ข้ามไปเนื้อหา

พระราชบัญญัติความผิดอาญาฐานเป็นกบฏ ค.ศ. 1848

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระราชบัญญัติความผิดอาญาฐานเป็นกบฏ ค.ศ. 1848
ค.ศ. 1848
The Treason Felony Act 1848[1]
ชื่อเต็มAn Act for the better Security of the Crown and Government of the United Kingdom.
อ้างอิง11 & 12 Vict. c. 12
เขตอำนาจสหราชอาณาจักร
วาระ
ได้รับพระบรมราชานุญาต22 เมษายน ค.ศ. 1848
การแก้ไขเพิ่มเติม
แก้ไขเพิ่มเติมโดยIndictments Act 1915
สถานะ: มีการแก้ไขเพิ่มเติม

พระราชบัญญัติความผิดอาญาฐานเป็นกบฏ ค.ศ. 1848 (อังกฤษ: Treason Felony Act 1848) เป็นพระราชบัญญัติที่ออกโดยรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ ที่ยังคงมีผลบังคับใช้จนกระทั่งในปัจจุบัน เป็นพระราชบัญญัติที่มีจุดประสงค์ในการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์

การกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติถือว่าเป็นโทษระดับการเป็นกบฏต่อแผ่นดินตามพระราชบัญญัติปลุกระดมมวลชน ค.ศ. 1661 (Sedition Act 1661) (ที่ต่อมาคือ พระราชบัญญัติกบฏ ค.ศ. 1795 (Treason Act 1795) ซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิต แต่โดยทั่วไปแล้วลูกขุนมักจะไม่เต็มใจที่จะเอาโทษกับผู้ที่ถูกกล่าวหาในกรณีที่มีโทษถึงตาย และเป็นที่เชื่อกันว่าถ้าตัดสินลงโทษโดยการเนรเทศไปยังอาณานิคมในออสเตรเลียแล้ว (ที่ในปัจจุบันคือโทษการจำคุกตลอดชีวิต) ก็อาจจะเป็นการทำให้อัตราการตัดสินว่าผิดก็สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลให้ข้อหากบฏสามชนิดถูกลดฐานะลงมาเป็นความผิดทางอาญา (felony) ใน ค.ศ. 1848 การลดฐานะเกิดขึ้นในสมัยที่การลงโทษโดยการประหารชีวิตในสหราชอาณาจักรอยู่ในระหว่างการเลิกใช้เป็นบทลงโทษสำหรับความผิดหลายชนิด

ความผิดอาญาฐานเป็นกบฏ” (treason felony) เป็นอาชญากรรมที่รวมทั้งการ ”คิดการณ์ ก่อการ หรือ ตั้งใจ” ที่จะ:

  • ปลดพระมหากษัตริย์หรือกษัตรีย์จากราชบัลลังก์
  • ก่อการสงครามต่อพระมหากษัตริย์หรือกษัตรีย์ หรือ
  • การ ”ยุยงหรือก่อการ” ให้ชาวต่างประเทศเข้ามารุกรานสหราชอาณาจักรหรือประเทศใดใดที่เป็นของพระมหากษัตริย์หรือกษัตรีย์

ใน ค.ศ. 2001 หนังสือพิมพ์ เดอะการ์เดียน ท้าทายพระราชบัญญัติฉบับนี้ในศาลยุติธรรมสูงสุดแห่งสหราชอาณาจักร (High Court of Justice) แต่ไม่สำเร็จ โดยกล่าวว่าเป็นพระราชบัญญัติทำให้ ”...การสนับสนุนความคิดในการยุบเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์แม้ว่าจะเป็นการกระทำที่ใช้วิธีที่สงบสุขเป็นอาชญากรรมที่มีโทษถูกจำขังได้...”[2] โดยอ้างว่าแม้แต่ พระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ. 1998 (Human Rights Act 1998) ก็ยังได้รับแก้ไขให้ครอบคลุมถึงพฤติกรรมที่ถือว่ารุนแรงเท่านั้นที่เป็นอาชญากรรม ศาลกล่าวว่าข้อกล่าวหาเป็นเพียงสมมติฐานที่ไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบ เพราะไม่มีผู้ใดที่ถูกกล่าวหาตามมูลที่เสนอโดยการ์เดียนจริง กรณีนี้ในที่สุดก็ถูกนำขึ้นอุทธรณ์ในสภาขุนนางในปี ค.ศ. 2003 สภาขุนนางออกเสียงเป็นเอกฉันท์ว่าการฟ้องร้องเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น เป็นเอกฉันท์ แต่ผู้พิพากษาต่างก็เห็นด้วยกับทัศนคติของลอร์ดเสตนที่ว่า ”มาตราที่ 3 ของพระราชบัญญัติที่ดูเหมือนจะลงโทษผู้ที่สนับสนุนการเป็นสาธารณรัฐเป็นมาตราของกฎหมายจากสมัยที่ผ่านมาแล้ว และไม่เหมาะสมกับสถานะและระบบกฎหมายของสังคมสมัยใหม่ ความคิดที่ว่ามาตราที่ 3 จะรอดจากการพิจารณาโดยใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องวัดเป็นเรื่องที่เกินเลยความเป็นจริง”

คดีสุดท้ายที่มีผู้ทำผิดพระราชบัญญัติฉบับนี้เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1883 แม้ว่าจะมาใช้ตัดสินในออสเตรเลียใน ค.ศ. 1916 ในกรณี "Sydney Twelve"

ในสกอตแลนด์

[แก้]

ในประเทศสกอตแลนด์นั้น ได้มีการยกเลิกกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดฐานปลุกระดมและดูหมิ่นประมุขของรัฐ (sedition and leasing-making) ที่มีใจความในลักษณะเดียวกับพระราชบัญญัติความผิดอาญาฐานเป็นกบฏ ค.ศ. 1848 เมื่อ ค.ศ. 2010 ทั้งนี้ อาศัยอำนาจตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติความยุติธรรมทางอาญาและการให้อำนาจ (สกอตแลนด์) ค.ศ. 2010 (Criminal Justice and Licensing (Scotland) Act 2010) โดยการยกเลิกกฎหมายดังกล่าวเป็นการกระทำในเชิงทฤษฎีเท่านั้น เพราะไม่มีการดำเนินคดีในความผิดลักษณะนี้ในสกอตแลนด์ตั้งแต่ปี 1715 [3][4]

อ้างอิง

[แก้]
  1. This short title was conferred by the Short Titles Act 1896, section 1 and the first schedule.
  2. Judgments - Regina v Her Majesty's Attorney General (Appellant) ex parte Rusbridger and another (Respondents). House of Lords. June 26, 2003
  3. "Justice Committee Official Report". Scottish Parliament. 20 April 2010. สืบค้นเมื่อ 4 January 2014.
  4. ม.112 : กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ชาติไหนใช้ ชาติไหนเลิก
  • Halsbury's Laws of England, 4th Edition, 2006 reissue, Volume 11(1), Paragraph 367

ดูเพิ่ม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]