ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ราชวงศ์อู่ทอง"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ล ย้อนการแก้ไขที่อาจเป็นการทดลอง หรือก่อกวนด้วยบอต ไม่ควรย้อน? แจ้งที่นี่ |
|||
บรรทัด 26: | บรรทัด 26: | ||
}} |
}} |
||
หำไหย่ |
|||
'''ราชวงศ์อู่ทอง'''<ref name="วารสาร">{{cite web |url=http://journal.hcu.ac.th/pdffile/jn1530/71-88.pdf|title=นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์:ผู้หญิงกับอำนาจเชิงพื้นที่หลากมิติ|author=นิพัทธพงศ์ พุมมา และณรงค์กรรณ รอดทรัพย์|date=มกราคม-มิถุนายน พ.ศ. 2555|work= |publisher=วรสาร มฉก. วิชาการ|accessdate=13 มกราคม 2557}}</ref> หรือ '''ราชวงศ์ละโว้-อโยธยา'''<ref name="วารสาร"/><ref>พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. ''การเมืองในประวัติศาสตร์ ยุคสุโขทัย-อยุธยา พระมหาธรรมราชา กษัตราธิราช''. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : มติชน. 2553, หน้า 60</ref><ref name="คำหับ">{{cite web |url=http://www.thairath.co.th/column/pol/kumpee/115728|title=เอกสารคำหับ|author=บาราย|date=3 ตุลาคม พ.ศ. 2553|work= |publisher=ไทยรัฐ|accessdate=13 มกราคม 2557}}</ref> หรือ '''ราชวงศ์เชียงราย'''<ref name="เชียงราย">{{cite web |url=http://www.sujitwongthes.com/2013/05/weeekly17052556/|title=พระเจ้าแผ่นดินอยุธยา เป็นเชื้อราชวงศ์ลาว มีในพระราชนิพนธ์ ร.4, ร.5|author=สุจิตต์ วงษ์เทศ|date=17 พฤษภาคม 2556|work= |publisher=sujitwongthes.com|accessdate=13 มกราคม 2557}}</ref> ทั้งหมดล้วนเป็นชื่อสมมุติที่นักประวัติศาสตร์ใช้เรียก[[ราชวงศ์]]แรกที่ปกครอง[[กรุงศรีอยุธยา]] เพื่อความสะดวกในการศึกษา[[ประวัติศาสตร์]]กรุงศรีอยุธยา โดยกำหนดเอาพระนามตามตำนานของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ที่มีพระนามเดิมว่า ''"พระเจ้าอู่ทอง"'' มาเป็นชื่อราชวงศ์ แต่ความเป็นมาของราชวงศ์ดังกล่าวยังคงคลุมเครืออยู่<ref name="ศึกษา">{{cite web |url=http://www.ayutthayastudies.aru.ac.th/content/view/667/0/|title=พระเจ้าอู่ทอง|author=|date=|work= |publisher=สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา|accessdate=7 เมษายน 2557}}</ref> |
|||
หำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำ |
|||
== ประวัติ == |
|||
ต้นสายเดิมของราชวงศ์นี้ยังเป็นปริศนาไม่ทราบแน่ชัด จึงมีการสมมติชื่อของราชวงศ์นี้ไว้หลายชื่อ ดังข้อสันนิษฐานต่อไปนี้ เช่น: |
|||
* ทฤษฎีที่ต้นราชวงศ์มาจากภาคเหนือ และสถาปนาเป็นต้นราชวงศ์เชียงราย<ref name="เชียงราย"/> |
|||
** มาจากพระราชาธิบายของ[[พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ว่า "พระเจ้าอู่ทองเป็นราชบุตรเขยของพระเจ้าศิริชัยเชียงแสน ได้รับราชสมบัติสืบพระวงศ์ทางพระมเหสี ครองราชสมบัติอยู่ 6 ปี เกิดโรคห่าขึ้นในพระนคร จึงย้ายมาตั้งราชธานีที่เมืองศรีอยุธยา" |
|||
