ข้ามไปเนื้อหา

เจ้าหญิงสเตฟานีแห่งเบลเยียม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เจ้าหญิงสเตฟานีแห่งเบลเยี่ยม
มกุฎราชกุมารีแห่งออสเตรีย-ฮังการี
เจ้าหญิงสเตฟานีในฐานะมกุฎราชกุมารีแห่งออสเตรีย-ฮังการี (ค.ศ.1887)
ประสูติ21 พฤษภาคม ค.ศ. 1864(1864-05-21)
พระราชวังลาเกิน ลาเกิน เบลเยียม
สวรรคต23 สิงหาคม ค.ศ. 1945(1945-08-23) (81 ปี)
Pannonhalma Archabbey Pannonhalma ประเทศฮังการี
ฝังพระศพPannonhalma Archabbey Pannonhalma ประเทศฮังการี
พระสวามี- อาร์ชดยุกรูด็อล์ฟ มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการี
(อภิเษกสมรส 1881; สิ้นพระชนม์ 1889)
- Prince Elemér Lónyay of Nagy-Lónya
(อภิเษกสมรส 1900)
พระราชบุตรอาร์ชดัชเชสเอลิซาเบธ มารีแห่งออสเตรีย
พระนามเต็ม
สเตฟานี โคลทิลด์ หลุยส์ แอร์มินี มารี ชาร์ลอตต์
ราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา (ประสูติ)
ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค (สมรส)
พระราชบิดาสมเด็จพระเจ้าเลออปอลที่ 2 แห่งเบลเยียม
พระราชมารดามารี เฮนรีทเทอแห่งออสเตรีย สมเด็จพระราชินีแห่งเบลเยียม
ศาสนาศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก

เจ้าหญิงสเตฟานี โคลทิลด์ หลุยส์ แอร์มินี มารี ชาร์ลอตต์แห่งเบลเยียม (อังกฤษ: Stéphanie Clotilde Louise Herminie Marie Charlotte; ประสูติ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1864 – สิ้นพระชนม์ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1945) ทรงเป็นพระราชธิดาใน สมเด็จพระเจ้าเลออปอลที่ 2 แห่งเบลเยียม และ มารี เฮนรีทเทอแห่งออสเตรีย สมเด็จพระราชินีแห่งเบลเยียม ต่อมาได้ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น มกุฎราชกุมารีแห่งออสเตรีย โดยการอภิเษกสมรสกับ อาร์ชดยุกรูด็อล์ฟ มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการี พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักจากเหตุการณ์มายเยอร์ลิ่ง ซึ่งเป็นโศกนาฏกรรมที่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของพระองค์และ ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค

ชีวิตช่วงต้นและการประสูติ

[แก้]

เจ้าหญิงสเตฟานีประสูติเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ.1864 ณ พระราชวังลาเคิน (Château de Laeken) ซึ่งเป็นพระราชฐานที่ประทับหลักของราชวงศ์เบลเยียม ใน กรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของประเทศเบลเยียม พระองค์เป็นพระธิดาองค์ที่สองของกษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 2 และ สมเด็จพระราชินีมารี เฮนรีทเทอ พระองค์มีพระเชษฐภคินี คือ เจ้าหญิงหลุยส์แห่งเบลเยียม(ประสูติ ค.ศ. 1858) พระเชษฐา คือ เจ้าชายเลโอโปลด์ ดยุกแห่งบราบันต์ (ประสูติ ค.ศ.1859 สิ้นพระชนม์ ค.ศ.1869) และ พระขนิษฐา คือ เจ้าหญิงคลิเมนไทน์แห่งเบลเยียม (ประสูติ ค.ศ.1872)

ชีวิตในวัยเด็กของเจ้าหญิงสเตฟานีไม่ได้เต็มไปด้วยความอบอุ่นนัก ความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดา และ พระมารดาอยู่ในภาวะตึงเครียดและห่างเหิน พระราชินีมารี เฮนรีทเทอ ทรงทุ่มเทให้กับงานอดิเรกและความสนใจส่วนพระองค์มากกว่าการอบรมเลี้ยงดูพระโอรสธิดา ขณะที่พระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 ทรงเป็นที่รู้จักในเรื่องความสนใจส่วนพระองค์ด้านอาณานิคมและการสร้างความมั่งคั่งมากกว่าครอบครัว ทำให้เจ้าหญิงสเตฟานีเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ขาดความเอาใจใส่จากพระบิดามารดาอย่างแท้จริง

