กาพย์ยานี
![]() |
ฉันทลักษณ์ไทย |
---|
กาพย์ |
กลอน |
โคลง |
ฉันท์ |
ร่าย |
ร้อยกรองแบบใหม่ |
กลวิธีประพันธ์ |
กลบท |
กลอักษร |
คือ คำประพันธ์ไทยประเภทกาพย์หนึ่งที่กวีนิยมแต่งมากที่สุด มีทั้งแต่งสลับกับคำประพันธ์ประเภทอื่นและแต่งเพียงลำพัง
กาพย์ยานี หนึ่งบท มี สองบาท
1 บาท มี 11 พยางค์ แบ่งเป็น 2 วรรค
วรรคแรก 5 พยางค์ วรรคหลัง 6 พยางค์
บังคับสัมผัสระหว่างวรรคที่ 1, 2 และ 3
ต้องเชื่อมสัมผัสวรรคที่ 4 ตอนท้ายบท ไปยังท้ายบาทแรกของบทต่อไป ดังตัวอย่างต่อไปนี้
วรรค1 วรรค2 ┌──↓─┐ ○○○○● ○○●○○● --> บาทที่ 1 มี 11 พยางค์ ─┐ ┌───────┘ วรรค3 วรรค4 รวม 2 บาท = จบ 1 บท │ ○○○○● ○○○○○●─┐ --> บาทที่ 2 มี 11 พยางค์ ─┘ --------------------------------------------- ┌──↓─┐ │ ○○○○● ○○●○○●─┘ <--- (เริ่มบทใหม่) ┌───────┘ ○○○○● ○○○○○●┐ │
๏ อย่าด่วนครรไลแล่น | กรกรีดแหวนบรางควร | |
ทอดตาลิลารัญจวน | สะดุดบาทจักพลาดพลำ |
๏ อย่าเดินทัดมาลา | เสยเกศาบควรทำ | |
จีบพกพลางขานคำ | สะกิดเพื่อนสำรวลพลาง | |
— กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ |
กวีอาจเพิ่มความไพเราะของกาพย์ยานีด้วยการเพิ่มสัมผัสระหว่างวรรคที่ 3 กับวรรคที่ 4 ก็ได้ ดังตัวอย่าง
๏ ฟังแฮทชีพราหมณ์ | เขาเขียวงามทั้งแท่งทงัน | |
ไม่ไล่ช่อแชรงกัน | ต่างต่างพรรณไขขจร |
๏ มีนามแต่อาทิ์ | คนธมาทน์ศิขร | |
ที่ใดท่านภูธร | แพศยันครราชา | |
— มหาชาติคำหลวง กัณฑ์มหาพน |
พัฒนาการของกาพย์ยานี[แก้]
กาพย์ยานีในยุคแรก ๆ บังคับเฉพาะสัมผัสระหว่างบาท และสัมผัสระหว่างบทเท่านั้น สัมผัสระหว่างวรรคไม่บังคับ[1] ดังตัวอย่างจากอนิรุทธ์คำฉันท์ และสมุทรโฆษคำฉันท์
๏ โดยทิศอุดรมี | พระนครอันควรชม | |
สมญาชื่อเสียงพรหม- | บุรีบุราณกาล |
๏ อาจผจญบุรีอิน- | ทรอันเทพยฤมาน | |
มหามเหาฬาร | จรรโลงธารษตรี |
๏ ปราการกำแพงรัตน- | อันรอบบุรีศรี | |
ทัดพายุพิถี | คือกำแพง ณ จักรพาฬ |
๏ โขลนทวารพิศาลสรรพ | ประดับโครณทุกทวาร | |
หอห้างสรล้างกาญ- | จนกุรุงซริน | |
— สมุทรโฆษคำฉันท์ |
๏ บัดนั้นสมเด็จหลาน | กฤษณเทพจักรี | |
รำลึกพนาลี | สุขรมยกรีฑา |
๏ เสด็จไปบังคมพระ | อัยกาธิเบศร์ลา | |
จักไปพนาทวา | พนมพฤกษศีรขร |
๏ เถื่อนถ้ำพนาลี | คชสีหองค์อร | |
กวางทรายรมั่งมร | สัตวสมสกอหลาย |
๏ มสระสโรชา | กรบุษปเรียงราย | |
ขจคนธอบอาย | ภุมรีภรมัว | |
— อนิรุทธ์คำฉันท์ |
สมัยอยุธยายุคกลางและยุคปลายได้เพิ่มสัมผัสระหว่างวรรคแรกกับวรรคที่ 2 แล้ว ต่อมา เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร กวีผู้ชำนาญเชิงกาพย์ ทรงเพิ่มสัมผัสสระในคำที่ 2 - 3 วรรคแรก และคำที่ 3 - 4 ในวรรคหลัง อย่างเป็นระบบ ทำให้จังหวะอ่านรับกันเพิ่มความไพเราะมากขึ้น[1] และส่งอิทธิพลมาถึงกวีสมัยรัตนโกสินทร์ ตลอดถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว[2] ดังตัวอย่าง
