ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เทศกาลเช็งเม้ง"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Waniosa Amedestir (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: เครื่องมือแก้ไขต้นฉบับปี 2560
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
[[File:Five coloured papers on a grave mound, Bukit Brown Cemetery, Singapore - 20110326-02.jpg|thumb|กระดาษสีบนสุสานในช่วงเทศกาลเช็งเม้ง, สุสานบูกิตบราวน์, สิงคโปร์]]
[[File:Five coloured papers on a grave mound, Bukit Brown Cemetery, Singapore - 20110326-02.jpg|thumb|กระดาษสีบนสุสานในช่วงเทศกาลเช็งเม้ง, สุสานบูกิตบราวน์, สิงคโปร์]]
ภูมิยังคิดถึงพี่จ้าว
'''ชิงหมิง''' (qing-ming, [[อักษรจีนตัวเต็ม]]: 清明節, [[อักษรจีนตัวย่อ]]: 清明节, [[พินอิน]]: Qīngmíngjié) หรือ '''เช็งเม้ง, เชงเม้ง''' (ตาม[[ภาษาจีนแต้จิ๋ว|สำเนียงแต้จิ๋ว]])หรือ "'''เฉ่งเบ๋ง'''" (ในสำเนียง[[ฮกเกี้ยน|ฮกเกี้ยน]]) "เช็ง"หรือ"เฉ่ง" หมายถึง สะอาด บริสุทธิ์ และ "เม้ง"หรือ"เบ๋ง" หมายถึง สว่าง รวมแล้วหมายความถึง ช่วงเวลาแห่งความแจ่มใส รื่นรมย์

เช็งเม้งใน[[ประเทศจีน]] เริ่มต้นประมาณ 4-5 เมษายน ไปจนถึง 19-20 เมษายน เป็น[[ฤดูใบไม้ผลิ]] อากาศจะคลายความหนาวเย็น เริ่มเข้าสู่ความอบอุ่น มีฝนตกปรอย ๆ มีบรรยากาศสดชื่น ท้องฟ้าใสสว่าง (เป็นที่มาของชื่อ เช็งเม้ง)

สำหรับใน[[ประเทศไทย]]เทศกาลเช็งเม้ง ถือวันที่ [[5 เมษายน]]เป็นหลัก{{อ้างอิง}} (บางปีจะเป็นวันที่ 4 เช่น เชงเม้งในปี 2559,2560) แล้วนับวันก่อนถึง 3 วัน และเลยไปอีก 3 วัน รวมเป็น 7 วัน (2 - 8 เมษายน) แต่ในปัจจุบันเนื่องจากมีปัญหาการจราจรคับคั่ง เลยขยายช่วงเวลาเทศกาลให้เร็วขึ้นอีก 3 สัปดาห์ (ประมาณ 15 มีนาคม - 8 เมษายน) แต่ใน[[ภาคใต้]]บางพื้นที่ เช่น [[จังหวัดตรัง]]จะจัดเร็วกว่าที่อื่น 1 วัน ประมาณวันที่ 4 เมษายนของทุกปี

ประเพณีที่สำคัญมากที่สุดของของชาวจีน คือ ไหว้บรรพบุรุษที่[[สุสาน]] '''ฮวงซุ้ย'''([[สำเนียงแต้จิ๋ว|แต้จิ๋ว]]) แต่คนฮกเกี้ยนเรียกว่า '''บ่องป้าย''' เป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยมีอิทธิพลมาจาก[[ลัทธิขงจื๊อ]] ที่เน้นเรื่องความกตัญญูเป็นสำคัญ


== ตำนานการเกิดเช็งเม้ง ==
== ตำนานการเกิดเช็งเม้ง ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 21:44, 9 กุมภาพันธ์ 2564

