวท์ที่เป็นเพื่อนกับไซมอน เกลเลอร์ตั้งแต่ทั้งคู่เป็นวัยรุ่น,[26]ได้กลับมาทำที่ร้านอีกครั้งเพื่อที่จะถ่ายทำภาพยนตร์สำหรับ ITV1 รายการโทรทัศน์เรียลลิตี้โชว์เกี่ยวกับการปรุงอาหารที่ชื่อ ครัวของนรก [27] ในปี ค.ศ. 2010 ไวท์ได้เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนของร้าน[28] และในปี ค.ศ. 2012 ได้ช่วนในการฉลองครบรอบ 15 ปี[15][26]ของร้าน ไวท์มีความปรารถนาที่จะทำงานร่วมกับเกลเลอร์เพื่อนำพาให้เดอะบอกซ์ทรีกลับเป็นร้าน อาหารระดับ 2 ดาวของมิชลินเช่นเดิม[15][26] White has aspirations to work with Gueller to return the Box Tree to its former status as a two-Michelin-starred restaurant.[29]

การตอบรับ[แก้]

แจน มัวร์ ได้วิจารณ์ร้านในปี ค.ศ. 2004 ในหนังสือพิมพ์เดอะเดลี่เทเลกราฟ หลังจากที่เกลเลอร์เข้าบริหารกิจการและปรับปรุงร้านได้ไม่นาน เธอกล่าวชื่นชมรูปแบบอาหารที่นุ่มนวลขึ้นภายใต้การดูแลของพ่อครัวคนให้ และถึงแม้ว่า ในตอนแรก เธอจะกังวลที่พนักงานบริการเสนอให้เธอลองลูกนกพิราบ เธอบรรยายถึงอาหารจานนี้ว่า “ได้ผ่านการจัดเตรียมอย่างดี” และเป็นจานที่ดีที่สุดที่เธอลอง[17] เธอคิดว่า พ่อครัวเก่งแต่ยังต้องการเวลาที่ จะปรับให้เข้าที่เข้าทาง และยังบรรยายถึงภรรยา คือ รีนา ที่ดูแลส่วนหน้าร้านว่า “เป็นธรรมชาติสมบูรณ์แบบ” [17] เจย์ เรย์เนอร์ได้มาลองอาหารที่ร้านในปี ค.ศ. 2005 ก่อนที่ร้านจะได้รับดาวมิชลิน เขากล่าวว่ายังมีปัญหาเกี่ยวกับราคาอาหารที่ไม่ตรงกันในเว็บไซต์กับที่แจ้งที่ร้าน เค้าคิดว่า หอยเชลล์ยังปรุงไม่สุก และ ขนมปังบริยอช ที่เสิร์ฟพร้อมกับเนื้อสันอมน้ำมากไป เขากล่าวว่า อาหาร “แสดงถึงระดับความเข้าใจในเรื่องพื้นฐาน” แต่ไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจง[3] ในปี ค.ศ. 2012 จิล เทอร์ตันได้ไปลองอาหารที่ร้าน เพื่อลงวิจารณ์ใน เดอะ “ยอร์คเชอร์โพสต์” สำหรับวันครบรอบ 15 ปีของร้าน และบรรยายอาหารบางจานเช่น หน่อไม้ฝรั่ง และไข่ต้มแบบนุ่มที่ต้มในหม้อ ตุ๋นว่า “สมบูรณ์แบบ” [7] เธอบรรยายว่า อาหารมื้อนี้โดยรวม “ยอดเยี่ยม”[7] แต่บอกว่า ชอคโกแลตบราวนี่ที่เธอสั่ง เป็นของหวานที่ไม่ยากที่จะทำ[7]