** ตำนานสิงหนวัติ, พงศาวดารเมืองเงินยาง เชียงแสน และพระราชพงศาวดารสังเขป ของ[[สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส]] ระบุว่า พระเจ้าอู่ทองเป็นเชื้อราชวงศ์ลาวจากพระเจ้าพรหมแห่งเมืองเชียงแสน |
|||
* ทฤษฎีที่ต้นราชวงศ์อพยพหนีโรคห่ามาจากเมืองอู่ทอง<ref>{{cite web |url=http://www.oceansmile.com/K/Ayuttaya/KingOutong.htm|title=สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)|author=|date=|work= |publisher=โอเชี่ยนสไมล์ทัวร์|accessdate=13 มกราคม 2557}}</ref> |
|||
** ต่อเนื่องมาจากการอพยพลงมาสู่ตอนใต้ของทฤษฎีแรกที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่เมืองอู่ทอง แต่เมืองอู่ทองเกิดโรคห่า จึงได้อพยพลงสู่กรุงศรีอยุธยา |
|||
*** แต่ทฤษฎีนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว เพราะจากการสำรวจเมืองอู่ทองของมานิต วัลลิโภดม พบว่าเมืองอู่ทองร้างไปก่อนการตั้งกรุงศรีอยุธยาถึง 300 ปี จึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าเมืองอู่ทองจะหนีโรคห่ามาในช่วงเวลานั้น<ref name="ศึกษา"/><ref>{{cite web |url=http://haab.catholic.or.th/history/Suwannapoom/world-heritage.html|title=กรุงศรีอยุธยา (มรดกโลก)|author=|date=|work= |publisher=จดหมายเหตุอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ|accessdate=7 เมษายน 2557}}</ref> |
|||
* ทฤษฎีที่เชื่อว่าต้นราชวงศ์มีความเกี่ยวดองกับ[[ละโว้]]มาก่อน<ref name="ละโว้">{{cite web |url=http://www.bandhit.com/History/suriyothai1.htm|title=พระสุริโยไทเป็นใคร? มาจากไหน ?|author=|date=|work= |publisher=Bandhit Press|accessdate=13 มกราคม 2557}}</ref> |
|||
** เนื่องจากหลังการสถาปนากรุงอโยธยาในปี พ.ศ. 1893 เอกสารของจีนยังคงเรียกอโยธยาว่า "หลอหู" (羅渦国) ซึ่งคือละโว้ อันแสดงถึงความเกี่ยวดองกับละโว้มาก่อน โดยเฉพาะที่[[สมเด็จพระราเมศวร]]ครองเมืองละโว้ในฐานะลูกหลวงอีกประการหนึ่ง |
|||
นอกจากนี้ใน ''พงศาวดารล้านช้าง'' ซึ่งเป็นพงศาวดารของลาว ได้ระบุว่า ขุนบรม (หรือ ''ขุนบูลม'' ในภาษาลาว) ได้ให้กำเนิดบุตรเจ็ดคนไปครองเมืองต่าง ๆ โดยคนที่ห้าคือ "งัวอิน" ได้ครองเมืองอโยธยา<ref>สุจิตต์ วงษ์เทศ. ''"พลังลาว" ชาวอีสาน มาจากไหน?''. กรุงเทพฯ : มติชน. 2549, หน้า 95</ref> หรือในหนังสือ ''คู่มือทูตตอบ'' เขียนขึ้นโดยราชบัณฑิตไม่ปรากฏนามในสมัยกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2224 ระบุว่า กษัตริย์สืบเชื้อสายมาจากสมเด็จพระปฐมสุริยนารายณีศวรบพิตร์ และมีลูกหลานคือสมเด็จพระพนมทะเลศรีมเหศวรวารินทร์ราชบพิตร อพยพไปกรุงสุโขทัยก่อนลงมาสร้างเมืองเพชรบุรี และต่อมาได้สร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีใหม่<ref>[[ไมเคิล ไรท์]]. (4 กุมภาพันธ์ 2548). "ภูมิประวัติศาสตร์สยาม:เอกสารชั้นต้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์ที่เปิดเผยใหม่". ''ศิลปวัฒนธรรม''. 26:4, หน้า 91</ref> เป็นต้น |