กระดาษสีบนสุสานในช่วงเทศกาลเช็งเม้ง, สุสานบูกิตบราวน์, สิงคโปร์

ภูมิยังคิดถึงพี่จ้าว

ตำนานการเกิดเช็งเม้ง

ในยุคชุนชิว องค์ชายฉงเอ่อแห่งแคว้นจิ้นหนีภัยออกนอกแคว้น ไปมีชีวิตตกระกำลำบากนอกเมือง โดยมีเจี้ยจื่อทุยติดตามไปดูแลรับใช้

เจี้ยจื่อทุยมีจิตใจเมตตาถึงขนาดเชือดเนื้อที่ขาของตนเป็นอาหารให้องค์ชายเสวยเพื่อประทังชีวิต ภายหลังเมื่อองค์ชายฉงเอ่อเสด็จกลับเข้าแคว้นและได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้น นาม จิ้นเหวินกง และได้สถาปนาตอบแทนขุนนางทุกคนที่เคยให้ความช่วยเหลือตน แต่ลืมเจี้ยจื่อทุยไป นานวันเข้าจึงมีคนเตือนถึงบุญคุณเจี้ยจื่อทุย จิ้นเหวินกงเพิ่งนึกขึ้นไป จึงต้องการตอบแทนบุญคุณเจี้ยจื่อทุย โดยจัดหาบ้านให้เขาและมารดาให้เข้ามาอยู่อย่างสุขสบายในเมือง แต่ทว่าเจี้ยจื่อทุยปฏิเสธ

จิ้นเหวินกงได้คิดแผนเผาภูเขา โดยหวังว่าเจี้ยจื่อทุยจะพามารดาออกมาจากบ้าน แต่ผลสุดท้ายกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด สองแม่ลูกกลับต้องเสียชีวิตในกองเพลิง ดังนั้น เพื่อเป็นการรำลึกถึงเจี้ยจื่อทุย จิ้นเหวินกงจึงมีคำสั่งให้วันนี้ของทุกปี ห้ามไม่ให้มีการก่อไฟ และให้รับประทานแต่อาหารสด ๆ และเย็น ๆ จนกลายเป็นที่มาของเทศกาลวันกินอาหารเย็น หรือ เทศกาลหันสือเจี๋ย (寒食节) ซึ่งเป็นวันสุกดิบก่อนวันเช็งเม้ง 1 วัน

เนื่องจากคนโบราณนิยมถือปฏิบัติกิจกรรมตามประเพณีวันหันสือเจี๋ยต่อเนื่องไปจนถึงวันเช็งเม้ง นานวันเข้าเทศกาลทั้งสองก็รวมเป็นวันเช็งเม้งวันเดียว การไหว้เจี้ยจื่อทุยจึงค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็นการไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษแทน

ประเพณีการทำความสะอาดฮวงซุ้ย

เริ่มมาจากการที่พระเจ้าฮั่นเกาจู ปราบดาภิเษกและสถาปนาราชวงศ์ฮั่นขึ้นแล้ว เกิดระลึกถึงบุญคุณบิดา มารดาที่เสียชีวิตไปแล้วที่บ้านเกิด จึงเร่งรัดกลับบ้านเกิด แต่ทว่าป้ายชื่อของฮวงซุ้ยแต่ละที่เลือนรางเต็มทน จากสงคราม พระเจ้าฮั่นเกาจูจึงอธิษฐานต่อสวรรค์ด้วยการโปรยกระดาษสีขึ้นบนฟ้าแล้วให้ลมพัดปลิวไป ถ้ากระดาษตกที่ฮวงซุ้ยไหน ถือว่าเป็นฮวงซุ้ยของบิดา มารดาพระองค์ และเมื่อดูป้ายชื่อชัด ๆ แล้วก็พบว่าเป็นฮวงซุ้ยของบิดา มารดาพระองค์จริง ประเพณีการทำความสะอาดฮวงซุ้ยและโปรยกระดาษสีบนหลุมศพก็เริ่มมาจากตรงนี้เอง

แหล่งข้อมูลอื่น