ข้ามไปเนื้อหา

คาซิริวิแมบ/อิมดีวิแมบ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
คาซิริวิแมบ/อิมดีวิแมบ
REGN10933 (สีฟ้า) และ REGN10987 (สีส้ม) จับยึดกับโปรตีนส่วนหนามของ SARS-CoV-2 (สีชมพู). จากธนาคารข้อมูลโปรตีน PDB 6VSB
ส่วนผสมประกอบด้วย
คาซิริวิแมบสารภูมิต้านทานโมโนโคลนต่อต้านกับโปรตีนส่วนหนามของ SARS-CoV-2
อิมดีวิแมบสารภูมิต้านทานโมโนโคลนต่อต้านกับโปรตีนส่วนหนามของ SARS-CoV-2
ข้อมูลทางคลินิก
ชื่อทางการค้าREGEN-COV, Ronapreve
ชื่ออื่นREGN-COV2
AHFS/Drugs.comโมโนกราฟ
ข้อมูลทะเบียนยา
ช่องทางการรับยาหยดเข้าทางหลอดเลือดดำ, ฉีดเข้าทางชั้นใต้ผิวหนัง
รหัส ATC
  • None
กฏหมาย
สถานะตามกฏหมาย
ตัวบ่งชี้
DrugBank
KEGG
สารานุกรมเภสัชกรรม

คาซิริวิแมบ/อิมดีวิแมบ (อังกฤษ: Casirivimab/imdevimab) หรือชื่อทางการค้าคือ REGEN-COV[2] เป็นยาที่พัฒนาโดยบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐ รีเจนเนอรอน ฟาร์มาซูติคอลส์ เป็น "ค็อกเทลแอนติบอดี" สังเคราะห์ที่ออกแบบมาเพื่อยับยั้งไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ที่เป็นสาเหตุของการระบาดทั่วของโควิด-19[5][6] ประกอบด้วยสารภูมิต้านทานโมโนโคลน 2 ชนิด ได้แก่ คาซิริวิแมบ (REGN10933) และอิมดีวิแมบ (REGN10987) ที่ต้องผสมเข้าด้วยกัน[2][7][8] การรวมกันของสองชนิดมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันการหนีภูมิโดยการกลายพันธุ์[9] มีจำหน่ายทั้งในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ร่วม (co-packaged) และผลิตภัณฑ์ร่วม (co-formulated) อัตราส่วน 1:1[10]

การใช้ยาสองชนิดร่วมกันได้รับการอนุมัติเพื่อใช้ทางการแพทย์ในญี่ปุ่น ในสหราชอาณาจักร และในประเทศอื่น ๆ ภายใต้ชื่อทางการค้า Ronapreve[1][4][11][12]

การทดลอง

[แก้]

ในการทดลองทางคลินิกของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยาคาซิริวิแมบและอิมดีวิแมบที่ให้พร้อมกัน แสดงผลให้เห็นว่าลดการเข้ารักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 หรือการเข้ารับการตรวจในห้องฉุกเฉิน ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการลุกลามของโรค ภายใน 28 วันหลังจากการรักษาเมื่อเทียบกับยาหลอก[3] ความปลอดภัยและประสิทธิผลของการวิจัยการรักษานี้ ยังคงมีการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง[3]

ข้อมูลที่สนับสนุนการอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน (EUA) สำหรับคาซิริวิแมบและอิมดีวิแมบนั้น อิงจากการทดลองทางคลินิกแบบสุ่ม, อำพรางสองฝ่าย และควบคุมด้วยยาหลอกในผู้ใหญ่ 799 คนซึ่งไม่ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีอาการของโควิด-19 เล็กน้อยถึงปานกลาง[3] จากผู้เข้าร่วมเหล่านี้มี 266 คนได้รับคาซิริวิแมบและอิมดีวิแมบ 2,400 มิลลิกรัม ทางหลอดเลือดดำเพียงครั้งเดียว (ชนิดละ 1,200 มก.), มี 267 คนได้รับคาซิริวิแมบและอิมดีวิแมบ 8,000 มิลลิกรัม (ชนิดละ 4,000 มก.) และมี 266 คนได้รับยาหลอก ภายในสามวันหลังจากได้รับผลการทดสอบการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เป็นบวก[3]