ฮาร์เดน คู่มือร้านอาหารของอังก ฤษได้บรรยายว่า อาหารที่ร้านนี้ “เบาและอร่อย” และการปรุงอาหารเป็น “แบบอย่าง”[1] ในระบบการวิจารณ์ของฮาร์เด้น เขาให้คะแนนอาหารว่าเป็นหนึ่งจากห้า (หนึ่งเป็นระดับที่สูงสุดที่มี) และทั้งการให้บริการและบรรยากาศได้คะแนนระดับสองจากห้า[1] ลำดับ สมาคมยานยนต์ได้ให้รางวัลกับร้านเดอะบอกซ์ทรี 3 กุหลาบจาก เอเอ [10]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 1.2 "The Box Tree". Harden's. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 "Star turn". Telegraph and Argus. 26 January 2012. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 Rayner, Jay (6 February 2005). "Cottage industry". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  4. 4.0 4.1 Murphy, Lizzie (29 September 2005). "Restaurant row leads to £1m sale" (Subscription required). The Yorkshire Post. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
  5. Bozec, Louise (7 November 2001). "Rascasse to join Simply Heathcotes chain after revamp". Caterer and Hotelkeeper. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  6. "Michelin-starred restaurant launches new website". 10 October 2007. Easier Lifestyle. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 Turton, Jill (25 June 2012). "Restaurant Review: Box Tree, Ilkley". Yorkshire Post. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
  8. Rayner, Jay (10 October 2004). "Food Turning Over a New Leaf" (Subscription required). The Observer. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
  9. 9.0 9.1 9.2 "Restaurant regains coveted star in Wharfedale double". Ilkley Gazette. 27 January 2005. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  10. 10.0 10.1 10.2 "Box Tree Restaurant". The AA. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  11. Langan, Paul (23 May 2008). "Cruelty claim puts paté off Ilkley menu". Ilkley Gazette. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  12. Sutcliffe, Robert (13 November 2008). "Top restaurant marks milestone... by pushing the melon boat out" (Subscription required). The Yorkshire Post. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
  13. "Box Tree". Via Michelin. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-05. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  14. Dixon, Rachel (24 January 2008). "Q&A: Michelin stars". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
  15. 15.0 15.1 15.2 15.3 "Chef Marco Pierre White cooks up Box Tree deal". Telegraph and Argus. 6 October 2010. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  16. "Ilkley restaurant celebrates 50th anniversary". Ilkey Gazette. 22 March 2012. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  17. 17.0 17.1 17.2 Moir, Jan (23 October 2004). "Are you ready to order? This week: Box Tree Restaurant". The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  18. Greaves, Amanda (13 May 2010). "Box Tree's Madame Avis dies, aged 81". Ilkley Gazette. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  19. Murray, John (21 February 1994). "Pembroke: The chef went through the roof". The Independent. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
  20. Petre, Jonathan (4 May 1993). "Chef Marco White quits the Box Tree" (Subscription required). The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
  21. "Star chef joins the Box Tree". Ilkley Gazette. 18 May 2001. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  22. Bozec, Louise (7 November 2001). "Hill to quit Box Tree after seven months". Caterer and Hotelkeeper. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
  23. "New chef is restoring the French taste". Ilkley Gazette. 25 January 2002. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  24. "Ripe old bust-up in clementine chaos". Ilkley Gazette. 3 October 2003. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  25. Gledhill, Bob (30 January 2003). "Shane Goodway to leave Box Tree". Caterer and Hotelkeeper. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
  26. 26.0 26.1 26.2 "Chef Marco Pierre White and Friends Celebrate 50 Years of the Box Tree in Ilkley". Yorkshire Life. May 2012. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.[ลิงก์เสีย]
  27. McKiernan, Jennifer (26 July 2007). "Top chefs stir up a flavour of their past in Ilkley". Ilkley Gazette. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  28. McKiernan, Jennifer (26 July 2007). "Top chefs stir up a flavour of their past in Ilkley". Ilkley Gazette. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
  29. "Top chef Marco returns to "spiritual home" in Ilkley". BBC News. 5 October 2010. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]