การอดอาหารประท้วงในประเทศไอร์แลนด์ ค.ศ. 1981
การอดอาหารประท้วงปี 1981 (อังกฤษ: 1981 hunger strike) เป็นกลุ่มการประท้วงที่กินระยะเวลาห้าปีระหว่างเดอะทรับเบิลส์โดยนักโทษผู้นิยมสาธารณรัฐไอร์แลนด์ในประเทศไอร์แลนด์เหนือ การประท้วงเริ่มต้นในรูปแบบการประท้วงผ้าห่มในปี 1976 ขณะรัฐบาลบริเตนถอนสถานะกลุ่มพิเศษ (นักโทษสงครามแทนที่จะเป็นสถานะทางอาชญากรรม) ให้กับนักโทษกึ่งกองกำลัง กระทั่งในปี 1978 ข้อขัดแย้งลุกลามขึ้นสู่การประท้วงสกปรก ที่ซึ่งนักโทษปฏิเสธที่จะออกจากห้องขังเพื่ออาบน้ำและใช้อุจจาระถูปกคลุมห้องขัง ในปี 1980 นักโทษรวมเจ็ดคนเริ่มการอดอาหารประท้วงครั้งแรก ซึ่งต่อมาสิ้นสุดใน 53 วัน[1]
การอดอาหารประท้วงครั้งที่สองมีขึ้นในปี 1981 และเป็นเหมือนการประลองระหว่างนักโทษกับนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร มาร์กาเร็ต แท็ตเชอร์ หนึ่งในผู้อดอาหารประท้วง บอบบี แซนส์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาขณะประท้วงอดอาหาร สร้างความสนใจจากสื่อทั่วโลก[2] การประท้วงถูกยกเลิกภายหลังผู้ประท้วงสิบคนขาดอาหารจนถึงแก่ชีวิต รวมถึงแซนส์ พิธีศพของทั้งสิบคนมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 100,000 คน[1] การอดอาหารประท้วงนี้สร้างแนวคิดสุดโต่ง (radicalised) ในการเมืองชาตินิยมไอร์แลนด์ และเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เกิดพรรคการเมืองชินเฟน[3]
ภูมิหลัง
[แก้]การประท้วงด้วยการอดอาหารในประเทศไอร์แลนด์เป็นธรรมเนียมที่ปรากฏมาตั้งแต่สมัยก่อนศาสนาคริสต์[4] มีการประท้วงอดอาหารของนักโทษผู้นิยมสาธารณรัฐไอร์แลนด์มาตั้งแต่ปี 1917 และมีผู้เสียชีวิตขณะอดอาหารประท้วงมาแล้ว 12 รายก่อนหน้า[5] ได้แก่ ธอมัส แอช, เทเรนซ์ แม็กสไวนี, ไมเคิล ฟิทซ์เจอรัลด์, โจ เมอร์ฟี, เดนนี บารี, ฌอน แม็กคอกี, ไมเคิล กอกาน และ แฟรงค์ สแตกก์[5] ภายหลังการเริ่มใช้การกักกันในปี 1971 สถานกักกัน ลอง เคช (Long Kesh) หรือต่อมารู้จักในชื่อทัณฑสถานเอชเอมเมซ ได้ถูกนำมาใช้สำหรับนักโทษสงคราม[6] โดยผู้ถูกกักกัน (internees) อาศัยในหอพักและปฏิบัติตนภายใต้รูปแบบโครงสร้างการสั่งการแบบกองกำลัง, ฝึกฝนทางทหารด้วยปืนปลอมทำจากไม้ และเรียนรู้เกี่ยวกับการรบแบบกองโจรและการเมือง
นักโทษที่ถูกตัดสินแล้วถูกปฏิเสธการได้รับสิทธิเช่นเดียวกับผู้ถูกกักกัน จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคม 1972 ที่ซึ่งประกาศใช้สถานภาพกลุ่มพิเศษ ภายหลังการอดอาหารประท้วงของนักโทษ 40 คนจากกองทัพเฉพาะกาลสาธารณรัฐนิยมไอริช (IRA) นำโดยทหารผ่านศึก บิลลี แม็กคี สถานภาพกลุ่มพิเศษ หรือสถานะทางการเมืองนี้หมายความว่านักโทษจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับนักโทษสวคราม เช่น ไม่ต้องสวมเครื่องแบบทัณฑสถานและไม่ต้องทำหน้าที่ในทัณฑสถาน[6] เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 1976 เมอร์ลีน รีส์ รัฐมนตรีแห่งไอร์แลนด์เหนือภายใต้รัฐบาลของวิลซันประกาศว่าผู้ที่ถูกตัดสินด้วยความผิดฐานก่อการร้ายจะไม่ได้รับสถานภาพกลุ่มพิเศษอีกต่อไป[1] นโยบายนี้ไม่ได้นำมาใช้กับนักโทษเดิม แต่จะนำมาใช้กับผู้ที่ถูกตัดสินจำคุกตั้งแต่ 1 มีนาคม 1976[7] การยกเลิกสถานภาพนี้เป็นภัยร้ายแรงต่อเจ้าหน้าที่ซึ่งมีการนำของกองกำลังกึ่งกองทัพภายในทัณฑสถานสามารถมีต่อกำลังพลของตน เช่นเดียวกับการใช้โฆษณาชวนเชื่อ[6]