|||
มีการสันนิษฐานว่าราชวงศ์นี้อาจมีเชื้อสายลาว ดังพระราชวิจารณ์ใน[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ความว่า ''"ในต้นราชตระกูลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 นั้น เป็นเชื้อลาวมาตั้งพระราชธานีในประเทศสยาม ธรรมเนียมต่าง ๆ คงยังเจือลาวอยู่บ้าง"''<ref name="เชียงราย"/> บ้างก็ว่าอาจมีเชื้อสายพราหมณ์ เนื่องจากหลังการสิ้นอำนาจในการครองกรุงศรีอยุธยา ผู้สืบเชื้อสายจากราชวงศ์ดังกล่าวไม่ถูกสังหารเหมือนพราหมณ์ในพระราชไอยการของกรุงศรีอยุธยาที่มิให้ต้องโทษหรือประหาร<ref name="พิเศษ"/> ทั้งนี้ทั้งนั้นความเป็นมาหรือเชื้อสายของต้นราชวงศ์นี้ ยังคงคลุมเครืออยู่ในปัจจุบัน<ref name="ศึกษา"/> |
|||
== การขึ้นสู่อำนาจ == |
|||
{{โครงส่วน}} |
|||
== การสิ้นสุดอำนาจ == |
|||
[[สมเด็จพระรามราชาธิราช]] พระราชโอรสในสมเด็จพระราเมศวร ได้สืบราชสมบัติสืบมา แต่ภายหลังได้ถูกถอดจากการเป็นกษัตริย์ด้วยทรงมีข้อพิพาทกับเจ้าพระยามหาเสนาบดี ผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีและเป็นผู้บังคับบัญชาทหาร เจ้าพระยามหาเสนาบดีได้หนีไปอยู่ฟากปทาคูจาม แล้วได้ร่วมกับ[[สมเด็จพระนครินทราธิราช]] ยกกำลังจากเมืองสุพรรณบุรีมายึดกรุงศรีอยุธยา แล้วทูลเชิญสมเด็จพระนครินทราธิราชขึ้นครองราชย์กรุงศรีอยุธยา ส่วนสมเด็จพระรามราชาธิราชได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ไปครองเมืองปทาคูจาม หลังครองกรุงศรีอยุธยาได้ 15 ปี สวรรคตปีใดไม่ปรากฏหลักฐาน |
|||
บ้างก็ว่าสมเด็จพระรามราชาธิราชถูกสมเด็จพระนครินทราธิราชเนรเทศให้ครอง[[พนมเปญ|เมืองจตุมุข]] โดย ไมเคิล วิคเคอรี (Michael Vickery) ได้สันนิษฐานว่า[[สมเด็จพระรามาธิบดี (คำขัด)]] บิดาของ[[เจ้าพญายาต]] กษัตริย์เขมร เป็นบุคคลเดียวกับ "พระรามเจ้า" ในพระราชพงศาวดารฉบับปลีกว่าเป็นบุคคลเดียวกับสมเด็จพระรามราชา<ref>วินัย พงศ์ศรีเพียร (บรรณาธิการ). ''ความยอกย้อนของประวัติศาสตร์''. กรุงเทพฯ:รุ่งแสงการพิมพ์. 2539, หน้า 63</ref> และวิคเคอรีก็สันนิษฐานอีกว่าเมือจตุมุขดังกล่าวเป็นเมืองเดียวกับเมืองปทาคูจาม<ref>จันทร์ฉาย ภัคอธิคม. "พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา:ในทรรศนะของนายไมเคิล วิคเคอรี". ''ข้อมูลประวัติศาสตร์ในรอบทศวรรษ (พ.ศ. 2420-2530)''. กรุงเทพฯ : สยามสมาคม. 2531, หน้า 50</ref> |
|||