๏ ปลากรายว่ายเคียงคู่ | เคล้ากันอยู่ดูงามดี | |
แต่นางห่างเหินพี่ | เห็นปลาเคล้าเศร้าใจจร |
๏ หางไก่ว่ายแหวกว่าย | หางไก่คล้ายไม่มีหงอน | |
คิดอนงค์องค์เอวอร | ผมประบ่าอ่าเอี่ยมไร |
๏ ปลาสร้อยลอยล่องชล | ว่ายเวียนวนปนกันไป | |
เหมือนสร้อยทรงทรามวัย | ไม่เห็นเจ้าเศร้าบ่วาย |
๏ เนื้ออ่อนอ่อนแต่ชื่อ | เนื้อน้องฤๅอ่อนทั้งกาย | |
ใครต้องข้องจิตชาย | ไม่วายนึกตรึกตรึงทรวง | |
— กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร |
สุนทรภู่ ก็เป็นอีกตำนานหนึ่งที่ประยุกต์กาพย์ยานีของกรุงศรีอยุธยา โดยให้ความสำคัญกับสัมผัสเป็นหลัก มีการเพิ่มสัมผัสระหว่างวรรคที่ 3 กับวรรคที่ 4 รวมทั้งให้ความสำคัญกับน้ำหนักคำและน้ำเสียงด้วย[2] ดังตัวอย่าง
๏ ขึ้นกกตกทุกข์ยาก | แสนลำบากจากเวียงไชย | |
มันเผือกเลือกเผาไฟ | กินผลไม้ได้เป็นแรง |
๏ รอนรอนอ่อนอัสดง | พระสุริยงเย็นยอแสง | |
ช่วงดังน้ำครั่งแดง | แฝงเมฆเขาเงาเมรุธร | |
— กาพย์พระไชยสุริยา |
ขณะที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงกินกาพย์ยานี โดยละทิ้งสัมผัสไปมากแต่มาเล่นน้ำหนักของคำและทรงใช้สัมผัสอักษรแทนสัมผัสระหลายครั้ง และน่าจะเป็นตัวตั้งสำหรับกาพย์ยุคหลังๆ ครั้งที่นายผี (อัศนี พลจันทร) สร้างสรรค์กาพย์ยานีรูปใหม่[2] ดังตัวอย่าง
๏ ดาวเดือนก็เลื่อนลับ | แสงทองระยับบพโยมหน | |
จวบจวนพระสุริยน | จะเยี่ยมยอดยุคันธร |
๏ สมเด็จพระหริวงศ์ | ภุชพงศ์ทิพากร | |
เสด็จลงสรงสาคร | กับพระลักษณ์อนุชา | |
— บทพากย์รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย |
ในยุคกึ่งพุทธกาล นายผี หรือ อัศนี พลจันทร ได้สั่นสะเทือนวงการกาพย์ด้วยลีลาเฉพาะตัว โดยทิ้งสัมผัสในไปมาก หันมาใช้สัมผัสอักษรแทน เน้นคำโดดอันให้จังหวะสละสลวยจนคล้ายอินทรวิเชียรฉันท์กลายๆ[2] ดังตัวอย่าง
๏ ในฟ้าบ่อมีน้ำ | ในดินซ้ำมีแต่ทราย | |
น้ำตาที่ตกราย | ก็รีบซาบบ่อรอซึม |
๏ แดดเปรี้ยงปานหัวแตก | แผ่นดินแยกอยู่ทึมทึม | |
แผ่นอกที่ครางครึม | ขยับแยกอยู่ตาปี | |
— อีศาน |
ขณะที่กวีในยุคปัจจุบันต่างก็แสวงหาลีลาเฉพาะตัว อย่างเช่น
๏ การเกิดย่อมเจ็บปวด | ต้องร้าวรวดและทรมา | |
ในสายฝนมีสายฟ้า | ในผาทึบมีถ้ำทอง |
๏ มาเถิดมาทุกข์ยาก | มาบั่นบากกับเพื่อนพ้อง | |
อย่าหวังเลยรังรอง | จะเรืองไรในชีพนี้ | |
— หนทางแห่งหอยทาก ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
๏ ด้วยธรรมนั้นเทียมเท่า | แต่ใครเล่าที่ครอบงำ | |
เอาเปรียบและเหยียบย่ำ | มวลชีวิตจนผิดไป |
๏ ในน้ำทุกหยดน้ำ | หรือใช่น้ำเฉพาะใคร | |
ลมแดดหรือดินใด | ล้วนสมบัติอันเป็นกลาง | |
— เพลงไทยของคนทุกข์ ของ ไพวรินทร์ ขาวงาม |
๏ พฤกษ์ไพรไสวพริ้ว | วะไหวหวิวกับวันวาร | |
เสียงขับส่งศัพท์ขาน | คือสัตว์ส่ำซึ่งร่ำเสียง |
๏ เริงเร้าเหนือเงาร่ม | สำราญรมย์แลรายเรียง | |
ร้องขานผสานเคียง | ผสมคู่สมสู่คา | |
— วรรณวิเคราะห์ - คมทวน คันธนู |