การประท้วงผ้าห่มและการประท้วงสกปรก
[แก้]ในวันที่ 14 กันยายน 1976 นักโทษใหม่ คีรัน นิวเจนท์เริ่มการประท้วงผ้าห่ม ที่ซึ่งนักโทษจาก IRA และกองกำลังแห่งชาติปลดปล่อยไอร์แลนด์ (INLA) ปฏิเสธการสวมใส่เครื่องแบบนักโทษ และเลือกเปลือยหรือใช้ผ้าห่มเป็นเครื่องนุ่งห่มแทน[7] ในปี 1978 หลังการปะทะจำนวนหนึ่งระหว่างเจ้าหน้าที่ทัณฑสถานและนักโทษซึ่งออกจากห้องขังเพื่ออาบน้ำและ "ระบายของเสีย" (slop out) ได้กลายเป็นการประท้วงสกปรก ที่ซึ่งนักโทษปฏิเสธการออกไปอาบน้ำและเริ่มนำเอาอุจจาระละเลงบนผนังของห้องขัง[8] การประท้วงเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อเรียกร้องสถานะทางการเมืองกลับมาตาม "หลักห้าประการ" (Five Demands):
- สิทธิในการไม่ต้องสวมเครื่องแบบนักโทษ
- สิทธิในการไม่ต้องปฏิบัติงานของทัณฑสถาน
- สิทธิในการสมาคมกับนักโทษอื่น และในการจัดกิจกรรมทางการศึกษาและนันทนาการ
- สิทธิในการได้รับผู้เข้าเยี่ยมหนึ่งคน, จดหมายหนึ่งฉบับ และ พัสดุหนึ่งซองต่อสัปดาห์
- การรื้อฟื้นการลดโทษที่หายไปขณะประท้วงทั้งหมด[9]
ในช่วงแรก การประท้วงไม่ได้รับความสนใจมากนัก และแม้แต่ IRA ยังเชื่อว่านี่เป็นเพียงปัญหาข้างเคียง และเล็กน้อยเมื่อเทียบกับแคมเปญติดอาวุธของกลุ่ม[10][11] การประท้วงเริ่มได้รับความสนใจหลังโทมาส โอ ไฟเอช อาร์คบิชอปแห่งอาร์มาก์เดินทางเยี่ยมทัณฑสถานและประนามสภาพของห้องขังที่นั่น[12] ในปี 1979 อดีตสมาชิกรัฐสภาเวอร์นาเดทท์ แม็กอะเลิสคีลงเลือกตั้งรัฐสภายุโรปโดยสนับสนุนการประท้วงของนักโทษ และได้รับคะแนนเสียง 5.9% จากไอร์แลนด์เหนือ ถึงแม้ว่าชินเฟน จะประกาศให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ[13][14]
การประท้วงอดอาหารปี 1980
[แก้]ในวันที่ 27 ตุลาคม 1980 เริ่มการประท้วงอดอาหาร มีนักโทษรวม 148 คนอาสาเป็นส่วนหนึ่งของการประท้วงนี้ แต่ท้ายที่สุดมีเพียงเจ็ดคนที่ถูกคัดเลือกเพื่อให้เท่ากับจำนวนผู้ลงนามในประกาศสาธารณรัฐเมื่ออีสเตอร์ปี 1916[15][16] ประกอบด้วยสมาชิก IRA คือ เบรนดัน ฮิวส์, ทอมมี แม็กเคียร์นี, เรย์มันด์ แม็กคาร์ที, ทอม แม็กฟีลี, ฌอน แม็กเคนนา, ลีโอ กรีน และสมาชิก INLA จอห์น นิกซัน[16]
ในวันที่ 1 ธันวาคม นักโทษสามรายที่คุกสตรีอาร์มากเข้าร่วมการประท้วงอดอาหาร ในจำนวนนี้รวมถึงไมเรด ฟาร์เรล ท่ามกลางสงครามประสาทระหว่างแกนนำ IRA กับรัฐบาลบริเตนนี้ แม็กเคนนาทรุดโทรมลง เข้าสู่ภาวะโคมา และเกือบเสียชีวิต รัฐบาลมีท่าทีจะยอมรับข้อเรียกร้องห้าประการภายใต้เอกสารขนาดสามสิบหน้าซึ่งระบุรายละเอียดเกี่ยวกับข้อตกลง ขณะเอกสารกำลังเดินทางไปยังเบลฟาสท์ ฮิวส์ตัดสินใจที่จะช่วยชีวิตแม็กเคนนาและสิ้นสุดการประท้วงอดอาหารในวันที่ 18 ธันวาคม รวมระยะเวลา 53 วัน[9]
อนุสรณ์
[แก้]ในปัจจุบันมีอนุสรณ์สถานและภาพเขียนเพื่อระลึกถึงการอดอาหารประท้วงในเมืองต่าง ๆ ทั่วไอร์แลนด์ เช่น เบลฟาสต์, ดับลิน, เดรี, ครอสแมกเลน และ คามโล[17] มีการระลึกประจำปีถึงผู้เสียชีวิตทุกคนทั่วทั่งไอร์แลนด์ และมีการเดินขบวนระลึกการประท้วงอดอาหารในเบลฟาสต์ทุกปี เช่นเดียวกับอาษิรวาทเกี่ยวกับประวัติชีวิตของบอบบี แซนส์[18][19] หลายเมืองในประเทศฝรั่งเศสมีถนนและสถานที่ตั้งชื่อตามบอบบี แซนส์ รวมทั้งในปารีสและเลอมังส์[2][20] รัฐบาลในเตหะราน ประเทศอิหร่าน เปลี่ยนขื่อถนนที่ตั้งสถานทูตสหราชอาณาจักรเป็นถนนบอบบี แซนส์ จากชื่อเดิม ถนนเชอร์ชิล[21][22]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 "The Hunger Strike of 1981 – A Chronology of Main Events". CAIN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 May 2007. สืบค้นเมื่อ 26 May 2007.