การอภิเษกสมรสครั้งแรก: มกุฎราชกุมารีแห่งออสเตรีย-ฮังการี

[แก้]

ในฐานะเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์สำคัญในยุโรป การอภิเษกสมรสของเจ้าหญิงสเตฟานีจึงถูกกำหนดขึ้นด้วยเหตุผลทางการเมือง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และ ระหว่างราชอาณาจักรเบลเยียมกับ จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี อันยิ่งใหญ่

เจ้าหญิงสเตฟานีทรงอภิเษกสมรสกับ มกุฎราชกุมารรูดอล์ฟแห่งออสเตรีย พระโอรสเพียงพระองค์เดียว ในสมเด็จพระจักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซฟที่ 1 แห่งออสเตรีย และ สมเด็จพระจักรพรรดินีเอลิซาเบธแห่งออสเตรีย (ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม "ซิสซี่" ) ในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ.1881 พิธีอภิเษกสมรสจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ โบสถ์ออกัสตินเนอร์เคียร์เชอ (Augustinerkirche) ใน กรุงเวียนนา ซึ่งเป็นสถานที่จัดพิธีสำคัญของราชสำนักฮับส์บวร์ค เจ้าหญิงสเตฟานีทรงมีพระชนมายุเพียง 17 พรรษาในขณะนั้น

หลังการอภิเษกสมรส เจ้าหญิงสเตฟานีทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น มกุฎราชกุมารีแห่งออสเตรีย-ฮังการี ในช่วงแรก ชีวิตสมรสของทั้งสองพระองค์ดูเหมือนจะเริ่มต้นได้ดี มีการปรากฏตัวต่อสาธารณะร่วมกัน และ มีพระธิดาเพียงพระองค์เดียวคือ อาร์ชดัชเชสเอลิซาเบธ มารีแห่งออสเตรีย (Archduchess Elisabeth Marie of Austria) ประสูติเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1883

อย่างไรก็ตาม ชีวิตสมรสของเจ้าหญิงสเตฟานีและมกุฎราชกุมารรูดอล์ฟเริ่มมีปัญหาอย่างรุนแรง เนื่องจากมกุฎราชกุมารรูดอล์ฟเป็นผู้ที่มีนิสัยเจ้าชู้และมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นหลายคน นอกจากนี้ ยังมีความกดดันจากราชสำนักออสเตรีย โดยเฉพาะจากสมเด็จพระจักรพรรดินีเอลิซาเบธ ผู้เป็นพระสัสสุ (แม่สามี) ผู้ซึ่งไม่โปรดเจ้าหญิงสเตฟานีนัก และมักจะวิพากษ์วิจารณ์พระองค์อย่างรุนแรง ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาเลวร้ายลงเรื่อยๆ

เจ้าหญิงสเตฟานีแห่งเบลเยียม ในฐานะมกุฎราชกุมารีแห่งออสเตรีย-ฮังการี (ค.ศ.1887)

โศกนาฏกรรมมายเยอร์ลิ่ง

[แก้]

จุดพลิกผันที่สำคัญที่สุดและเป็นโศกนาฏกรรมที่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเจ้าหญิงสเตฟานีอย่างสิ้นเชิง คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1889 ณ คฤหาสน์ล่าสัตว์มายเยอร์ลิ่ง (Mayerling) ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเวียนนา

ในเช้าวันนั้น มกุฎราชกุมารรูดอล์ฟ พระสวามีของเจ้าหญิงสเตฟานี ถูกพบเสียชีวิตในห้องนอนของคฤหาสน์พร้อมกับ บารอนเนสแมรี่ เว็ทเซร่า(Baroness Mary Vetsera) หญิงสาวชนชั้นสูงผู้เยาว์วัย (อายุ 17 ปี) ผู้ซึ่งเป็นชู้รักของพระองค์ การสืบสวนและหลักฐานชี้ว่ามกุฎราชกุมารรูดอล์ฟทรงยิงบารอนเนส แมรี่ เวตเซรา เสียชีวิตก่อน แล้วจึงปลิดชีพพระองค์เองในลักษณะที่เชื่อว่าเป็นการฆ่าตัวตายร่วมกัน

การเสียชีวิตของมกุฎราชกุมารรูดอล์ฟสร้างความตกใจอย่างรุนแรงต่อราชวงศ์ฮับส์บวร์คและราชสำนักยุโรป ราชสำนักออสเตรียพยายามปกปิดข้อเท็จจริงในตอนแรกโดยอ้างว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว แต่ข่าวลือและความจริงก็เริ่มรั่วไหลออกมาอย่างรวดเร็ว โศกนาฏกรรมครั้งนี้ทำให้เจ้าหญิงสเตฟานีเป็นม่ายในวัยเพียง 24 พรรษา และสูญเสียตำแหน่งว่าที่สมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งออสเตรีย-ฮังการีไปอย่างกะทันหัน

ผลกระทบของเหตุการณ์นี้ยังขยายวงกว้างไปถึงอนาคตของจักรวรรดิ เนื่องจากมกุฎราชกุมารรูดอล์ฟเป็นรัชทายาทเพียงพระองค์เดียว การจากไปของพระองค์ทำให้ลำดับการสืบราชบัลลังก์เปลี่ยนไป โดยอาร์ชดยุกฟรันทซ์ แฟร์ดีนันท์ แห่งออสเตรีย ผู้เป็นพระนัดดาของจักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซฟที่ 1 ได้กลายมาเป็นรัชทายาทในเวลาต่อมา ซึ่งการลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรันทซ์ แฟร์ดินันด์ และ พระชายา ที่ซาราเยโว ในปี ค.ศ.1914 นี่เองที่เป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1

ชีวิตหลังเหตุการณ์มายเยอร์ลิ่งและการอภิเษกสมรสครั้งที่สอง

[แก้]

หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระสวามี เจ้าหญิงสเตฟานีทรงเผชิญกับความโดดเดี่ยวและแรงกดดันจากราชสำนักออสเตรียมากขึ้น สมเด็จพระจักรพรรดินีเอลิซาเบธ ผู้เป็นพระสัสสุ ยังคงทรงตำหนิพระองค์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาในชีวิตสมรสของมกุฎราชกุมารรูดอล์ฟ

ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ.1900 เจ้าหญิงสเตฟานีทรงตัดสินใจที่จะสร้างชีวิตใหม่ โดยทรงอภิเษกสมรสใหม่กับ อีเลค เจ้าชายฟอน โลนไย เดอ นากี-โลนยา เอต วาซาโรส-นามีนี (Elek, Prince von Lónyay de Nagy-Lónya et Vásáros-Namény) ซึ่งเป็นขุนนางฮังการีผู้มีชื่อเสียง พิธีจัดขึ้น ณ ปราสาทมีรามาเร (Miramare Castle) ในเมืองตรีเอสเต (ปัจจุบันอยู่ในประเทศอิตาลี) การสมรสครั้งนี้ถือเป็นการสมรสกับบุคคลที่มีสถานะต่ำกว่าราชวงศ์ (morganatic marriage) ซึ่งหมายถึงพระองค์ทรงต้องสละพระอิสริยยศในราชวงศ์ออสเตรียบางส่วน

หลังการสมรสครั้งที่สอง เจ้าหญิงสเตฟานีทรงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมากขึ้นในฮังการี พระองค์ทรงดำรงพระยศเป็นเคาน์เตสโลนไย (Countess Lónyay) และต่อมาเป็นเจ้าหญิงโลนไย (Princess Lónyay) เมื่อพระสวามีได้รับการเลื่อนฐานันดรศักดิ์ในปี ค.ศ.1917 ชีวิตคู่กับอีเลค เจ้าชายฟอน โลนไย เป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุข พระองค์ไม่มีบุตรธิดาร่วมกับพระสวามีคนที่สอง

