ทอมัสแห่งวูดสตอก ดยุกที่ 1 แห่งกลอสเตอร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ตราของโธมัสแห่งวูดสตอก

โธมัสแห่งวูดสตอก (อังกฤษ: Thomas of Woodstock) ดยุคที่ 1 แห่งกลอสเตอร์, เอิร์ลที่ 1 แห่งบักกิงแฮม, เอิร์ลที่ 1 แห่งเอสเซกซ์ เป็นบุตรคนที่สิบสามและคนสุดท้ายของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษกับฟิลิปปาแห่งเอโนลต์ พระองค์เป็นคนสุดท้ายในพระโอรสห้าคนของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ที่มีชีวิตถึงวัยผู้ใหญ่

ชีวิตช่วงแรก[แก้]

โธมัสแห่งวูดสตอกเป็นคนที่ห้าในพระโอรสห้าคนที่รอดชีวิตและบุตรคนที่สิบสี่และคนสุดท้ายของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษกับฟิลิปปาแห่งเอโนลต์ พระองค์ประสูติที่พระราชวังวูดสตอกใกล้กับออกซฟอร์ด อังกฤษ เมื่อวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1355 โธมัสอ่อนกว่าพี่น้องคนโตที่สุด 15 ปีและถูกเลี้ยงดูในครัวเรือนของพระมารดา

ราววันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1376 โธมัสแต่งงานกับเอเลนอร์ เดอ โบฮัน คนโตในบุตรสาวสองคนที่รอดชีวิตของฮัมฟรีย์ เดอ โบฮัน เอิร์ลที่ 7 แห่งเฮริฟอร์ด กับเลดี้โจน ฟิตซ์อาลัน น้องสาวของเอเลนอร์ แมรี เดอ โบฮัน เป็นภรรยาคนแรกของพระเจ้าเฮนรีที่ 4 แห่งอังกฤษ และเป็นมารดาของพระเจ้าเฮนรีที่ 5 แห่งอังกฤษ

เมื่อบิดาของเอเลนอร์ตายในเดือนมกราคม ค.ศ. 1373 ทรัพย์สินที่ดินของเขาควรถูกส่งต่อให้ลูกพี่ลูกน้อง ฌิลแบร์ต์ เดอ โบฮัน เพราะเขาไม่มีลูกชาย ทว่าด้วยอิทธิพลของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ทรัพย์สินที่ดินของเอิร์ลที่ 7 แห่งเฮริฟอร์ดถูกแบ่งให้บุตรสาวทั้งสอง หลังโธมัสกับเอเลนอร์แต่งงานกันในปี ค.ศ. 1376 ทั้งคู่อาศัยอยู่ในปราสาทเพลชีย์ในเอสเซกซ์ น้องสาวของเอเลนอร์ แมรี อาศัยอยู่ที่นั่นภายใต้การดูแลของเอเลนอร์กับโธมัส เธอถูกจับเรียนเรื่องหลักธรรมคำสอนทางศาสนาด้วยความหวังที่จะให้เธอเป็นแม่ชี ซึ่งจะทำให้ส่วนแบ่งของเธอในมรดกเดอ โบฮันตกเป็นของเอเลนอร์กับโธมัส ทว่าจอห์นแห่งกอนต์ พระโอรสที่ยังมีชีวิตอยู่คนที่สามของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 และพระเชษฐาของโธมัส มีความคิดที่ต่างออกไป ทรงจัดแจงให้น้าสาวของแมรีพาเธอออกมาจากปราสาทเพรชีย์ไปที่ปราสาทอารันเดล บ้านของครอบครัวของมารดา ที่นั่น ในวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1380 แมรีวัย 11-12 ปีแต่งงานกับบุตรชายคนโตของจอห์นแห่งกอนต์ เฮนรี โบลิงโบรก อนาคตพระเจ้าเฮนรีที่ 4

ความขัดแย้งกับพระเจ้าริชาร์ดที่ 2[แก้]

ริชาร์ด ฟิตซ์อาลัน เอิร์ลที่ 11 แห่งอารันเดล, โธมัสแห่งวูดสตอก ดยุคที่ 1 แห่งกลอสเตอร์, โธมัส เดอ โมวเบรย์ เอิร์ลที่ 1 แห่งนอตติงแฮม, เฮนรี เอิร์ลแห่งดาร์บี (ต่อมาคือพระเจ้าเฮนรีที่ 4) และโธมัส เดอ บัวชอมป์ เอิร์ลที่ 12 แห่งวอริค ขอโอกาสในการพิสูจน์ตนเองต่อพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ด้วยตราประจำตัวในการพิพากษาคดีการก่อกบฏ
การฆาตกรรมโธมัสแห่งวูดสตอก