จุดยุติหลักสำหรับการทดลองที่กำหนดไว้ล่วงหน้าคือการเปลี่ยนแปลงของค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามเวลาของปริมาณเชื้อไวรัสจากค่าพื้นฐาน[3] การลดปริมาณไวรัสในผู้เข้าร่วมที่รักษาด้วยคาซิริวิแมบและอิมดีวิแมบนั้น มากกว่าในผู้เข้าร่วมที่ได้รับยาหลอกในวันที่เจ็ด[3] อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่สำคัญที่สุดที่แสดงว่าการใช้คาซิริวิแมบและอิมดีวิแมบร่วมกันอาจมีประสิทธิภาพมาจากจุดยุติทุติยภูมิที่กำหนดไว้ล่วงหน้าของการเข้ารับการตรวจทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเข้ารับการตรวจในห้องฉุกเฉินภายใน 28 วันหลังการรักษา[3] สำหรับผู้เข้าร่วมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการลุกลามของโรค ผู้เข้าร่วมที่ได้รับคาซิริวิแมบและอิมดีวิแมบ โดยเฉลี่ยการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเข้ารับการตรวจในห้องฉุกเฉิน 3% เทียบกับ 9% ในผู้เข้าร่วมที่ได้รับยาหลอก[3] ผลกระทบต่อปริมาณไวรัส การลดการรักษาในโรงพยาบาล และการเข้ารับการตรวจในห้องฉุกเฉินมีความคล้ายคลึงกันในผู้เข้าร่วมที่ได้รับยาคาซิริวิแมบและอิมดีวิแมบอย่างใดอย่างหนึ่ง[3]

กำลังมีการประเมิน REGEN-COV ตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2563 โดยเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองรีคัฟเวอรี[13] และในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 ได้มีการประกาศผลการวิจัยครั้งแรกพร้อมหลักฐานที่พิสูจน์ประสิทธิภาพของการรักษา

การนำมาใช้

[แก้]

REGEN-COV ผลิตขึ้นที่โรงงานของบริษัทรีเจนเนอรอน ในเมืองเรนส์ซเลียร์ รัฐนิวยอร์ก[14] ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2563 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตบริษัทเริ่มย้ายสายการผลิตที่มีอยู่ไปยังเมืองลิเมอริก ของไอร์แลนด์[15]

รีเจนเนอรอน มีข้อตกลงกับบริษัทโรช (เจเนนเทค)[16] เพื่อผลิตและทำการตลาด REGEN-COV นอกสหรัฐ[17][18]

สังคมและวัฒนธรรม

[แก้]

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2563 บริษัทรีเจนเนอรอน ประกาศว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐในขณะนั้นได้รับ "ยา REGN-COV2 ขนาด 8 กรัมเพียงหนึ่งโดส" หลังจากมีผลทดสอบการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เป็นบวก[19][20] บริษัทจัดหายาให้เพื่อตอบสนองต่อคำขอ "การใช้อย่างการุณย์ (compassionate use)" (การอนุญาตให้ใช้ชั่วคราว) จากแพทย์ของประธานาธิบดี[19]

ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 เกรก แอบบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเท็กซัสได้รับ REGEN-COV หลังจากมีผลตรวจสำหรับโควิด-19 เป็นบวก[21]

เศรษฐกิจ

[แก้]

เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2564 รัฐบาลสหรัฐ ตกลงซื้อยา 1.25 ล้านโดสเป็นเงิน $2.625 พันล้านดอลลาร์ ในราคา $2,100 ดอลลาร์ต่อโดส[22][23] ในวันที่ 14 กันยายน มีการซื้อยาอีก 1.4 ล้านโดสในราคาเดียวกัน รวมเป็นเงิน $2.94 พันล้านดอลลาร์[24]

วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2564 รัฐบาลเยอรมนีจัดซื้อยา 200,000 โดสเป็นเงิน €400 ล้านยูโร ในราคา €2,000 ยูโรต่อโดส[25]

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 บริษัทโรช อินเดีย และบริษัทสิปลา (Cipla; सिप्ला) ประกาศว่ายาจะมีจำหน่ายในอินเดียในราคา ₹59,750 รูปีต่อโดส[26]

วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2564 องค์การอนามัยโลกได้เรียกร้องให้ผู้ผลิตและรัฐบาลต่าง ๆ จัดการกับต้นทุนที่สูงของยา และเรียกร้องให้มีการแบ่งปันเทคโนโลยีเพื่อทำให้เกิดการผลิตยาชีววัตถุคล้ายคลึงกัน องค์การอนามัยโลกยังกล่าวด้วยว่ายูนิเทด (Unitaid) กำลังเจรจากับบริษัทโรช เพื่อขอราคาที่ต่ำกว่าและการกระจายอย่างยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง[27]

การวิจัย

[แก้]

โควิด-19

[แก้]

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 องค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ได้ออกใบอนุญาตการใช้ในกรณีฉุกเฉิน (EUA) สำหรับยาคาซิริวิแมบและอิมดีวิแมบให้ใช้ร่วมกันสำหรับการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปที่มีน้ำหนักตัวอย่างน้อย 40 กิโลกรัม (88 ปอนด์) ที่มีผลบวกของการทดสอบการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 และสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคโควิด-19 ขั้นรุนแรง[3][17][10][28] ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปหรือผู้ที่มีอาการป่วยเรื้อรังบางอย่าง[3] คาซิริวิแมบและอิมดีวิแมบ ต้องได้รับการหยดเข้าทางหลอดเลือดดำ (IV) ร่วมกัน[3]

คาซิริวิแมบและอิมดีวิแมบ ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้สำหรับผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากโควิด-19 หรือต้องการการบำบัดด้วยออกซิเจนเนื่องจากโควิด-19[3] ยังไม่ปรากฎประโยชน์ของยาคาซิริวิแมบและอิมดีวิแมบให้เห็นในผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากโควิด-19[3] สารภูมิต้านทานโมโนโคลนเช่น คาซิริวิแมบ และอิมดีวิแมบ อาจสัมพันธ์กับผลลัพธ์ทางคลินิกที่แย่ลงเมื่อให้ยากับผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งต้องใช้ออกซิเจนอัตราการไหลสูงหรือการช่วยหายใจ[3] ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 EUA ได้รับการแก้ไขเพื่ออนุญาต "การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ผ่านการรับรองของผลิตภัณฑ์ร่วม (co-formulated) REGEN-COV (คาซิริวิแมบและอิมดีวิแมบ) และ REGEN-COV (คาซิริวิแมบและอิมดีวิแมบ) ที่มีบรรจุภัณฑ์ร่วม (co-packaged) สำหรับใช้ร่วมกัน ในการรักษาโควิด-19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางในผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปที่มีน้ำหนักอย่างน้อย 40 กิโลกรัม (88 ปอนด์) โดยมีผลบวกของการทดสอบไวรัส SARS-CoV-2 โดยตรง และผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อ การลุกลามของโรคโควิด-19 ที่รุนแรง, การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล หรือการเสียชีวิต"[2][10]