ทั้งนี้ผู้สืบเชื้อสายในราชวงศ์ดังกล่าวมิได้รับโทษทัณฑ์หรือถูกประหารหลังการสูญเสียอำนาจ ทั้งยังอาจได้รับการยกย่องให้เป็นตระกูลที่ศักดิ์สิทธิ์ ราชวงศ์ละโว้-อโยธยาจึงได้รับการเลี้ยงดูเป็นปุโรหิตให้ทำหน้าที่เกี่ยวกับพิธีกรรมในราชสำนักโดยมิให้กำลังอำนาจใด ๆ<ref name="พิเศษ">พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. ''การเมืองในประวัติศาสตร์ ยุคสุโขทัย-อยุธยา พระมหาธรรมราชา กษัตราธิราช''. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : มติชน. 2553, หน้า 95</ref> และสตรีจากราชวงศ์นี้ก็รับราชการเป็นพระสนมในพระมหากษัตริย์ในตำแหน่ง "ท้าวศรีสุดาจันทร์"<ref name="พิเศษ1">พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. ''การเมืองในประวัติศาสตร์ ยุคสุโขทัย-อยุธยา พระมหาธรรมราชา กษัตราธิราช''. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : มติชน. 2553, หน้า 90</ref> ซึ่งเป็นหนึ่งใน[[สนมเอกสี่ทิศ]]ของพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา อันเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจที่ว่าพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจปกแผ่ยังทิศทั้งสี่<ref>สุจิตต์ วงษ์เทศ. ''ท้าวศรีสุดาจันทร์ "แม่หยัวเมือง" ใครว่าหล่อนชั่ว ?''. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : เรือนแก้วการพิมพ์, 2557, หน้า 73</ref> |
|||
=== การฟื้นอำนาจ === |
|||
จากการที่ราชวงศ์ละโว้-อโยธยา ยังคงมีบทบาทในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา ทั้งด้านพิธีกรรมทางศาสนา และการส่งสตรีเข้ารับราชการฝ่ายในเป็นพระสนมในพระมหากษัตริย์ และราชวงศ์นี้ยัง "รอคอย" ที่จะนำอำนาจของพวกตนหวนคืนกลับมา<ref>พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. ''พระศรีสุริโยทัยเป็นใคร? มาจากไหน?''. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : มติชน. 2544, หน้า 48</ref> ในรัชกาล[[สมเด็จพระไชยราชาธิราช]] ได้มีสตรีจากราชวงศ์ละโว้-อโยธยา เข้ารับราชการเป็นพระมเหสีฝ่ายซ้าย คือ '''[[นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์|แม่หยัวศรีสุดาจันทร์]]''' ซึ่งเพิ่มพูนอำนาจจากการประสูติกาลพระราชโอรสคือ[[พระยอดฟ้า]] ทำให้พระนางมีฐานะที่สูงส่งกว่าพระชายาอีกสามพระองค์<ref name="พิเศษ1"/> ต่อมาสมเด็จพระไชยราชาธิราช พระสวามีได้เสด็จกลับจากราชการสงคราม ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคต จึงได้มีการยกพระยอดฟ้าผู้เป็นพระโอรสครองราชย์ต่อมาในปี พ.ศ. 2089 โดยมี[[นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์]]เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ |
|||
หลังการสิ้นพระชนม์ของพระสวามี พระนางก็ลอบสังวาสกับพันบุตรศรีเทพ (บุญศรี) ซึ่งเป็นข้าหลวงเดิมอันถือเป็นเรื่องผิดกฎมนเทียรบาลด้วยห้ามการมีสามีใหม่ ด้วยแสวงหาอำนาจที่จะคุ้มครองบัลลังก์ ทรงเห็นว่ากลุ่มของพันบุตรศรีเทพอาจจะเหมาะควร<ref name="วารสาร"/> เพื่อการลุแก่อำนาจ พระนางทรงอ้างว่าพระยอดฟ้ายังทรงพระเยาว์ ทั้ง[[หัวเมืองเหนือ]]ก็ไม่เป็นปกติ จึงปรึกษากับขุนนางว่าจะให้[[ขุนวรวงศาธิราช]]ว่าราชการแผ่นดินจนกระทั่งพระยอดฟ้าทรงเจริญพระชนมายุ เหล่าขุนนางก็เห็นชอบด้วย เมื่อขุนวรวงศาธิราชขึ้นครองราชย์แล้ว แล้วนำพระยอดฟ้าไปสำเร็จโทษที่[[วัดโคกพระยา]]<ref name="พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)">''พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)'', นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2553, หน้า 66-7</ref> อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานี้พงศาวดารพม่ากลับจดพระนามผู้ครองราชย์ว่า "พระอัครมเหสี" ซึ่งคือตัวท้าวศรีสุดาจันทร์นั่นเอง<ref>สุเนตร ชุตินธรานนท์ ดร. ''พม่ารบไทย''. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพฯ : มติชน. 2554, หน้า 74</ref><ref>[[พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์|นราธิปประพันธ์พงศ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ]]. ''พระราชพงศาวดารพม่า''. พิมพ์ครั้งที่ 2. นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2550, หน้า 1131</ref> |
|||
แต่ท้ายที่สุดการฟื้นอำนาจของพระนางก็สิ้นสุดลง โดยกลุ่มขุนนางผู้ใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยกับการครองราชย์นั้น นำโดยขุนพิเรนทรเทพ (ต่อมาคือ[[สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช]]) ได้ร่วมกันวางแผนจับและสังหารขุนวรวงศาธิราชกับนางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์พร้อมด้วยบุตร แล้วนำพระศพไปเสียบประจานที่วัดแร้ง<ref name="พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)"/> |
|||
== รายพระนามพระมหากษัตริย์ == |
|||
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประเภทตำนานและพงศาวดาร ทำให้เชื่อได้ว่า "ราชวงศ์อู่ทอง" เป็นความสัมพันธ์กันทางเครือญาติระหว่างเมืองลพบุรีกับเมืองสุพรรณบุรี แต่อย่างไรก็ตามความเป็นมาของราชวงศ์นี้ยังคงคลุมเครืออยู่ พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์อู่ทอง มี 3 พระองค์ ได้แก่ |
|||
{| width=100% class="wikitable" |
|||
!style="background-color:#F0DC82" width=5%|ลำดับ |
|||
! style="background-color:#F0DC82" width=30% | พระนาม |
|||
! style="background-color:#F0DC82" width=10% | พระราชสมภพ |
|||
! style="background-color:#F0DC82" width=10% | ครองราชย์ |
|||
! style="background-color:#F0DC82" width=10% | สิ้นรัชกาล |
|||
! style="background-color:#F0DC82" width=10% | สวรรคต |
|||
! style="background-color:#F0DC82" width=20% | รวมปีครองราชย์ |
|||
|- |
|||
|align="center"|1 |
|||
|align="center"| [[สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1]] <small>(พระเจ้าอู่ทอง)</small> |
|||
|align="center"|พ.ศ. 1855 |
|||
|align="center"|พ.ศ. 1893 |
|||
