สกานเดร์เบก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สกานเดร์เบก
ขุนนางแห่งแอลเบเนีย
ละติน: Dominus Albaniae[1]
Ritratto di Giorgio Scanderbeg.jpg
ภาพเขียนบุคคลของจเยร์จย์ คาสตริโอติ สกานเดร์เบก ผลงานโดยคริสโตฟาโน เดลลัลติสซิโม ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อุฟฟิซี ประเทศอิตาลี
ครองราชย์28 พฤศจิกายน 1443 – 17 มกราคม 1468
ก่อนหน้าจโยน คาสตริโอติ
ถัดไปจโยน คาสตริโอติที่สอง
คู่อภิเษกดอนิกา อาริอานิติ
พระราชบุตรจโยน คาสตริโอติที่สอง
ราชสกุลคาสตริโอติ
พระราชบิดาจโยน คาสตริโอติ
พระราชมารดาวอยซาวา คาสตริโอติ
ประสูติ1405
แคว้นคาสตริโอติ
จเยร์จย์
สวรรคต17 มกราคม 1468 (อายุ 62)
อาเลสซิโอ สาธารณรัฐเวนิส
ฝังพระศพโบสถ์นักบุญนิโกลัส เลซเฮอ
ศาสนาอิสลาม (1423–1443)
คาทอลิก (1443–1468)
อาชีพขุนนางแห่งแคว้นคาสตริโอติ, นายพลแห่ง
ลีกแห่งเลซเฮอ
ลายพระอภิไธย

จเยร์จย์ คาสตริโอติ (แอลเบเนีย: Gjergj Kastrioti; ละติน: Georgius Castriota; อิตาลี: Giorgio Castriota; 1405 – 17 มกราคม 1468) หรือรู้จักทั่วไปในนาม สกานเดร์เบก (แอลเบเนีย: Skënderbeu ทับศัพท์เป็น Skanderbeg หรือ Skënderbej จาก ตุรกีออตโตมัน: اسکندر بگ, อักษรโรมัน: İskender Bey; อิตาลี: Scanderbeg) เป็นขุนนางแอลเบเนียยุคฟิวดัลและนายพลผู้นำการกบฏต่อจักรวรรดิออตโตมันในพื้นที่ที่ปัจจุบันคือแอลเบเนีย, มาซิโดเนียเหนือ, กรีซ, คอซอวอ,[a] มอนเตเนโกร และ เซอร์เบีย

สกานเดร์เบกเป็นขุนนางในตระกูลคาสตริโอติ เมื่อยังเยาว์ได้ถูกส่งตัวเป็นตัวประกันไปยังราชสำนักออตโตมัน เขาได้รับการศึกษาที่นั่นและรับใช้สุลต่านแห่งออตโตมันเป็นเวลายี่สิบปี เขาไต่เต้ายศขึ้นมาจนได้เป็น sanjakbey (เจ้าครองนคร) แห่ง Sanjak of Dibra ในผี 1440 ต่อมาในปี 1443 ระหว่างยุทธการนีช เขาหลบหนีออกจากออตโตมันและแปรมาปกครองครูเยอและพื้นที่ใกล้เคียงที่กินพื้นที่จากแอลเบเนียกลางไปถึงซเฟติกราด และมอดริช ในปี 1444 ด้วยความสนับสนุนจากขุนนางในพื้นที่และคริสตจักรคาทอลิกในแอลเบเนีย คณะเจเนรัล (general council; generalis concilium) ของขุนนางแอลเบเนียได้จัดขึ้นในนครเลซเฮอใต้ปกครองเวนิส คณะเจเนรัลได้ประกาศตั้งสหพันธ์เลซเฮอซึ่งรวบรวมแคว้นเล็ก ๆ ในแอลเบเนียเข้าด้วยกันภายใต้การนำของสกานเดร์เบกเพียงผู้เดียว นี่ถือเป็นครั้งแรกที่แอลเบเนียส่วนใหญ่มีผู้นำร่วมคนเดียวกัน[2]

ถึงแม้ว่าเขาจะมีความกล้าหาญในทางการรบ แต่เขาก็ยึดครองพื้นที่ให้ตนเองได้เป็นพื้นที่ขนาดเล็ก ๆ ในที่ปัจจุบันคือแอลเบเนียเหนือ ที่ซึ่งเขารบชนะเหนือออตโตมันแทบทุกครั้ง[3] ทักษะทางการทหารของสกานเดนเบร์กเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการขยายอาณาเขตของออตโตมัน และคนจำนวนมากในยุโรปตะวันตกมองสกานเดนเบร์กว่าเป็นแบบอย่างของการต่อต้านมุสลิมโดยคริสต์ชน[4] เป็นเวลา 25 ปี ในปี 1443 ถึง 1468 กองทัพขนาด 10,000 คน ของสกานเดนเบร์กได้กรีฑาทัพเข้าในอาณาเขตของออตโตมัน และชนะกองทัพที่มียุทโธปกรณ์เหนือกว่าอย่างมากของออตโตมัน[5] ชัยชนะของสกานเดนเบร์กนี้เป็นที่ชื่นชมสืบมา[6]

สกานเดนเบร์กลงชื่อตนเองทุกครั้งด้วยชื่อ ละติน: Dominus Albaniae ("ขุนนางแห่งแอลเบเนีย") และไม่ปรากฏหลักฐานว่าเชาอ้างยศอื่นอีกในเอกสารที่พบในปัจจุบัน[1] ในปี 1451 เขารับรองสถานะเอกราชทางนิตินัยของราชอาณาจักรเนเปิลส์เหนือแอลเบเนียผ่านทางสนธิสัญญากาเอตา ซึ่งทั้งสองรัฐลงนามว่าจถร่วมมือกันปกป้องกันและกัน กระนั้นในทางพฤตินัย สกานเดนเบร์กก็นังคงสถานะผู้นำคนเดียว[7] ในปี 1460–61 เขาช่วยสนับสนุนการสงครามของเฟอร์ดินันด์ที่หนึ่งแห่งเนเปิลส์และนำการกรีฑาทัพต้านกองทัพของจอห์นที่สองแห่งลอร์เรนและบารอนคนอื่นที่สนับสนุนการทวงคืนราชบัลลังก์เนเปิลส์ให้กับจอห์น

ในปี 1463 เขาได้รับมอบตำแหน่งให้เป็นผู้นำทัพครูเสดของพระสันตะปาปาปิอุสที่สอง แต่ก็ไม่ได้เกิดการรบเนื่องจากพระสันตะปาปาสิ้นพระชนม์ไปก่อนที่จะรวบรวมกองทัพสำเร็จ สกานเดนเบร์กและกองทัพของชาวเวนิสสู้รบต้านออตโตมันในสงครามออตโตมัน-เวนิส (1463-1479) กระทั้งเขาเสียชีวิตในเดือนมกราคม 1468 ในช่วงสูงสุดของเขา เขาเป็นนักรบต้านออตโตมันที่แข็งแกร่งและแน่วแน่ที่สุดคนหนึ่ง[8] ในศตวรรษที่ 19 สกานเดนเบร์กกลายมาเป็นบุคคลสำคัญในการตื่นตัวของชาติแอลเบเนีย และได้รับการเชิดชูอย่างมากในแอลเบเนียยุคใหม่

หมายเหตุ[แก้]

  1. คอซอวอเป็นดินแดนข้อพิพาทระหว่างสาธารณรัฐคอซอวอกับสาธารณรัฐเซอร์เบีย สาธารณรัฐคอซอวอประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 แต่เซอร์เบียยังคงอ้างว่าคอซอวอเป็นดินแดนอธิปไตยของตน ใน พ.ศ. 2556 ทั้งสองรัฐบาลเริ่มกระชับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติในฐานะส่วนหนึ่งของข้อตกลงบรัสเซลส์ ปัจจุบันคอซอวอได้รับการยอมรับว่าเป็นรัฐเอกราชจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติ 98 ชาติจาก 193 ชาติ

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 Anamali 2002, p. 379.
  2. Fine 1994, p. 557.
  3. Donald Edgar Pitcher (1972). An Historical Geography of the Ottoman Empire: From Earliest Times to the End of the Sixteenth Century. Brill Archive. p. 88. Yet in spite of this brilliance in the field, Castriota could do no more than hold his own; reference to the map will show that apart from the Uskiip campaign all these victories took place within the very narrow area of North Albania. ... Nor did the constant victories rob the Ottomans of the territory they held in southern Albania.
  4. Sedlar 1994, p. 393.
  5. Housley 1992, p. 90.
  6. Frazee 2006, p. 33.
  7. Fine 1994, pp. 558–559.
  8. Donald Edgar Pitcher (1968). An Historical Geography of the Ottoman Empire: From Earliest Times to the End of the Sixteenth Century. Brill. p. 88.

บรรณานุกรม[แก้]