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 คณะกรรมการผลิตภัณฑ์ยาเพื่อการใช้งานของมนุษย์ (CHMP) ขององค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) ได้เริ่มทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับแอนติบอดีสูตรผสม REGN‑COV2 (คาซิริวิแมบ/อิมดีวิแมบ) ซึ่งได้รับการพัฒนาร่วมกันโดยบริษัทรีเจนเนอรอน ฟาร์มาซูติคอลส์ และบริษัทฮอฟฟ์แมน-ลา โรช (F. Hoffman-La Roche) สำหรับการรักษาและป้องกันโรคโควิด‑19[29][30] ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 CHMP ได้ข้อสรุปว่ายาสูตรผสมหรือที่เรียกว่า REGN-COV2 สามารถใช้สำหรับการรักษาโรคโควิด-19 ในผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันที่ไม่ต้องการออกซิเจนเสริม และผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรง[31]

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 องค์การควบคุมมาตรฐานยากลาง (CDSCO) ของอินเดีย ได้อนุมัติการใช้ในกรณีฉุกเฉินได้ให้กับบริษัทโรช (เจเนนเทค)[16] และบริษัทรีเจนเนอรอน[32] สำหรับการใช้ยาสูตรค็อกเทล คาซิริวิแมบ/อิมดีวิแมบ ภายในประเทศ การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการเกิดคลื่นลูกที่สองของการระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศอินเดีย บริษัทโรช อินเดียยังเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทสิปลา (Cipla) ดังนั้นจึงอนุญาตให้บริษัทดังกล่าวทำการตลาดยาในประเทศได้[33]

ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564 องค์การอาหารและยาสหรัฐได้แก้ไขการอนุญาตการใช้ในกรณีฉุกเฉิน (EUA) สำหรับ REGEN-COV (คาซิริวิแมบและอิมดีวิแมบ, ใช้ร่วมกัน) โดยอนุญาตให้ใช้ REGEN-COV ในกรณีฉุกเฉินเพื่อป้องกันโรค (prophylaxis) หลังการสัมผัสสำหรับโรคโควิด-19[34]

วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2564 บริษัทโรช (เจเนนเทค)[16] และบริษัทรีเจนเนอรอน ได้ประกาศว่าการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ของ REGN-COV 2069 ได้บรรลุทั้งจุดยุติปฐมภูมิและทุติยภูมิ โดยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อได้ 81% สำหรับผู้เข้าร่วมที่ไม่ติดเชื้อ และลดเวลาในการหายสำหรับผู้เข้าร่วมที่มีอาการของโรคลงเหลือ 1 สัปดาห์เทียบกับ 3 สัปดาห์ในกลุ่มยาหลอก[35]

เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2564 รายงานเบื้องต้นของการทดลองรีคัฟเวอรีพบว่าอัตราการเสียชีวิตลดลงจาก 30% เป็น 24% ในผู้ป่วยที่ไม่ได้ผลิตแอนติบอดีเอง ซึ่งคิดเป็น 33% ของผู้เข้าร่วมทั้งหมด[36][37][38][39]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 "Summary of Product Characteristics for Ronapreve". Medicines and Healthcare products Regulatory Agency (MHRA). 20 August 2021. สืบค้นเมื่อ 29 August 2021.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 "Casirivimab injection, solution, concentrate Imdevimab injection, solution, concentrate REGEN-COV – casirivimab and imdevimab kit". DailyMed. สืบค้นเมื่อ 18 March 2021.
  3. 3.00 3.01 3.02 3.03 3.04 3.05 3.06 3.07 3.08 3.09 3.10 3.11 3.12 3.13 3.14 3.15 "Coronavirus (COVID-19) Update: FDA Authorizes Monoclonal Antibodies for Treatment of COVID-19". U.S. Food and Drug Administration (FDA) (Press release). 21 November 2020. สืบค้นเมื่อ 21 November 2020. บทความนี้รวมเอาเนื้อความจากแหล่งอ้างอิงนี้ ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ
  4. 4.0 4.1 "Japan becomes first country to approve Ronapreve (casirivimab and imdevimab) for the treatment of mild to moderate COVID-19". Roche (Press release). 20 July 2021. สืบค้นเมื่อ 29 August 2021.
  5. Kelland, Kate (14 September 2020). "Regeneron's antibody drug added to UK Recovery trial of COVID treatments". Reuters. สืบค้นเมื่อ 14 September 2020.
  6. "Regeneron's COVID-19 Response Efforts". Regeneron Pharmaceuticals. สืบค้นเมื่อ 14 September 2020.
  7. Morelle, Rebecca (14 September 2020). "Antibody treatment to be given to Covid patients". BBC News Online. สืบค้นเมื่อ 14 September 2020.
  8. "Safety, Tolerability, and Efficacy of Anti-Spike (S) SARS-CoV-2 Monoclonal Antibodies for Hospitalized Adult Patients With COVID-19". ClinicalTrials. 3 September 2020. สืบค้นเมื่อ 14 September 2020.
  9. Baum A, Fulton BO, Wloga E, Copin R, Pascal KE, Russo V, และคณะ (August 2020). "Antibody cocktail to SARS-CoV-2 spike protein prevents rapid mutational escape seen with individual antibodies". Science. 369 (6506): 1014–1018. Bibcode:2020Sci...369.1014B. doi:10.1126/science.abd0831. PMC 7299283. PMID 32540904.
  10. 10.0 10.1 10.2 "Fact Sheet For Health Care Providers Emergency Use Authorization (EUA) Of Casirivimab And Imdevimab" (PDF). U.S. Food and Drug Administration (FDA). June 2021.
  11. "Regulatory approval of Ronapreve". Medicines and Healthcare products Regulatory Agency (MHRA). 20 August 2021. สืบค้นเมื่อ 29 August 2021.
  12. "First monoclonal antibody treatment for COVID-19 approved for use in the UK" (Press release). Medicines and Healthcare products Regulatory Agency (MHRA). 20 August 2021. สืบค้นเมื่อ 29 August 2021.
  13. "RECOVERY COVID-19 phase 3 trial to evaluate Regeneron's REGN-COV2 investigational antibody cocktail in the UK". Recovery Trial. 14 September 2020.
  14. Williams, Stephen (3 October 2020). "Experimental drug given to President made locally". The Daily Gazette.
  15. Stanton, Dan (11 September 2020). "Manufacturing shift to Ireland frees up US capacity for Regeneron's COVID antibodies". BioProcess International.
  16. 16.0 16.1 16.2 "Genentech and Regeneron Collaborate to Significantly Increase Global Supply of REGN-COV2 Investigational Antibody Combination for COVID-19" (Press release). Genentech. 19 August 2020. สืบค้นเมื่อ 8 June 2021 – โดยทาง Business Wire.
  17. 17.0 17.1 "Regeneron Reports Positive Interim Data with REGEN-COV Antibody Cocktail used as Passive Vaccine to Prevent COVID-19" (Press release). Regeneron Pharmaceuticals. 26 January 2021. สืบค้นเมื่อ 19 March 2021 – โดยทาง PR Newswire.
  18. "Roche and Regeneron link up on a coronavirus antibody cocktail". CNBC. 19 August 2020. สืบค้นเมื่อ 14 September 2020.
  19. 19.0 19.1 Thomas, Katie (2 October 2020). "President Trump Received Experimental Antibody Treatment". The New York Times. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2 October 2020.
  20. Hackett DW (3 October 2020). "8-Gram Dose of COVID-19 Antibody Cocktail Provided to President Trump". www.precisionvaccinations.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 October 2020.
