อับดุล คาริม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โมฮัมเหม็ด อับดุล คาริม
منشى عبدالكريم
คาริมสวมผ้าโพกหัวและถือหนังสือ
ภาพเหมือนโดย รูดอล์ฟ สโบโบดา
เลขานุการชาวอินเดียของ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
ดำรงตำแหน่ง
1892–1901
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด1863
ลลิตปูร์, เมืองนอร์ทเวสเทิร์, บริติชอินเดีย
เสียชีวิต20 สิงหาคม 1909 (อายุ 46)[1]
อักกรา, บริติชอินเดีย
คู่สมรสราชิดัน คาริม

โมฮัมเหม็ด อับดุล คาริม (อังกฤษ: (Mohammed Abdul Karim) เป็นที่รู้จักในชื่อ “มุนชี” เป็นข้ารับใช้ของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เขารับใช้พระองค์ในช่วง 14 ปีสุดท้ายของการครองราชย์[2][3][4]

คาริมเป็นบุตรชายของบุรุษพยาบาลที่ Lalitpur ใกล้กับฌางสีในบริติชอินเดีย ในปี 1887 ซึ่งเป็นปีกาญจนาภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย คาริมเป็น 1 ใน 2 ของชาวอินเดียที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้รับใช้ของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียชอบเขาเป็นอย่างมาก และพระราชทานตำแหน่งมุนชิ ("เสมียน" หรือ "ครู") แก่เขา สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแต่งตั้งให้เขาเป็นเลขานุการชาวอินเดียของพระองค์ พระองค์ให้เกียรติเขา และมอบที่ดินให้เขาในอินเดีย

ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรที่ใกล้ชิด[5][6] ระหว่างคาริมและพระราชินีทำให้เกิดความขัดแย้งภายในราชวงศ์ ซึ่งสมาชิกคนอื่น ๆ รู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าเขา สมเด็จพระราชินียืนกรานที่จะพาคาริมเดินทางไปด้วยซึ่งทำให้เกิดการโต้เถียงระหว่างพระองค์กับข้ารับใช้คนอื่น ๆ หลังจากการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีาถวิกตอเรียในปี 1901 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ทรงส่งคาริมกลับไปยังอินเดียและสั่งให้ทำลายการติดต่อระหว่างมุนซีกับสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ต่อมาคาริมอาศัยอยู่อย่างเงียบๆ ใกล้อาครา บนที่ดินที่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียจัดเตรียมไว้ให้เขา จนกระทั่งเขาเสียชีวิตเมื่ออายุ 46 ปี

ประวัติ[แก้]

คาริม เป็นบุตรชายของผู้ช่วยโรงพยาบาลใกล้เมืองฌางสีในบริติชอินเดีย ในปี ค.ศ.1887[7][8]Haji Mohammed Waziruddin พ่อของเขาเป็นผู้ช่วยโรงพยาบาลซึ่งประจำการร่วมกับCentral India Horseซึ่งเป็นกรมทหารม้าของอังกฤษคาริมมีพี่ชายหนึ่งคนคืออับดุล อาซิซและน้องสาวอีกสี่คน เขาได้รับการสอนภาษาเปอร์เซีย และภาษาอูรดูเป็นการส่วนตัว และตอนเป็นวัยรุ่นเขาได้เดินทางข้ามอินเดียเหนือ และไปยังอัฟกานิสถานกับพ่อเขาเพื่อเข้าร่วมในการเดินขบวนไปยังกันดาฮาร์ซึ่งยุติสงครามอังกฤษ-อัฟกานิสถานครั้งที่สองในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1880 หลังสงครามพ่อของคาริมย้ายจากอินเดียตอนกลางไปอยู่ในคุกกลางในเมืองอัคราขณะที่ คาริม ทำงานเป็นเวคิล ให้กับมหาเศรษฐีแห่งจาราหลังจากนั้นสามปีเขาก็ลาออก และย้ายไปที่เมืองอาครา เพื่อเป็นเสมียนพื้นถิ่นที่ห้องขัง พ่อของเขาจัดให้มีการแต่งงานระหว่างคาริมและน้องสาวของเพื่อนคนงาน นักโทษในคุกอักกราได้รับการฝึกฝนและถูกใช้เป็นช่างทอพรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพักฟื้น ในปี 1886 34 นักโทษเดินทางไปลอนดอนเพื่อแสดงให้เห็นพรมทอที่โคโลเนียลและการแสดงนิทรรศการของอินเดียในเซาท์เคนซิงตัน คาริมไม่ได้อยู่ร่วมกับนักโทษ แต่ช่วยผู้กำกับเรือนจำจอห์น ไทเลอร์ในการจัดระเบียบการเดินทางและช่วยเลือกพรมและช่างทอ เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเยี่ยมชมนิทรรศการไทเลอร์มอบสร้อยข้อมือทองคำสองเส้นให้เธอเลือกอีกครั้งโดยได้รับความช่วยเหลือจากคาริมอีกครั้งสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียมีความสนใจที่ยาวนานในดินแดนของอินเดียของเธอและมีความประสงค์จะจ้างคนรับใช้ชาวอินเดียบางอย่างสำหรับเธอเฉลิมพระเกียรติ เธอขอให้ไทเลอร์รับสมัครพนักงานสองคนซึ่งจะได้รับการว่าจ้างเป็นเวลาหนึ่งปี ต่อมาคาริมและเบิกช์ทั้งคู่ก็ได้เดินทางมาถึงอังกฤษในเดือนมิถุนายน ปี 1887 และหลังจากพระราชพิธีซึ่งจัดขึ้นวันที่ 20-21 มิถุนายน ผ่านพ้นไปอย่างเรียบร้อย คาริมและเบิกช์ก็ได้มาเป็นข้ารับใช้ใหักับสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียจากข้ารับใช้ ในระยะเวลาไม่นานนักคาริมก็เลื่อนขั้นเป็น “มุนชี” (อังกฤษ: Munchi) หรืออาจารย์ จากนั้นก็เป็นเสมียน ให้คำแนะนำเรื่องเกี่ยวกับอินเดียถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ได้รับเงินเดือนเดือนละ 12 ปอนด์ ก่อนจะเลื่อนขั้นขึ้นไปอีกเป็นราชเลขาธิการในปี 1888 วิกตอเรียแต่งตั้งให้เขาเป็นเลขานุการอินเดียอาบน้ำให้เขาด้วยเกียรตินิยมและได้รับมอบที่ดินให้เขาในอินเดีย ความที่พระองค์ทรงสนพระทัยวัฒนธรรมอินเดีย จึงทรงให้คาริมสอนภาษาอูรดู เพื่อจะได้สื่อสารกับเขาได้ รวมทั้งทรงสอบถามเรื่องวิถีชีวิตของผู้คนในอินเดียจากคาริมอีกด้วย

คาริมและสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย[แก้]

เขาคุยกับพระองค์ในแบบเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่แบบข้าราชบริพารกับราชินี ในขณะที่ทุกคนรวมถึงพระราชโอรสและพระราชธิดารักษาระยะห่างกับพระองค์ แต่ชายหนุ่มชาวอินเดียผู้นี้กลับใสบริสุทธิ์ เขาเล่าให้พระองค์ฟังเกี่ยวกับอินเดีย ครอบครัวของเขา และรับฟังเมื่อราชินีทรงเล่าถึงครอบครัวของพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย โปรดให้ “มุนชี” ตามเสด็จไปยังหลายประเทศในยุโรป พระราชทานเกียรติยศมากมาย ทรงให้คาริมพำนักที่พระตำหนักฟร็อกมอร์ คอตเทจ(อังกฤษ: Frogmore Cottage) ภายในเขตพระราชฐานพระราชวังวินด์เซอร์ พระราชทานรถม้าส่วนตัว และโปรดให้คาริมกลับเมืองอัครา เพื่อพาภรรยามาพำนักที่อังกฤษกับเขา

ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังรับสั่งให้จิตรกรฝีมือดีวาดภาพของคาริมไว้ประดับตกแต่งอีกด้วย เช่น ปี 1887 ทรงให้ ลอริตส์ เรกเนอร์ ทูเซ็น(อังกฤษ: Laurits Regner Tuxen) จิตรกรชาวเดนมาร์ก วาดภาพคาริมเต็มตัวในรูปแบบสีน้ำมัน

ปี 1888 ทรงให้ รูดอล์ฟ สโวโบดา (อังกฤษ: Rudolph Swoboda) จิตรกรชาวออสเตรีย วาดภาพสีน้ำของคาริมครึ่งตัวในเครื่องแต่งกายแบบอินเดีย จากนั้น ปี 1890 รับสั่งให้ ไฮน์ริช ฟอน แองเจลี(อังกฤษ: Heinrich von Angeli) จิตรกรวาดภาพเหมือนชาวออสเตรีย วาดภาพคาริมครึ่งตัวในรูปแบบสีน้ำมันขึ้นมาอีกภาพ

ในจดหมายที่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงมีถึงจักรพรรดินีเฟรเดอริก พระราชธิดาองค์โตของพระองค์ ระบุว่า “เขา (จิตรกร) ไม่เคยวาดภาพชาวตะวันออกคนใดมาก่อนเลย และถึงกับตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา… ฉันคาดว่าต้องออกมาดีมากๆ เป็นแน่

เมื่อแองเจลีวาดภาพเสร็จ ตอนแรกพระราชินีไม่ทรงชอบ เพราะคิดว่าภาพดูมืดเกินไป แต่ต่อมาภาพวาดคาริมฝีมือแองเจลีก็ไปประดับอยู่ที่พระตำหนักฟร็อกมอร์ คอตเทจ

วาระสุดท้ายของความสัมพันธ์[แก้]