|align="center" colspan=2|พ.ศ. 1912 |
|||
|align="center"|20 ปี |
|||
|- |
|||
|align="center"|2 <small>(1) |
|||
|align="center"|[[สมเด็จพระราเมศวร]] |
|||
|align="center"|พ.ศ. 1885 |
|||
|align="center"|พ.ศ. 1912 |
|||
|align="center"|พ.ศ. 1913 |
|||
|align="center"|พ.ศ. 1938 |
|||
|align="center"|ไม่ถึง 1 ปี |
|||
|- |
|||
|align="center"|2 <small>(2) |
|||
|align="center"|[[สมเด็จพระราเมศวร]] |
|||
|align="center"|พ.ศ. 1885 |
|||
|align="center"| พ.ศ. 1931 |
|||
|align="center" colspan=2|พ.ศ. 1938 |
|||
|align="center"|7 ปี |
|||
|- |
|||
|align="center"|5 |
|||
|align="center"|[[สมเด็จพระรามราชาธิราช]] |
|||
|align="center"|พ.ศ. 1899 |
|||
|align="center"|พ.ศ. 1938 |
|||
|align="center"|พ.ศ. 1952 |
|||
|align="center"|? |
|||
|align="center"|15 ปี |
|||
|- |
|||
|} |
|||
== อ้างอิง == |
|||
{{รายการอ้างอิง}} |
|||
==ดูเพิ่ม== |
|||
* [[ลำดับพระมหากษัตริย์ไทย]] |
|||
{{เริ่มกล่อง}} |
|||
{{สืบตำแหน่ง |
|||
|สี1 = #E9E9E9 |
|||
|สี2 = |
|||
|สี3 = #E9E9E9 |
|||
|รูปภาพ = |
|||
|ตำแหน่ง = [[ราชวงศ์]]ที่ปกครอง[[กรุงศรีอยุธยา]]<br>(ครั้งที่ 1) |
|||
|จำนวนตำแหน่ง = |
|||
|ก่อนหน้า = [[ราชวงศ์พระร่วง]] <br>(ปกครอง[[กรุงสุโขทัย]]) |
|||
|จำนวนก่อนหน้า = |
|||
|ถัดไป = [[ราชวงศ์สุพรรณภูมิ]] |
|||
|จำนวนถัดไป = |
|||
|ช่วงเวลา = [[พ.ศ. 1893]] - [[พ.ศ. 1913]] |
|||
}} |
|||
{{สืบตำแหน่ง |
|||
|สี1 = #E9E9E9 |
|||
|สี2 = |
|||
|สี3 = #E9E9E9 |
|||
|รูปภาพ = |
|||
|ตำแหน่ง = [[ราชวงศ์]]ที่ปกครอง[[กรุงศรีอยุธยา]]<br>(ครั้งที่ 2) |
|||
|จำนวนตำแหน่ง = |
|||
|ก่อนหน้า = [[ราชวงศ์สุพรรณภูมิ]] |
|||
|จำนวนก่อนหน้า = |
|||
|ถัดไป = [[ราชวงศ์สุพรรณภูมิ]] |
|||
|จำนวนถัดไป = |
|||
|ช่วงเวลา = [[พ.ศ. 1931]] - [[พ.ศ. 1952]] |
|||
}} |
|||
{{จบกล่อง}} |
|||
{{ลำดับราชวงศ์ไทย}} |
|||
{{พระมหากษัตริย์ไทย}} |
|||
{{กรุงศรีอยุธยา}} |
|||
[[หมวดหมู่:ราชวงศ์อู่ทอง| ]] |
[[หมวดหมู่:ราชวงศ์อู่ทอง| ]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:15, 25 มกราคม 2560
พระราชอิสริยยศ | พระมหากษัตริย์แห่ง กรุงศรีอยุธยา |
---|---|
ปกครอง | กรุงศรีอยุธยา |
เชื้อชาติ | ไม่แน่ชัด |
จำนวนพระมหากษัตริย์ | 3 พระองค์ |
ประมุขพระองค์แรก | สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 |
ประมุขพระองค์สุดท้าย | สมเด็จพระรามราชาธิราช |
ช่วงระยะเวลา | 1893 - 1952 |
สถาปนา | (ครั้งที่ 1) พ.ศ. 1893 (ครั้งที่ 2) พ.ศ. 1931 |
สิ้นสุด | (ครั้งที่ 1) พ.ศ. 1913 (ครั้งที่ 2) พ.ศ. 1952 |
ราชวงศ์ก่อนหน้า | ราชวงศ์พระร่วง (กรุงสุโขทัย) |
ราชวงศ์ถัดไป | ราชวงศ์สุพรรณภูมิ |
หำไหย่
หำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำหำ