อัลมะซีฮุดดัจญ์ญาล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

อัลมะซีฮุดดัจญ์ญาล (อาหรับ: المسيح الدجّال, Al-Masīḥ ad-Dajjāl "เมสสิยาห์ปลอม, โกหก, คนหลอกลวง"; ซีรีแอก: ܡܫܝܚܐ ܕܓܠܐ Mšiha Daggala) เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายในวันโลกาวินาศของศาสนาอิสลาม มันจะปรากฏพร้อมกับอ้างตนเองว่าเป็น อัลมะซีห์ (หรือเมสสิยาห์) ก่อน เยามุลกิยามะฮ์ (วันแห่งการทำลายล้าง) เป็นตัวแทนของผู้ต่อต้านเมสสิยาห์ เหมือนกับศัตรูของพระคริสต์ในวันโลกาวินาศของศาสนาคริสต์ และอาร์มิลุสในวันโลกาวินาศของศาสนายูดายช่วงยุคกลาง

ชื่อ[แก้]

ดัจญ์ญาล (อาหรับ: دجال) เป็นคำวิเศษณ์ที่มีต้นกำเนิดมาจากภาษาซีรีแอก[1] และเป็นคำที่อยู่ในขั้นที่สุดของภาษาอาหรับ มีรากมากจากคำว่า ดัจญล์ หมายถึง "โกหก" หรือ "การหลอกลวง".[2] อัลมะซีฮุดดัจญ์ญาล หมายถึง "ผู้อ้างตัวเป็นเมสสิยาห์" ในช่วงวันสุดท้าย และคำว่า ดัจญ์ญาล คือสิ่งมีชีวิตที่มีความชั่วร้ายที่ต้องการแอบอ้างตนเองเป็นพระเมสสิยาห์ที่แท้จริง

ชื่อดัจญ์ญาลเป็นรากในภาษาอาหรับของคำว่า ดาญิล ซึ่งหมายถึง "แผ่นทอง" หรือ "ผ้าคลุมทอง" ซึ่งที่ได้มาจากคำหนึ่งที่มีความหมายว่า "ผสม"

ฮะดีษ[แก้]

รายงานจาก ฮะดีษ ศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่าอัลมะซีฮุดดัจญ์ญาลจะเป็นตัวสุดท้ายจากบรรดาดัจญ์ญาล หรือผู้อ้างตนเอง ทั้งสิบสามตน[3]

  • ศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า:

หมายเหตุ: อ้างอิงไม่ตรงกับประโยคนี้ ตาข้างขวาของอัด-ดัจญ์ญาลบอด โดยที่ตาข้างนั้นโปนเหมือนองุ่น[4]

ตาข้างขวาของมันจะถูกทำลาย และตาข้างซ้ายของมันจะขึ้นอยู่ที่หน้าผากแล้วจะสว่างเหมือนดาว มีแต่ผู้ศรัทธาเท่านั้นที่จะอ่านคำว่า "กาฟิร [ผู้ปฏิเสธศรัทธา] ที่อยู่บนหน้าผากได้ จากนั้นจะมีควันที่สูงเท่าภูเขาที่ติดตามมันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ผู้คนจะได้อาหารในภูเขาเหล่านี้ในช่วงหน้าแล้ง แม่น้ำทุกสายที่มันไปถึง จะเหือดแห้งหมด แล้วมันจะพูดกับผู้คนด้วยเสียงที่ดังว่า "โอ้เพื่อนของข้า มาหาข้าซิ! ข้าคือพระเจ้าที่สร้างขาของเจ้า และให้ปัจจัยยังชีพแก่เจ้า"[5]

  • ศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า:

ถ้ามันมาขณะที่ฉันยังอยู่กับพวกท่าน ฉันจะเป็นคนที่จะโต้ตอบกับมันในนามของคุณ แต่ถ้ามันมาในตอนที่ฉันไม่ได้อยู่กับพวกท่านแล้ว ชายคนหนึ่งจะโต้ตอบกับมันในนามของเขาเอง...ใครก็ตามที่อยู่ในเวลานั้นให้อ่านอายะฮ์แรก [และสิบอายะฮ์สุดท้าย] ของซูเราะฮ์อัล–กะฮ์ฟี เพื่อปกป้องหายนะที่มาจากมัน. เราได้ถามว่า: มันจะอยู่บนโลกนานเท่าใด? ท่านได้กล่าวว่า: 40 วัน โดยวันแรกจะนานเป็นปี อีกวันจะนานเป็นเดือน ส่วนอีกวันจะนานเป็นสัปดาห์ และวันที่เหลือจะเหมือนวันปกติ. เราได้ถามว่า: ศาสนทูตของอัลลอฮ์ การละหมาดในหนึ่งวันนี้จะอยู่เป็นปีได้หรือ? ท่านตอบว่า: ไม่ พวกท่านต้องหาเวลาละหมาดเอง. จากนั้นอีซาบุตรของมัรยัมจะลงมาที่หออะซานสีขาวทางตะวันออกของดามัสกัส ท่านจะตามมันไปที่กำแพงแห่งลุดด์แล้วฆ่ามัน[6]

  • ศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า:

