พระพุทธรูปแห่งสุลตานคัญช์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระพุทธรูปสุลตานคัญช์
ปีค.ศ. 500–700
สื่อทองแดง
ขบวนการศิลปะยุคเปลี่ยนผ่านคุปตะ–ปาละ
มิติ2.3 m × 1 m (91 นิ้ว × 39 นิ้ว)
สถานที่พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์เบอร์มิงแฮม, เบอร์มิงแฮม

พระพุทธรูปแห่งสุลตานคัญช์ (อังกฤษ: Sultanganj Buddha) เป็นพระพุทธรูปศิลปะยุคเปลี่ยนผ่านคุปตะปาละ สร้างขึ้นจากทองแดง สร้างขึ้นราว ค.ศ. 500-700 มีขนาดสูง 2.3 เมตร, กว้าง 1 เมตร และน้ำหนักมากกว่า 500 กิโลกรัม พระพุทธูปนี้ค้นพบในเมืองสุลตานคัญช์ อำเภอภาคลปุระ รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย[1] ในปี 1861 ระหว่างการก่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกของอินเดีย[2] ปัจจุบันพระพุทธรูปนี้จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์เบอร์มิงแฮม เบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ

ประติมากรรมขนาดใหญ่กว่าตัวมนุษย์นี้น่าจะเป็น "ประติมากรรมโลหะชิ้นเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่" ของศิลปะคุปตะ[3] ประติมากรรมยุคคุปตะอื่น ๆ เช่น พระพรหมจากมีรปุระ-ขาส มีอายุเก่าแก่กว่า แต่มีขนาดเล็กกว่ากึ่งหนึ่ง ส่วนทองสัมฤทธิ์อโกตะ ประติมากรรมในศาสนาไชนะมีขนาดเล็กกว่า และน่าจะเป็นเทวรูปในศาลเจ้าในบ้านของผู้มีอันจะกินเท่านั้น[4] ส่วนในลลิตปุระ ประเทศเนปาล ในอารามคุยตพาหี (Guita Bahī monastery) มีพระพุทธรูปทองแดงขนาดสูงประมาณ 1.8 เมตร ศิลปะอย่างเนปาล ราวศตวรรษที่ 9-10 ปัจจุบันยังคงเป็นพระพุทธรูปในวัดที่มีการประกอบพิธีกรรมบูชาอยู่ และประดิษฐานอยู่ติดผนังที่ปลายของโถงบูชา ที่ซึ่งพระพุทธรูปสุลตานคัญช์ก็น่าจะถูกประดิษฐานเช่นนั้นมาก่อนในอดีต[5]

พระพุทธรูปองค์นี้หล่อขึ้นจากทองแดงบริสุทธิ์ หล่อด้วยวิธีหล่อสูญรูป ภายในองค์พระพุทธรูปเป็นดินเหนียวที่ผสมกับซางข้าว ที่ซึ่งต่อมาสามารถนำมาตรวจจับอายุเรดิโอคาร์บอนได้[6] พระพุทธรูปนี้จัดเป็นปาง "วีระ" ("Fearless Posture"; ปางกล้าหาญ) หัตถ์ขวาแสดง อภัยมุทรา หรือมุทราที่แสดงการปกป้อง หัตถ์ซ้ายวางแนบลำตัวเปิดออก แสดงการประทานพร ปลายจีวรจีบอยู่ระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้มือ

อายุ[แก้]

เดิมทีประเมินอายุของพระพุทธรูปเป็นยุคคุปตะ วินเซนต์ อาร์เธอร์ สมิธ ระบุปีที่สร้างเป็นปี 400 ในหนังสือตีพิมพ์ปี 1911 ของเขา[7] ต่อมามีการพิจารณาว่าอายุของพระพุทธรูปอาจสร้างในราวปี 800 ส่วนผลการตรวจเรดิโอคาร์บอนระบุอายุที่ราวปี 600–650[6] ในขณะที่พิพิธภัณฑ์ระบุอายุไว้ที่ปี "500–700"[8]

การค้นพบ[แก้]

อี. บี. แฮริส ถ่ายภาพกับพระพุทธรูปจากสุลตานคัญช์, ราวปี 1861/1862

อี. บี. แฮริส (E. B. Harris) วิศวกรทางรถไฟ เป็นผู้ค้นพบพระพุทธรูปนี้ขณะทำการสำรวจซากปรักหักพังโบราณใกล้กับสถานีรถไฟสุลตานคัญช์ที่เขากำลังก่อสร้างอยู่ เขาได้ตีพิมพ์รายละเอียดเกี่ยวกับการค้นพบนี้โดยละเอียด ประกอบภาพถ่ายและแบบแปลนของซาก เขาบรรยายว่าพบพระบาทขวาของพระพุทธรูปที่ความลึกสิบฟุตจากพื้นผิวดิน[9] แฮริสส่งพระพุทธรูปกลับไปยังเบอร์มิงแฮมในประเทศอังกฤษ โดยมีผู้ผลิตโลหะชาวเบอร์มิงแฮมและอดีตนายกเทศมนตรีนครเบอร์มิงแฮม ซามูเอล ธอร์นทัน (Samuel Thornton) เป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายการขนส่ง และเสนอพระพุทธรูปนี้แก่สภานครเพื่อจัดแสดงในหอศิลป์ที่มีการเสนอว่าจะสร้างขึ้นไว้ในปี 1864

นับจากนั้นมา พระพุทธูปองค์นี้จัดเป็นงานแสดงชิ้นสำคัญของพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์เบอร์มิงแฮม (BMAG) ถือเป็นของบริจาคชิ้นสำคัญที่หอศิลป์ได้รับ รวมถึงเป็นสมบัติชิ้นสำคัญที่สุดของหอศิลป์[8] ในรายงานของแฮริสยังระบุถึงการค้นพบพระพุทธรูปขนาดเล็กกว่าอีกจำนวนหนึ่ง ในจำนวนนี้มีพระพุทธรูปหินปางประทับนั่งสององค์ องค์หนึ่งปัจจุบันเป็นของพิพิธภัณฑ์บริทิช และอีกองค์หนึ่งเป็นของพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย ซานฟรานซิสโก นอกจากนี้ยังมีเศีบรพระพุทธูปหินจากสุลตานคัญช์จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์วิกตอเรียและอัลเบิร์ตในลอนดอน[10][11][12]

อ้างอิง[แก้]

  1. "BBC – Birmingham – Faith – The Sultanganj Buddha". www.bbc.co.uk.
  2. Wingfield, Christopher (2010). Touching the Buddha: Encounters with a charismatic object. In Museum Materialities: Objects, Engagements, Interpretations, ed. Sandra H. Dudley, Routledge: London & New York. pp. 53–70.
  3. Rowland, 237
  4. Rowland, 237–239
  5. Graldi
  6. 6.0 6.1 Harle, 212
  7. Smith, Vincent Arthur (1911). A history of fine art in India and Ceylon, from the earliest times to the present day. Oxford: Clarendon Press. p. 171.
  8. 8.0 8.1 "Buddha – The Sultanganj Buddha – Birmingham Museums & Art Gallery Information Centre". www.bmagic.org.uk.
  9. Harris, E. B. (1864) Description of Buddhist Remains Discovered at Sooltangunge, London: privately published.
  10. "figure | British Museum". The British Museum.
  11. "Asian Art Museum Online Collection". searchcollection.asianart.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-09. สืบค้นเมื่อ 2023-05-16.
  12. "Head of the Buddha (Figure) | V&A Search the Collections". V and A Collections. May 16, 2020.

บรรณานุกรม[แก้]

  • Graldi, Aurora, "With a face of ‘red copper’: new insights on the over life-size Buddha of Guita Bahī, Lalitpur, and the alteration of the face through technical enhancement" (Draft version on academia.edu), 2018
  • Harle, J.C., The Art and Architecture of the Indian Subcontinent, 2nd edn. 1994, Yale University Press Pelican History of Art, ISBN 0300062176
  • Rowland, Benjamin, The Art and Architecture of India: Buddhist, Hindu, Jain, 1967 (3rd edn.), Pelican History of Art, Penguin, ISBN 0140561021

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

แม่แบบ:Coord missing