หลังการอภิเษกสมรสครั้งที่สอง ค.ศ.1900


งานเขียนและบั้นปลายชีวิต

[แก้]

ในช่วงปลายพระชนม์ชีพ เจ้าหญิงสเตฟานีทรงเขียนบันทึกความทรงจำส่วนพระองค์ชื่อ "Ich sollte Kaiserin werden" (ภาษาเยอรมัน; แปลว่า "ฉันควรจะได้เป็นจักรพรรดินี") ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1935 หนังสือเล่มนี้ให้มุมมองส่วนตัวของพระองค์เกี่ยวกับชีวิตในราชสำนักฮับส์บวร์ค และความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับมกุฎราชกุมารรูดอล์ฟ รวมถึงความรู้สึกต่อเหตุการณ์มายเยอร์ลิ่ง และ สะท้อนความผิดหวังในโชคชะตาของพระองค์

เจ้าหญิงสเตฟานีสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ณ อารามปันนอนฮัลมา (Pannonhalma Archabbey) ประเทศฮังการี พระชนมายุ 81 พรรษา พระศพของพระองค์ถูกฝังอยู่ที่อาร์กแอบบีย์แห่งปันนอนฮัลมา เคียงข้างพระสวามีคนที่สอง

พระอิสริยยศ

[แก้]

ราชตระกูล

[แก้]
พระราชตระกูลในสามรุ่นของเจ้าหญิงสเตฟานี่แห่งเบลเยียม
เจ้าหญิงสเตฟานี่แห่งเบลเยียม พระชนก:
สมเด็จพระเจ้าเลออปอลที่ 2 แห่งเบลเยียม
พระอัยกาฝ่ายพระชนก:
พระเจ้าเลออปอลที่ 1 แห่งเบลเยียม
พระปัยกาฝ่ายพระชนก:
ฟรันซ์ ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบวร์ค-ซาลเฟลด์
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนก:
เจ้าหญิงออกัสต้าแห่งรอยส์-เอเบอร์สดอร์ฟ
พระอัยยิกาฝ่ายพระชนก:
หลุยส์-มารีแห่งออร์เลอ็อง
พระปัยกาฝ่ายพระชนก:
หลุยส์ ฟิลิปที่ 2 ดยุกแห่งออร์เลอ็อง
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนก:
มารีอา อะเมเลียแห่งเนเปิลส์และซิซิลี
พระชนนี:
มารี เฮนรีทเทอแห่งออสเตรีย
พระอัยกาฝ่ายพระชนนี:
อาร์ชดยุกโจเซฟแห่งออสเตรีย สมุหนายกแห่งฮังการี
พระปัยกาฝ่ายพระชนนี:
สมเด็จพระจักรพรรดิลีโอโพลด์ที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนนี:
เจ้าหญิงมาเรีย หลุยซ่าแห่งสเปน
พระอัยยิกาฝ่ายพระชนนี:
ดัชเชสมาเรีย โดโรเธียแห่งวืร์ทเต็มเบิร์ก
พระปัยกาฝ่ายพระชนนี:
ดยุกหลุยส์แห่งวืร์ทเต็มเบิร์ก
พระปัยยิกาฝ่ายพระชนนี:
เจ้าหญิงเฮ็นเรียตแห่งนัสซอว์-ไวล์บูร์ก

อ้างอิง

[แก้]
  • Stephanie von Lónyay: Ich sollte Kaiserin werden. Lebenserinnerungen der letzten Kronprinzessin von Österreich-Ungarn. Koehler und Amelang, Leipzig 1935
  • Irmgard Schiel: Stephanie - Kronprinzessin im Schatten von Mayerling. Deutsche Verlags-Anstalt, Stuttgart 1978
  • Helga Thoma: Ungeliebte Königin. Piper, München 2000
  • Crankshaw, Edward. The Fall of the House of Habsburg. New York: Viking Press, 1963
  • Hamann, Brigitte. The Reluctant Empress: A Biography of Empress Elisabeth of Austria. New York: Knopf, 1986.


แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]