- ↑ 2.0 2.1 McKittrick, David (5 May 2006). "Remembering Bobby Sands". The Independent. UK. สืบค้นเมื่อ 26 May 2016.
- ↑ Taylor, Peter (1997). Provos The IRA & Sinn Féin. Bloomsbury Publishing. pp. 251–252. ISBN 0-7475-3818-2.
- ↑ Sweeney, George (1993). "Irish Hunger Strikes and the Cult of Self-Sacrifice". Journal of Contemporary History. 28 (3): 421–422. JSTOR 260640.
- ↑ 5.0 5.1 White, Robert (1993). Provisional Irish Republicans: An Oral and Interpretive History. Praeger Publishing. pp. 116–118. ISBN 978-0313285646.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 Beresford, David (1987). Ten Men Dead. Atlantic Monthly Press. pp. 13–16. ISBN 0-87113-702-X.
- ↑ 7.0 7.1 "A Chronology of the Conflict – 1976". CAIN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-02-05. สืบค้นเมื่อ 9 April 2007.
- ↑ Provos The IRA & Sinn Féin, p. 220.
- ↑ 9.0 9.1 Provos The IRA & Sinn Féin, pp. 229–234.
- ↑ Provos The IRA & Sinn Féin, p. 217.
- ↑ Holland, Jack; McDonald, Henry (1996). INLA Deadly Divisions. Poolbeg Press. p. 261. ISBN 1-85371-263-9.
- ↑ Beresford, David (5 October 1981). "The deaths that gave new life to an IRA legend". The Guardian. UK. สืบค้นเมื่อ 26 May 2007.
- ↑ Whyte, Nicholas (18 April 2004). "The 1979 European elections". CAIN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 June 2007. สืบค้นเมื่อ 26 May 2007.
- ↑ Holland, Jack (7 March 2001). "A View North Anniversaries recall the rise of Sinn Féin". The Irish Echo. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 September 2007. สืบค้นเมื่อ 26 May 2007.
- ↑ White, Robert (2017). Out of the Ashes: An Oral History of the Provisional Irish Republican Movement. Merrion Press. p. 173. ISBN 9781785370939.
- ↑ 16.0 16.1 O'Rawe, Richard (2005). Blanketmen. New Island Books. pp. 103–104. ISBN 1-904301-67-3.
- ↑ "Hunger Strike Commemoration kicks off in Dublin". An Phoblacht. 8 March 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 October 2007. สืบค้นเมื่อ 19 June 2007.
- ↑ "Remembering 1981: Hurson Anniversary marked across the country". An Phoblacht. 20 July 2006. สืบค้นเมื่อ 1 June 2007.
- ↑ "Collusion highlighted during Hunger Strike weekend". An Phoblacht. 6 May 2004. สืบค้นเมื่อ 1 June 2007.
- ↑ Randall, Colin (13 August 2004). "French intelligentsia ponders what should be done with killer". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 25 May 2007.
- ↑ Moallemian, Pedram (24 February 2004). "Naming Bobby Sands Street". The Blanket. สืบค้นเมื่อ 26 May 2007.
- ↑ O'Hearn, Denis (2006). Bobby Sands: Nothing But an Unfinished Song. Pluto Press. p. 377. ISBN 0-7453-2572-6.