  21. Schneider, Avie (17 August 2021). "Texas Gov. Greg Abbott Tests Positive For The Coronavirus". NPR. สืบค้นเมื่อ 17 August 2021.
  22. "U.S. to buy 1.25 million additional doses of Regeneron's COVID-19 antibody cocktail". Reuters. 12 January 2021. สืบค้นเมื่อ 30 September 2021.
  23. "Regeneron announces U.S. government agreement to purchase additional COVID-19 antibody cocktail doses" (Press release). Tarrytown, New York: Regeneron. 12 January 2021. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-08. สืบค้นเมื่อ 2021-09-30.
  24. "U.S. to buy 1.4 mln additional doses of Regeneron's COVID-19 therapy". Reuters. 14 September 2021. สืบค้นเมื่อ 30 September 2021.
  25. "Coronavirus: Germany to use new antibody-based drug". DW. 24 January 2021. สืบค้นเมื่อ 30 September 2021.
  26. "Roche's Antibody Cocktail launched in India at Rs 59,750/dose". The Indian Express. 25 May 2021. สืบค้นเมื่อ 30 September 2021.
  27. "On new recommendation for treatment of COVID-19 patients: WHO calls for equitable access to casirivimab and imdevimab for COVID-19". World Health Organization. 24 September 2021. สืบค้นเมื่อ 30 September 2021.
  28. "Casirivimab And Imdevimab Emergency Use Authorization (EUA)" (PDF). U.S. Food and Drug Administration (FDA). July 2021.
  29. "EMA starts rolling review of REGN‑COV2 antibody combination (casirivimab / imdevimab)" (Press release). European Medicines Agency (EMA). 1 February 2021. สืบค้นเมื่อ 1 February 2021. Text was copied from this source which is © European Medicines Agency. Reproduction is authorized provided the source is acknowledged.
  30. "EMA reviewing data on monoclonal antibody use for COVID-19" (Press release). European Medicines Agency (EMA). 4 February 2021. สืบค้นเมื่อ 4 March 2021.
  31. "EMA issues advice on use of REGN-COV2 antibody combination (casirivimab / imdevimab)" (Press release). European Medicines Agency (EMA). 26 February 2021. สืบค้นเมื่อ 5 March 2021.
  32. "India approves Roche/Regeneron antibody cocktail to treat Covid-19 – India News". The Times of India. 5 May 2021. สืบค้นเมื่อ 8 June 2021.
  33. "Roche receives Emergency Use Authorisation in India for its investigational Antibody Cocktail (Casirivimab and Imdevimab) used in the treatment of Covid-19". Cipla. สืบค้นเมื่อ 6 May 2021.
  34. "FDA authorizes REGEN-COV monoclonal antibody therapy for post-exposure prophylaxis (prevention) for COVID-19". U.S. Food and Drug Administration (FDA). 30 July 2021. สืบค้นเมื่อ 30 July 2021. บทความนี้รวมเอาเนื้อความจากแหล่งอ้างอิงนี้ ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ
  35. "Phase III prevention trial showed subcutaneous administration of investigational antibody cocktail casirivimab and imdevimab reduced risk of symptomatic COVID-19 infections by 81%". streetinsider.com. 12 April 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 April 2021. สืบค้นเมื่อ 12 April 2021.
  36. Kupferschmidt, Kai (16 June 2021). "Monoclonal antibodies cut risk of dying from COVID-19 – but only in some patients". Science. A paper with the results will be made available on the medRxiv preprint server later today, the researchers say.
  37. Group, RECOVERY Collaborative; Horby, Peter W.; Mafham, Marion; Peto, Leon; Campbell, Mark; Pessoa-Amorim, Guilherme; Spata, Enti; Staplin, Natalie; Emberson, Jonathan R.; Prudon, Benjamin; Hine, Paul (2021-06-16). "Casirivimab and imdevimab in patients admitted to hospital with COVID-19 (RECOVERY): a randomised, controlled, open-label, platform trial" (ภาษาอังกฤษ). pp. 2021.06.15.21258542. doi:10.1101/2021.06.15.21258542v1.
  38. "RECOVERY trial finds Regeneron's monoclonal antibody combination reduces deaths for hospitalised COVID-19 patients who have not mounted their own immune response — RECOVERY Trial". www.recoverytrial.net. สืบค้นเมื่อ 2021-10-04.
  39. "Another life-saving Covid treatment found". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2021-06-16. สืบค้นเมื่อ 2021-10-04.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]