อักขราทร จุฬารัตน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อักขราทร จุฬารัตน
ประธานศาลปกครองสูงสุด
ดำรงตำแหน่ง
21 ตุลาคม 2543 – 30 กันยายน 2553
ถัดไปหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
ดำรงตำแหน่ง
1 ตุลาคม 2538 – 18 กุมภาพันธ์ 2543
ก่อนหน้าไมตรี ตันเต็มทรัพย์
ถัดไปชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด1 เมษายน พ.ศ. 2483 (84 ปี)
คู่สมรสสมจิต จุฬารัตน

ศาสตราจารย์ อักขราทร จุฬารัตน (เกิด 1 เมษายน พ.ศ. 2483) เป็นข้าราชการพลเรือนชาวไทย เคยดำรงตำแหน่งระดับสูงในการบริหารราชการแผ่นดิน เช่น เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมทั้งดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุดคนแรกของประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2543 และพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ 70 ปี เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

ต้นตระกูลของอักขราทรคือ เจ้าพระยาบวรราชนายก หรือเฉกอะหมัด ขุนนางเชื้อสายเปอร์เซีย ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี เป็นสมุหราชนายกในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ลูกหลานบางส่วนของเฉก อาหมัด เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ เช่น ตระกูลบุนนาค ตระกูลจุฬารัตน ส่วนลูกหลานอื่นๆ ยังคงนับถือศาสนาอิสลาม เช่น ตระกูลอหะหมัดจุฬา

การศึกษา[แก้]

การทำงาน[แก้]

  • เลขานุการกรรมการร่างกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2512
  • ผู้อำนวยการกองวิเคราะห์กฎหมายและการร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2525
  • ผู้อำนวยการกองยกร่างกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2526
  • กรรมการร่างกฎหมายประจำ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2528
  • รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2534
  • เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2538[1]
  • ประธานศาลปกครองสูงสุด พ.ศ. 2543–2553

นอกจากนี้ อักขราทร จุฬารัตน ยังเคยดำรงตำแหน่งสำคัญๆ อาทิ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2517) สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (พ.ศ. 2520–2522) กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2521) กรรมการร่างกฎหมาย (พ.ศ. 2528) และกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ (พ.ศ. 2538) ในคณะกรรมการกฤษฎีกา สมาชิกวุฒิสภา (พ.ศ. 2539–2543) รองประธานคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2549) รองประธานศาลรัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2550–2551) กรรมการกฤษฎีกา (พ.ศ. 2552–ปัจจุบัน) รวมทั้งท่านยังเคยทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายในมหาวิทยาลัยและหน่วยงานต่างๆ หลายแห่ง เช่น เป็นผู้บรรยายวิชานิติกรรมสัญญา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อักขราทร จุฬารัตน ได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2535[2] ได้รับรางวัลนิติโดม (พ.ศ. 2539) ได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่สมาคมศาลปกครองสูงสุดระหว่างประเทศให้ตำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองระหว่างประเทศ (พ.ศ. 2548-2551) ได้รับรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์ ประเภทนักกฎหมายดีเด่น (พ.ศ. 2549)

ปัจจุบันอักขราทร จุฬารัตน พ้นจากตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากมีอายุครบ 70 ปี โดยขณะนี้ทำหน้าที่เป็นกรรมการกฤษฎีกาและนายกสภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เป็นต้นไป

คดียุบพรรค[แก้]

หลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานตุลาการรัฐธรรมนูญ[3] (ทำหน้าที่แทน ศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2549) คำพิพากษาส่วนตัวในคดียุบพรรค ของอักขราทร ให้ยุบพรรคไทยรักไทยและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด 111 คน เป็นเวลา 5 ปี ผลจากการตัดสินคดีดังกล่าว ทำให้ อักขราทร ถูกข่มขู่ โดยมีผู้นำระเบิดวางไว้หน้าบ้าน ซึ่งตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ แต่เหล่าสื่อมวลชนบางกลุ่มต่างกล่าวกันว่าเป็นการแก้แค้นของ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร[ต้องการอ้างอิง]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
  2. ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งศาสตราจารย์พิเศษ นายปรีดี เกษมทรัพย์ นายคณิต ณ นคร นายอักขราทร จุฬารัตน
  3. [https://web.archive.org/web/20121107174834/http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9500000062040 เก็บถาวร 2012-11-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน พลิกประวัติ-ผลงาน ‘9 ตุลาการรัฐธรรมนูญ’ ผู้ตัดสินคดีประวัติศาสตร์ จากผู้จัดการออนไลน์]
  4. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เก็บถาวร 2010-02-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๑๑๒ ตอนที่ ๑๗ ข หน้า ๒, ๔ ธันวาคม ๒๕๓๘
  5. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๑๐๘ ตอนที่ ๒๐๘ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๔, ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๔
  6. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า เก็บถาวร 2021-02-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๑๒๒ ตอนที่ ๖ ข หน้า ๑, ๕ พฤษภาคม ๒๕๔๘
  7. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญจักรมาลาและเหรียญจักรพรรดิมาลา, เล่ม ๑๑๑ ตอนที่ ๔ ข หน้า ๓๑๖, ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