จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก กาพย์ยานี 11)
คือ คำประพันธ์ไทยประเภทกาพย์หนึ่งที่กวีนิยมแต่งมากที่สุด มีทั้งแต่งสลับกับคำประพันธ์ประเภทอื่นและแต่งเพียงลำพัง
กาพย์ยานี หนึ่งบท มี สองบาท
1 บาท มี 11 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค
วรรคแรก 5 พยางค์ วรรคหลัง 6 พยางค์
บังคับสัมผัสระหว่างวรรคที่ 1, 2 และ 3
ต้องเชื่อมสัมผัสวรรคที่ 4 ตอนท้ายบท ไปยังท้ายบาทแรกของบทต่อไป ดังตัวอย่างต่อไปนี้
วรรค1 วรรค2
┌──↓─┐
○○○○● ○○●○○● --> บาทที่ 1 มี 11 พยางค์ ─┐
┌───────┘
วรรค3 วรรค4 รวม 2 บาท = จบ 1 บท
│
○○○○● ○○○○○●─┐ --> บาทที่ 2 มี 11 พยางค์ ─┘
---------------------------------------------
┌──↓─┐ │
○○○○● ○○●○○●─┘ <--- (เริ่มบทใหม่)
┌───────┘
○○○○● ○○○○○●┐
│
| ๏ อย่าด่วนครรไลแล่น |
|
กรกรีดแหวนบรางควร |
| ทอดตาลิลารัญจวน |
|
สะดุดบาทจักพลาดพลำ |
| ๏ อย่าเดินทัดมาลา |
|
เสยเกศาบควรทำ |
| จีบพกพลางขานคำ |
|
สะกิดเพื่อนสำรวลพลาง |
| — กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ |
กวีอาจเพิ่มความไพเราะของกาพย์ยานีด้วยการเพิ่มสัมผัสระหว่างวรรคที่ 3 กับวรรคที่ 4 ก็ได้ ดังตัวอย่าง
| ๏ ฟังแฮทชีพราหมณ์ |
|
เขาเขียวงามทั้งแท่งทงัน |
| ไม่ไล่ช่อแชรงกัน |
|
ต่างต่างพรรณไขขจร |
| ๏ มีนามแต่อาทิ์ |
|
คนธมาทน์ศิขร |
| ที่ใดท่านภูธร |
|
แพศยันครราชา |
| — มหาชาติคำหลวง กัณฑ์มหาพน |
พัฒนาการของกาพย์ยานี
[แก้]
กาพย์ยานีในยุคแรก ๆ บังคับเฉพาะสัมผัสระหว่างบาท และสัมผัสระหว่างบทเท่านั้น สัมผัสระหว่างวรรคไม่บังคับ[1] ดังตัวอย่างจากอนิรุทธ์คำฉันท์ และสมุทรโฆษคำฉันท์
| ๏ โดยทิศอุดรมี |
|
พระนครอันควรชม |
| สมญาชื่อเสียงพรหม- |
|
บุรีบุราณกาล |
| ๏ อาจผจญบุรีอิน- |
|
ทรอันเทพยฤมาน |
| มหามเหาฬาร |
|
จรรโลงธารษตรี |
| ๏ ปราการกำแพงรัตน- |
|
อันรอบบุรีศรี |
| ทัดพายุพิถี |
|
คือกำแพง ณ จักรพาฬ |
| ๏ โขลนทวารพิศาลสรรพ |
|
ประดับโครณทุกทวาร |
| หอห้างสรล้างกาญ- |
|
จนกุรุงซริน |
| — สมุทรโฆษคำฉันท์ |
| ๏ บัดนั้นสมเด็จหลาน |
|
กฤษณเทพจักรี |
| รำลึกพนาลี |
|
สุขรมยกรีฑา |
| ๏ เสด็จไปบังคมพระ |
|
อัยกาธิเบศร์ลา |
| จักไปพนาทวา |
|
พนมพฤกษศีรขร |
| ๏ เถื่อนถ้ำพนาลี |
|
คชสีหองค์อร |
| กวางทรายรมั่งมร |
|
สัตวสมสกอหลาย |
| ๏ มสระสโรชา |
|
กรบุษปเรียงราย |
| ขจคนธอบอาย |
|
ภุมรีภรมัว |
| — อนิรุทธ์คำฉันท์ |
สมัยอยุธยายุคกลางและยุคปลายได้เพิ่มสัมผัสระหว่างวรรคแรกกับวรรคที่ 2 แล้ว ต่อมา เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร กวีผู้ชำนาญเชิงกาพย์ ทรงเพิ่มสัมผัสสระในคำที่ 2 - 3 วรรคแรก และคำที่ 3 - 4 ในวรรคหลัง อย่างเป็นระบบ ทำให้จังหวะอ่านรับกันเพิ่มความไพเราะมากขึ้น[1] และส่งอิทธิพลมาถึงกวีสมัยรัตนโกสินทร์ ตลอดถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว[2] ดังตัวอย่าง
| ๏ ปลากรายว่ายเคียงคู่ |
|
เคล้ากันอยู่ดูงามดี |
| แต่นางห่างเหินพี่ |
|
เห็นปลาเคล้าเศร้าใจจร |
| ๏ หางไก่ว่ายแหวกว่าย |
|
หางไก่คล้ายไม่มีหงอน |