อย่างไรก็ตาม มิตรภาพระหว่างสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียกับคาริม สร้างความไม่พอใจ และอาจเลยเถิดไปถึงขั้นอิจฉาริษยา ให้ข้าราชบริพารในราชสำนักที่แวดล้อมสมเด็จพระราชินี ไม่ว่าจะเป็นการพระราชทานเหรียญตราเกียรติยศ การจัดให้คาริมร่วมโต๊ะอาหารเดียวกับพวกเขา ที่ถือว่าเป็น ชนชั้นสูง และถือว่าชาวอินเดียเป็นพวกคนป่าเถื่อน ไม่มีอารยะ

ปลายทศวรรษ 1890 สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงมีพระพลานามัยย่ำแย่ลงเรื่อยๆ จวบจนวาระสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ ทรงมีพระราชประสงค์ให้คาริมเป็นหนึ่งในผู้ร่วมไว้อาลัย ร่วมกับพระบรมวงศานุวงศ์และพระสหายกลุ่มเล็กๆ ของพระองค์

แต่หลังจากนั้น พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 รับสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าค้นพระตำหนักฟร็อกมอร์ คอตเทจ ที่คาริมและครอบครัวพำนัก ทรงให้นำจดหมายที่พระราชมารดาของพระองค์เขียนติดต่อกับคาริมออกมาเผาทิ้งทุกฉบับ และทรงมีพระราชบัญชาให้คาริมและครอบครัวเดินทางกลับอินเดียทันที ส่วน เจ้าหญิงเบียทริซ (อังกฤษ: Princess Beatrice) พระราชธิดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ก็รับสั่งให้ทำลายหลักฐานที่พระราชมารดาทรงบันทึกถึงคาริมให้สิ้นซาก[9]

ความตาย[แก้]

อับดุล คาริม ใช้ชีวิตอย่างสงบที่ คาริม ลอดจ์ เมืองอัครา บนที่ดินที่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียพระราชทานให้ เขาได้รับเงินบำนาญจากอังกฤษ และจากไปเมื่อวันที่ 20 เมษายน ปี 1909 ขณะอายุ 46 ปี

บรรณานุกรม[แก้]

  • Anand, Sushila (1996) Indian Sahib: Queen Victoria's Dear Abdul, London: Gerald Duckworth & Co., ISBN 0-7156-2718-X
  • Basu, Shrabani (2010) Victoria and Abdul: The True Story of the Queen's Closest Confidant, Stroud, Gloucestershire: The History Press, ISBN 978-0-7524-5364-4
  • Hibbert, Christopher (2000) Queen Victoria: A Personal History, London: HarperCollins, ISBN 0-00-638843-4
  • Longford, Elizabeth (1964) Victoria R.I., London: Weidenfeld & Nicolson, ISBN 0-297-17001-5
  • Nelson, Michael (2007) Queen Victoria and the Discovery of the Riviera, London: Tauris Parke Paperbacks, ISBN 978-1-84511-345-2
  • Plumb, J. H. (1977) Royal Heritage: The Story of Britain's Royal Builders and Collectors, London: BBC, ISBN 0-563-17082-4
  • Rennell, Tony (2000) Last Days of Glory: The Death of Queen Victoria, New York: St. Martin's Press, ISBN 0-312-30286-X
  • Waller, Maureen (2006) Sovereign Ladies: The Six Reigning Queens of England, New York: St. Martin's Press, ISBN 0-312-33801-5

อ้างอิง[แก้]

  1. Qureshi, Siraj (20 April 2016). "Death anniversary of Queen Victoria's personal secretary Munshi Abdul Kareem observed". India Today (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 May 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-05-24.
  2. "อับดุล คาริม จากข้ารับใช้ สู่ "มิตรแท้คู่ใจ" ราชินีวิกตอเรีย จวบจนวาระสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ". 2024-04-25.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  3. Magazine, Smithsonian. "Victoria and Abdul: The Friendship that Scandalized England". Smithsonian Magazine (ภาษาอังกฤษ).
  4. "Queen Victoria and Abdul: Diaries reveal secrets". BBC News (ภาษาอังกฤษ). 2011-03-14. สืบค้นเมื่อ 2024-04-24.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  5. Miller, Julie (22 September 2017). "Victoria and Abdul: The Truth About the Queen's Controversial Relationship". Vanity Fair. สืบค้นเมื่อ 27 November 2018.
  6. Mack, Tom (11 September 2017). "Queen Victoria confidante Abdul Karim's descendant 'honoured' by royal connection". Leicester Mercury. สืบค้นเมื่อ 27 November 2018.
  7. "Victoria, Queen of the United Kingdom (1819-1901) - Abdul Karim". www.rct.uk (ภาษาอังกฤษ).
  8. "Laurits Regner Tuxen (1853-1927) - The Munshi Abdul Karim (1863-1909)". www.rct.uk (ภาษาอังกฤษ).
  9. Sanghani, Radhika (2017-07-22). "'How I uncovered the hidden friendship between Queen Victoria and her Indian servant Abdul'". The Telegraph (ภาษาอังกฤษ). ISSN 0307-1235. สืบค้นเมื่อ 2024-04-24.{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)