ความเจริญของเยรูซาเลมจะเกิดขึ้นเมื่อเมืองยัษริบถูกทิ้งร้าง เมืองยัษริบจะถูกทิ้งร้างเมื่อมีสงครามครั้งใหญ่ สงครามครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการยึดคอนสแตนติโนเปิล และการยึดคอนสแตนติโนเปิลจะเกิดขึ้นเมื่อดัจญ์ญาล (ศัตรูของพระคริสต์) ปรากฏตัว ท่าน (ศาสดา) ได้ตีขาหรือไหล่ของเขาด้วยมือของเขาและกล่าวว่า: นี่คือความจริงเหมือนตอนที่คุณอยู่ตรงนี้หรือกำลังนั่งอยู่ (หมายถึงมุอาซ อิบน์ ญะบัล)[7]

สัญญาณการมาของอัลมะซีฮุดดัจญ์ญาล[แก้]

ในฮะดีษได้บันทึกว่า ศาสดามุฮัมมัดได้บอกสัญญาณการมาของ ดัจญ์ญาล ที่จะเข้าเมืองทั่วโลกยกเว้นมักกะฮ์ และมะดีนะฮ์ และบอกให้ผู้คนติดตามศาสนาปลอมของมัน[8][9] ศาสดามุฮัมมัดได้กำชับทุกคนอ่านอายะฮ์แรก และสิบอายะฮ์สุดท้ายของซูเราะฮ์อัล-กะฮ์ฟี (ตอนที่ 18 ในอัลกุรอาน) เพื่อปกป้องจากสิ่งชั่วร้ายที่มาจาก ดัจญ์ญาล.[5][10] สัญญาณที่อยู่ด้านล่างนี้ถูกกล่าวโดยอะลี:[5]

  • ผู้คนจะเลิกละหมาด
  • ความไม่ซื่อสัตย์จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
  • ความเท็จจะกลายเป็นคุณธรรม
  • ผู้คนจะขายศาสนาตนเองเพื่อความสุขของโลกนี้
  • ดอกเบื้ย และสินบนจะถูกกฎหมาย
  • จะมีทุกขภิกขภัยที่ร้ายแรงในเวลานั้น
  • จะไม่มีความอัปยศในหมู่คน
  • ผู้คนจะเริ่มบูชาซาตาน
  • จะไม่มีการให้เกียรติกับผู้ที่มีอายุมากกว่า
  • ผู้คนจะเริ่มฆ่ากันเองโดยไม่มีเหตุผล

สัญญาณการปรากฏตัว[แก้]

สัญญาณที่อยู่ตรงนี้คือสัญญาณการปรากฏตัวของดัจญ์ญาลที่ปรากฏในฮะดีษส่วนใหญ่

  • ทะเลกาลิลีเริ่มเหือดแห้ง
  • เมื่อต้นปาล์ม-อินทผาลัมแห่งบัยซันหยุดออกผล[11]
  • การสักการะซาตานถือเป็นเรื่องปกติ
  • การยึดครองคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบันคืออิสตันบูล ประเทศตุรกี)[7]

สัญญาณหลังจากการปรากฏตัว[แก้]

  • มันจะสร้างปาฏิหาริย์และสร้างทรัพยากรที่ให้ผลผลิต (วัตถุดิบ, อาหาร) จากพลังของมัน
  • มันจะเดินทางไปทั่วโลกยกเว้นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของอิสลาม (มักกะฮ์และมะดีนะฮ์)
  • มันจะบังคับกระแสน้ำไปตามคำสั่งของมัน และนำลมอ่อนๆ ผ่านทะเลแดง
  • มันจะเป็นที่รู้จักโดยผู้ศรัทธาในศาสนาอิสลาม (มุสลิม)

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. The Continuum History of Apocalypticism, edited by Bernard McGinn et al, The Continuum International publishing group Inc., 15 East 26th Street, New York, NY 10010, Published 2003, ISBN 0-8264-1520-2, 677 pages, page 387.
  2. Wahiduddin Khan (2011). The Alarm of Doomsday. Goodword Books. p. 18.
  3. Hughes, Patrick T. (1996). A Dictionary of Islam. Laurier Books. p. 64. ISBN 9788120606722. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 พฤษภาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 20 เมษายน 2012.
  4. Sahih al-Bukhari, 3:30:105
  5. 5.0 5.1 5.2 Bilgrami, Sayed Tahir (2005). "6". Essence of Life, A translation of Ain al-Hayat by Allama Mohammad Baqir Majlisi. Qum: Ansarian Publications. p. 104.
  6. Sunan Abi Dawud 4321, In-book reference: Book 39, Hadith 31, English translation: Book 38, Hadith 4307
  7. 7.0 7.1 Sunan Abi Dawud 4294, In-book reference: Book 39, Hadith 4, English translation: Book 38, Hadith 4281, Hasan
  8. Hamid, F.A. (2008). 'The Futuristic Thought of Ustaz Ashaari Muhammad of Malaysia', p. 209, in I. Abu-Rabi' (ed.) The Blackwell Companion to Contemporary Islamic Thought. Malden: Blackwell Publishing, pp.195-212
  9. "Book 29, Hadith - Book of Virtues of Madinah - Sahih al-Bukhari - Sunnah.com - Sayings and Teachings of Prophet Muhammad (صلى الله عليه و سلم)". sunnah.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 กันยายน 2017. สืบค้นเมื่อ 15 ธันวาคม 2017.
  10. Collected by Muslim ibn al-Hajjaj Nishapuri Sahih Muslim Sahih Muslim, 41:7007
  11. Sahih Muslim English reference: Book 41, Hadith 7028; Arabic reference: Book 55, Hadith 7573, "Archived copy". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 กรกฎาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2015.{{cite web}}: CS1 maint: archived copy as title (ลิงก์)

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]