ในปี ค.ศ. 1377 พระบิดาของโธมัส พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 สิ้นพระชนม์และพระองค์ถูกสืบทอดต่อโดยพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 วัย 10 พรรษา บุตรที่ยังมีชีวิตอยู่ของพี่น้องคนโตที่สุดของโธมัส เอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ (เจ้าชายดำ) ที่สิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้าพระบิดา การราชาภิเษกของริชาร์ดเกิดขึ้นในวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1377 ที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ เพียง 11 หลังพิธีศพของพระอัยกา ความเร่งรีบนี้เป็นผลมาจากการสืบทอดต่อที่เป็นที่โต้แย้งของกษัตริย์น้อยที่บิดาไม่ได้เป็นกษัตริย์ บางคนเชื่อว่าหนึ่งในพระโอรสคนรองลงมาของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 (มีสามคนที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ จอห์นแห่งกอนต์ ดยุคแห่งแลงคาสเตอร์, เอ็ดมันด์แห่งแลงลีย์ ดยุคแห่งยอร์ก และโธมัสแห่งวูดสตอก ดยุคแห่งกลอสเตอร์) ควรได้เป็นกษัตริย์ โธมัสกับพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่อีกสองคนถูกตัดออกจากสภาที่ปกครองในช่วงที่ริชาร์ดยังอยู่ในวัยเยาว์ แต่ในฐานะพระปิตุลาของกษัตริย์ ทั้งสามยังคงครองอิทธิพลอย่างไม่เป็นทางการเหนือกิจการบริหารราชการ ระหว่างปี ค.ศ. 1377 ถึง 1380 โธมัสมีส่วนร่วมในสงครามร้อยปี ในปี ค.ศ. 1377 ด้วยพระชนมายุ 22 พรรษา โธมัสได้ติดยศอัศวินและถูกตั้งเป็นเอิร์ลแห่งบักกิงแฮม ในปี ค.ศ. 1385 พระองค์ได้รับยศดยุคแห่งโอแมล และราวช่วงเวลาเดียวกันทรงถูกตั้งเป็นดยุคแห่งกลอสเตอร์

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1337 อังกฤษต่อสู้อยู่กับฝรั่งเศสในสงครามร้อยปี และอังกฤษเสียอาณาเขตให้ฝรั่งเศสอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ค.ศ. 1369 ริชาร์ดต้องการเจรจาสันติภาพกับฝรั่งเศส แต่ขุนนางจำนวนมากต้องการทำสงครามต่อ ในปี ค.ศ. 1386 รัฐสภาโทษที่ปรึกษาของริชาร์ดในเรื่องความล้มเหลวทางการทหารและกล่าวหาว่าพวกเขาใช้เงินที่จะนำไปใช้ในการทำสงครามในทางที่ผิด รัฐสภาให้อำนาจคณะกรรมการขุนนางที่รู้จักกันในชื่อลอร์ดผู้อุทธรณ์ยึดการบริหารจัดการราชอาณาจักรและทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของริชาร์ด โดยดั้งเดิมแล้วลอร์ดผู้อุทธรณ์มีสามคนและโธมัสเป็นหนึ่งในนั้นร่วมกับริชาร์ด ฟิตซ์อาลัน เอิร์ลที่ 11 แห่งอารันเดล กับโธมัส เดอ บัวชอมป์ เอิร์ลที่ 12 แห่งวอริค ต่อมาเฮนรี โบลิงโบรก เอิร์ลแห่งเดอร์บี (บุตรชายของจอห์นแห่งกอนต์ ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่ 1 ของริชาร์ดและอนาคตพระเจ้าเฮนรีที่ 4) กับโธมัส เดอ โมวเบรย์ ดยุคที่ 1 แห่งนอร์โฟล์ก กลายเป็นลอร์ดผู้อุทธรณ์เช่นกัน ริชาร์ดไม่ยอมรับอำนาจของลอร์ดผู้อุทธรณ์และเริ่มความพยายามทางทหารที่ไม่ประสบความสำเร็จในการล่มล้างอำนาจลอร์ดผู้อุทธรณ์และเจรจาสันติภาพกับฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1387 ลอร์ดผู้อุทธรณ์ลงมือก่อกบฏติดอาวุธต่อพระเจ้าริชาร์ดและปราบกองทัพภายใต้โรแบร์ต์ เดอ แวร์ เอิร์ลแห่งออกซฟอร์ดที่สมรภูมิแรดคอทบริดจ์ นอกออกซฟอร์ด ลอร์ดผู้อุทธรณ์ที่มีโธมัสเป็นผู้นำควบคุมการบริหารราชการและให้ริชาร์ดเป็นหุ่นเชิดที่มีอำนาจที่แท้จริงเพียงน้อยนิด

ในปี ค.ศ. 1396 โธมัสเข้าร่วมพิธีแต่งงานครั้งที่สองของหลานชาย พระเจ้าริชาร์ดที่ 2 กับอิซาเบลลาแห่งวาลัวส์ แม้พระองค์จะไม่เห็นชอบกับการแต่งงาน พระองค์ไม่เป็นที่นิยมมากขึ้นที่ราชสำนักและเกษียณตัวไปอยู่ที่ปราสาทเพลชีย์ด้วยข้ออ้างว่าสุขภาพย่ำแย่ ริชาร์ดค่อยๆ สร้างอำนาจขึ้นมาใหม่ได้จนถึงปี ค.ศ. 1397 เมื่อพระองค์ตอกย้ำอำนาจของตนและทำลายสามบุคคลสำคัญของลอร์ดผู้อุทธรณ์ ที่ปราสาทเพลชีย์ โธมัสสมคบคิดกับคนอื่นๆ จะปลดริชาร์ดออกจากตำแหน่ง แต่พระองค์ถูกหักหลังโดยโธมัส เดอ โมวเบรย์ ดยุคที่ 1 แห่งนอร์โฟล์ก พระเจ้าริชาร์ดที่ 2 กำลังนำกองทัพไปที่ปราสาทเพลชีย์ขณะที่เขาโน้มน้าวโธมัสให้กลับไปลอนดอนพร้อมกับตน โธมัสถูกจับกุมข้อหาเป็นกบฏในระหว่างการเดินทางและถูกนำตัวไปที่คาเลส์ (ฝรั่งเศส) ที่ซึ่งพระองค์ถูกจำขังและสารภาพความผิด ทรงสิ้นพระชนม์ในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1397 ด้วยพระชนมายุ 42 พรรษาในคาเลส์ อาจจะถูกฆาตกรรมโดยกลุ่มชายที่นำโดยโธมัส เดอ โมวเบรย์ ดยุคที่ 1 แห่งนอร์โฟล์ก กับเซอร์นิโคลัส คอลฟอกซ์ ที่สันนิษฐานกันว่าทำตามคำสั่งของพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 หลังการสิ้นพระชนม์ของโธมัส คำสารภาพของพระองค์ถูกอ่านให้รัฐสภาฟังและพระองค์ถูกประกาศว่ามีความผิดในข้อหาเป็นกบฏ พระองค์ถูกเพิกถอนสิทธิ์จากการเป็นกบฏและตำแหน่งดยุคแห่งกลอสเตอร์ ทรัพย์สมบัติ และทรัพย์สินที่ดินของพระองค์ถูกยึดเป็นของหลวง ร่างที่เหลืออยู่ของโธมัสถูกนำกลับไปอังกฤษที่ซึ่งพวกมันถูกฝังในเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ในโบสถ์น้อยแห่งนักบุญเอ็ดมุนด์ผู้เป็นกษัตริย์และนักบุญโธมัสแห่งเคนเทอร์บรี

การฆาตกรรมโธมัสเป็นต้นเหตุของการคัดค้านอย่างรุนแรงในหมู่ขุนนางอังกฤษและเพิ่มความไม่เป็นที่นิยมของริชาร์ด ในปี ค.ศ. 1399 ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่ 1 ของริชาร์ด เฮนรีแห่งโบลินโบรก บุตรชายคนโตของจอห์นแห่งกอนต์ ปลดริชาร์ดออกจากตำแหน่งและสืบทอดบัลลังก์ต่อเป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 4 ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์แลงคาสเตอร์ พระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ถูกจองจำที่ปราสาทพอนเตแฟรกต์ในยอร์กเชอร์ ที่ซึ่งพระองค์สิ้นพระชนม์ราววันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1400 ไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริงของการสิ้นพระชนม์ เข้าใจกันว่าหิวตาย ในการประชุมรัฐสภาครั้งแรกของรัชสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 4 การยึดทรัพย์สินที่ดินและทรัพย์สมบัติของโธมัสถูกยกเลิก ยิ่งกว่านั้นพระเจ้าเฮนรีที่ 4 ได้ย้ายร่างที่เหลืออยู่ของพระปิตุลามาที่สุสานที่ใกล้กว่า ที่แท่นบูชาของเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพในเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์

ทายาท[แก้]

โธมัสกับเอเลนอร์มีบุตรห้าคน คือ

  • ฮัมฟรีย์ เอิร์ลที่ 2 แห่งบักกิงแฮม (ค.ศ. 1381 – 1399) ตายในช่วงวัยรุ่น ไม่มีทายาท
  • แอนน์แห่งกลอสเตอร์ (ค.ศ. 1383 – 1438) แต่งงานกับ (1) โธมัส สแตฟฟอร์ด เอิร์ลที่ 3 แห่งสแตฟฟอร์ด ไม่มีทายาท (2) เอ็ดมันด์ สแตฟฟอร์ด เอิร์ลที่ 5 แห่งสแตฟฟอร์ด มีทายาท (3) วิลเลียม บัวร์ชิเยร์ เคานต์ที่ 1 แห่งอู มีทายาท
  • โจน (ค.ศ. 1384 – 1400) แต่งงานกับฌิลแบร์ต์ ทัลโบต์ ลอร์ดทัลโบต์ที่ 5 ตายในการคลอดลูก ไม่มีทายาท
  • อิซาเบลลา (ค.ศ. 1385/1386 – 1402) ตายในช่วงวัยรุ่น
  • ฟิลิปปา (ค.ศ. 1388) ตายตั้งแต่ยังเด็ก

แหล่งข้อมูล[แก้]

http://www.unofficialroyalty.com/thomas-of-woodstock-1st-duke-of-gloucester/