มิโนรุ ชิโรตะ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มิโนรุ ชิโรตะ
代田 稔
เกิดญี่ปุ่น: 代田 稔โรมาจิShirota Minoru
23 เมษายน ค.ศ. 1899(1899-04-23)
ทัตสึโอกะ อำเภอชิโมะอินะ จังหวัดนางาโนะ ประเทศญี่ปุ่น (ปัจจุบัน: อีดะ จังหวัดนางาโนะ)
เสียชีวิต10 มีนาคม ค.ศ. 1982(1982-03-10) (82 ปี)
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
อาชีพนักจุลชีววิทยา
มีชื่อเสียงจากการคิดค้นยาคูลท์

มิโนรุ ชิโรตะ (ญี่ปุ่น: 代田 稔โรมาจิShirota Minoru; 23 เมษายน ค.ศ. 1899 – 10 มีนาคม ค.ศ. 1982) เป็นนายแพทย์ และนักธุรกิจ ผู้คิดค้นและก่อตั้งบริษัทเครื่องดื่มยาคูลท์

ประวัติ[แก้]

มิโนรุ ชิโรตะ เกิดในหมู่บ้านทัตสึโอกะ อำเภอชิโมะอินะ จังหวัดนางาโนะ (ปัจจุบันคือนครอีดะ จังหวัดนางาโนะ) ครอบครัวของเขามีฐานะร่ำรวย มีอาชีพขายส่งกระดาษ และเลี้ยงไหม สมัยเด็ก มิโนรุได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนในหมู่บ้านจนถึงชั้นประถมปีที่ 2 ต่อจากนั้นก็ไปเข้าเรียนที่โรงเรียนริวโอดะ ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของภูเขา เดิมทีมิโนรุเก่งวิชาคณิตศาสตร์ แต่อ่อนทางด้านภาษา แต่ก็ได้คุณครูฟูกูจิ ฮาชิซูเมะ ช่วยเอาใจใส่ดูแล จนทำให้เขามีผลการเรียนที่ดีเยี่ยม

ค.ศ. 1918 หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนอีดะ มิโนรุก็เลือกที่จะเรียนต่อทางสาขาวิชาการแพทย์ ตามที่บิดาของเขาต้องการ โดยเลือกสอบเข้าโรงเรียนที่เมืองเซ็นได จังหวัดมิยางิ (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยโทโฮกุ) ชีวิตการเรียนตลอด 3 ปีที่เซนไดของเขาเปี่ยมไปด้วยความสุข เนื่องจากได้ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี และมีเพื่อนฝูงมากมาย โดยเวลาที่ว่างจากชั่วโมงเรียน เขามักจะออกไปดูภาพยนตร์กับเพื่อนๆ มิโนรุสนใจในภาพยนตร์มาก จนครั้งหนึ่ง เขารู้สึกอยากจะเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์มากกว่าเป็นแพทย์เสียอีก แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนใจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนที่เซนได มิโนรุยังคงตัดสินใจที่จะเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย สาขาแพทยศาสตร์ เช่นเดิม

ทว่า ไม่นานนัก ที่ญี่ปุ่นก็เกิดสงคราม มิโนรุผู้มีนิสัยเกลียดการทะเลาะวิวาท จึงได้ย้ายไปอาศัยอยู่ในเมืองอันสุขสงบอย่างเกียวโต จากนั้นใน ค.ศ. 1921 เขาก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยเกียวโตเตโกคุ มิโนรุตั้งใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับเชื้อ จุลินทรีย์ ที่ก่อให้เกิดโรคภัยหลายชนิด โดยเฉพาะโรคบิด และโรคท้องร่วงในเด็ก โดยมีศาสตราจารย์เค็นจิ คิโยโนะ คอยดูแลและติดตามการค้นคว้าวิจัยของเขาอยู่ห่าง ๆ

เริ่มต้นยาคูลท์[แก้]

ฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1925 มิโนรุสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย แต่เขาก็ยังคงทำการค้นคว้าต่อในห้องทดลองจุลชีววิทยา ตามคำแนะนำของศาสตราจารย์คิโยโนะ

และจากอิทธิพลของการวิจัยเกี่ยวกับโปรไบโอติกส์ของนักวิทยาศาสตร์รัสเซียชั้นนำระดับรางวัลโนเบลอย่าง Ilya Ilyich Mechnikov เป็นแรงบันดาลใจให้มิโนรุตั้งใจที่จะค้นคว้าเกี่ยวกับจุลินทรีย์กรดนม ซึ่ง Mechnikov ได้ค้นพบว่าเป็นจุลินทรีย์ที่ช่วยต่อสู้และทำลายจุลินทรีย์ที่ไม่ดีในลำไส้ของมนุษย์ โดยมิโนรุได้ทำการการคัดเลือกสายพันธุ์ที่เชื่อว่าดีเลิศ และนำเอาจุลินทรีย์ที่ว่านั้นออกมาเพาะเลี้ยงให้แข็งแรง และผลิตเป็นเครื่องดื่มให้ผู้คนดื่มมันกลับไปสู่ลำไส้ เพื่อเป็นการรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง

ค.ศ. 1929 มิโนรุได้แต่งงานกับหญิงสาวชื่อ โยชิเอะ ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันที่คามิเกียว จังหวัดเกียวโต ถึงแม้จะแต่งงานแล้ว มิโนรุก็ยังคงทำการทดลองอย่างขะมักเขม้นตลอดเวลา หลังจากนั้นไม่นาน ความพยายามของเขาก็ได้รับผลตอบแทน เมื่อเขาได้รับปริญญาเอกสาขาแพทยศาสตร์ และสามารถเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์กรดนมสายพันธุ์พิเศษให้แข็งแรงได้สำเร็จใน ค.ศ. 1930 ศาสตราจารย์คิโยโนะรู้สึกปลาบปลื้มใจกับความสำเร็จลูกศิษย์เป็นอย่างมาก เขาได้ตั้งชื่อให้กับจุลินทรีย์นี้ว่า แลกโตบาซิลลัส คาเซ สายพันธุ์ชิโรตะ (Lactobacillus casei strain shirota) ตามชื่อสกุลของมิโนรุ

ค.ศ. 1933 มิโนรุดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเกียวโต แต่เขาก็ยังไม่หยุดการค้นคว้าเกี่ยวกับแลกโตบาซิลลัสตัวนี้ จนกระทั่งในที่สุด เขาก็สามารถผลิตเครื่องดื่มที่ทำให้สุขภาพแข็งแรงและมีรสชาติอร่อยได้สำเร็จ มิโนรุตั้งชื่อให้กับเครื่องดื่มชนิดนี้ว่า ยาคูลท์ ซึ่งเป็นชื่อที่มาจากภาษาเอสเปรันโต ที่มีความหมายเหมือนกับคำว่า โยเกิร์ต จากนั้นใน ค.ศ. 1935 มิโนรุก็ได้ก่อตั้ง "สถาบันชิโรตะ" ขึ้นที่โรนิง จังหวัดฟูกูโอกะ เพื่อเริ่มต้นผลิตและจำหน่ายยาคูลท์ ยามนั้นเป็นช่วงเวลาที่มิโนรุกับครอบครัวได้ใช้ชีวิตกันอย่างสุขสงบและมีความสุขที่สุด แต่ทว่าไม่นานนัก มิโนรุก็ได้รับหมายเกณฑ์จากทางราชการให้ไปเป็นแพทย์ประจำกองทัพ

ค.ศ. 1938 หลังออกรบได้ไม่นาน มิโนรุก็ได้กลับมาบ้าน แต่เขาก็ต้องถูกส่งตัวไปประเทศจีนแทน เพื่อไปเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์หานปิง ทว่าในช่วงนั้น ทหารญี่ปุ่นได้เข้ารุกรานประเทศจีน ส่งผลให้สงครามทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ มิโนรุจึงไม่อาจทนอยู่ที่หานปิงต่อไปได้ เขาลาออกจากมหาวิทยาลัย และกลับญี่ปุ่นอย่างเงียบ ๆ

ค.ศ. 1939 มิโนรุได้ก่อตั้ง "สถาบันชิโรตะ" ขึ้นอีกครั้ง เพื่อสร้างศูนย์การขายและแพร่ขยายยาคูลท์ไปตามเมืองต่างๆ ในภาคตะวันตกของญี่ปุ่น แต่ในขณะนั้นญี่ปุ่นกำลังอยู่ระหว่างการพร้อมรบ งบประมาณของประเทศถูกนำไปใช้จ่ายในการสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ มากกว่าอาหาร ทำให้ประชาชนขาดแคลนอาหารอย่างหนัก มิโนรุจึงได้ผลิตยาคูลท์ออกจำหน่ายในราคาถูกโดยไม่เกรงกลัวต่อภาวะขาดทุน เพื่อที่ประชาชนจะได้มีสุขภาพที่แข็งแรง

ค.ศ. 1945 เมื่อสงครามสงบลง มิโนรุและเหล่าเพื่อน ๆ จึงต้องพยายามอย่างหนักในการเพาะเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์กรดนม เพื่อเริ่มต้นทำยาคูลท์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง และแล้วยาคูลท์ก็ได้เริ่มออกจำหน่ายอีกครั้งใน ค.ศ. 1950

ค.ศ. 1955 มิโนรุได้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปอยู่ที่โตเกียว และตั้งชื่อบริษัทว่า "ยาคูลท์" ซึ่งเป็นการยกระดับสินค้าให้แพร่หลายไปทั่วประเทศ หลังจากนั้นมิโนรุก็ยังทำการค้นคว้าต่อไป ทั้งจุลินทรีย์กรดนมและคลอเรลล่า เขามีโอกาสได้เข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับจุลินทรีย์วิทยาระหว่างประเทศที่ประเทศรัสเซีย และได้ไปเยี่ยมเยียนสถาบันวิจัยทางการแพทย์ร็อคกี้เฟลเลอร์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังได้แลกเปลี่ยนผลงานการค้นคว้ากับประเทศต่างๆ อีกด้วย

ด้วยความมานะอุตสาหะของมิโนรุ ทำให้เขาได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นที่ 4 ใน ค.ศ. 1969 จากนั้นมิโนรุก็ยังคงดูแลและติดตามการเจริญเติบโตของบริษัทมาตลอดจวบจนกระทั่งวันสิ้นลม ใน ค.ศ. 1982

อ้างอิง[แก้]

  • "ชีวิตเจ้าพ่อ" หนังสือรวบรวมเรื่องราวชีวิตของ มิโนรุ ชิโรตะ ในรูปแบบการ์ตูน จากบริษัทยาคูลท์ (ประเทศไทย) จำกัด