| คิดอนงค์องค์เอวอร |
|
ผมประบ่าอ่าเอี่ยมไร |
| ๏ ปลาสร้อยลอยล่องชล |
|
ว่ายเวียนวนปนกันไป |
| เหมือนสร้อยทรงทรามวัย |
|
ไม่เห็นเจ้าเศร้าบ่วาย |
| ๏ เนื้ออ่อนอ่อนแต่ชื่อ |
|
เนื้อน้องฤๅอ่อนทั้งกาย |
| ใครต้องข้องจิตชาย |
|
ไม่วายนึกตรึกตรึงทรวง
|
| — กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร |
สุนทรภู่ ก็เป็นอีกตำนานหนึ่งที่ประยุกต์กาพย์ยานีของกรุงศรีอยุธยา โดยให้ความสำคัญกับสัมผัสเป็นหลัก มีการเพิ่มสัมผัสระหว่างวรรคที่ 3 กับวรรคที่ 4 รวมทั้งให้ความสำคัญกับน้ำหนักคำและน้ำเสียงด้วย[2] ดังตัวอย่าง
| ๏ ขึ้นกกตกทุกข์ยาก |
|
แสนลำบากจากเวียงไชย |
| มันเผือกเลือกเผาไฟ |
|
กินผลไม้ได้เป็นแรง |
| ๏ รอนรอนอ่อนอัสดง |
|
พระสุริยงเย็นยอแสง |
| ช่วงดังน้ำครั่งแดง |
|
แฝงเมฆเขาเงาเมรุธร |
| — กาพย์พระไชยสุริยา |
ขณะที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงกินกาพย์ยานี โดยละทิ้งสัมผัสไปมากแต่มาเล่นน้ำหนักของคำและทรงใช้สัมผัสอักษรแทนสัมผัสระหลายครั้ง และน่าจะเป็นตัวตั้งสำหรับกาพย์ยุคหลังๆ ครั้งที่นายผี (อัศนี พลจันทร) สร้างสรรค์กาพย์ยานีรูปใหม่[2] ดังตัวอย่าง
| ๏ ดาวเดือนก็เลื่อนลับ |
|
แสงทองระยับบพโยมหน |
| จวบจวนพระสุริยน |
|
จะเยี่ยมยอดยุคันธร |
| ๏ สมเด็จพระหริวงศ์ |
|
ภุชพงศ์ทิพากร |
| เสด็จลงสรงสาคร |
|
กับพระลักษณ์อนุชา |
| — บทพากย์รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย |
ในยุคกึ่งพุทธกาล นายผี หรือ อัศนี พลจันทร ได้สั่นสะเทือนวงการกาพย์ด้วยลีลาเฉพาะตัว โดยทิ้งสัมผัสในไปมาก หันมาใช้สัมผัสอักษรแทน เน้นคำโดดอันให้จังหวะสละสลวยจนคล้ายอินทรวิเชียรฉันท์กลายๆ[2] ดังตัวอย่าง
| ๏ ในฟ้าบ่อมีน้ำ |
|
ในดินซ้ำมีแต่ทราย |
| น้ำตาที่ตกราย |
|
ก็รีบซาบบ่อรอซึม |
| ๏ แดดเปรี้ยงปานหัวแตก |
|
แผ่นดินแยกอยู่ทึมทึม |
| แผ่นอกที่ครางครึม |
|
ขยับแยกอยู่ตาปี |
| — อีศาน |
ขณะที่กวีในยุคปัจจุบันต่างก็แสวงหาลีลาเฉพาะตัว อย่างเช่น
| ๏ การเกิดย่อมเจ็บปวด |
|
ต้องร้าวรวดและทรมา |
| ในสายฝนมีสายฟ้า |
|
ในผาทึบมีถ้ำทอง |
| ๏ มาเถิดมาทุกข์ยาก |
|
มาบั่นบากกับเพื่อนพ้อง |
| อย่าหวังเลยรังรอง |
|
จะเรืองไรในชีพนี้ |
| — หนทางแห่งหอยทาก ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
| ๏ ด้วยธรรมนั้นเทียมเท่า |
|
แต่ใครเล่าที่ครอบงำ |
| เอาเปรียบและเหยียบย่ำ |
|
มวลชีวิตจนผิดไป |
| ๏ ในน้ำทุกหยดน้ำ |
|
หรือใช่น้ำเฉพาะใคร |
| ลมแดดหรือดินใด |
|
ล้วนสมบัติอันเป็นกลาง |
| — เพลงไทยของคนทุกข์ ของ ไพวรินทร์ ขาวงาม |
| ๏ พฤกษ์ไพรไสวพริ้ว |
|
วะไหวหวิวกับวันวาร |
| เสียงขับส่งศัพท์ขาน |
|
คือสัตว์ส่ำซึ่งร่ำเสียง |
| ๏ เริงเร้าเหนือเงาร่ม |
|
สำราญรมย์แลรายเรียง |
| ร้องขานผสานเคียง |
|
ผสมคู่สมสู่คา |
| — วรรณวิเคราะห์ - คมทวน คันธนู |
- 1 2 สุภาพร มากแจ้ง. กวีนิพนธ์ไทย 1. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2535.
- 1 2 3 4 คมทวน คันธนู. ตำนานฉันทลักษณ์กับหลักการใหม่. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2545.