สแตนดาร์ดเกจ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ขนาดความกว้างรางรถไฟ
กราฟิกเปรียบเทียบขนาดราง

เกจเล็ก
  สิบห้านิ้ว 381 มม. (15 นิ้ว)

เกจแคบ
  สองฟุต 597 มม.
600 มม.
603 มม.
610 มม.
(1 ฟุต 11 1/2 นิ้ว)
(1 ฟุต 11 5/8 นิ้ว)
(1 ฟุต 11 3/4 นิ้ว)
(2 ฟุต)
  สองฟุตหกนิ้ว 750 มม.
760 มม.
762 มม.
800 มม.
(2 ฟุต 5 1/2 นิ้ว)
(2 ฟุต 5 15/16 นิ้ว)
(2 ฟุต 6 นิ้ว)
(2 ฟุต 7 1/2 นิ้ว)
  สามฟุต 891 มม.
900 มม.
914 มม.
(2 ฟุต11 3/32 นิ้ว)
(2 ฟุต 11 7/16)
(3 ฟุต)
  หนึ่งเมตร 1,000 มม. (3 ฟุต 3 3/8 นิ้ว)
  สามฟุตหกนิ้ว 1,067 มม. (3 ฟุต 6 นิ้ว)
  สี่ฟุตหกนิ้ว 1,372 มม. (4 ฟุต 6 นิ้ว)

  รางมาตรฐานยุโรป 1,435 มม. (4 ฟุต 8 1/2 นิ้ว)

เกจกว้าง
  รัสเซีย 1,520 มม.
1,524 มม.
(4 ฟุต 11 27/32 นิ้ว)
(5 ฟุต)
  ไอร์แลนด์ 1,600 มม. (5 ฟุต 3 นิ้ว)
  ไอบีเรีย 1,668 มม. (5 ฟุต 5 21/32 นิ้ว)
  อินเดีย 1,676 มม. (5 ฟุต 6 นิ้ว)
  อเมริกัน 1,829 มม. (6 ฟุต)
  บรูเนล 2,140 มม. (7 ฟุต 1/4 นิ้ว)
แบ่งตามภูมิภาค
World map, rail gauge by region

สแตนดาร์ดเกจ หรือ รางขนาดมาตรฐานยุโรป (อังกฤษ: European standard gauge)เป็นขนาดความกว้างรางรถไฟที่มีการใช้กันมากที่สุด โดยคิดเป็นประมาณ 60% ของรางรถไฟทั่วโลก ระยะห่างภายในของรางรถไฟมีขนาด 1.435 เมตร (4 ฟุต 8 1/2 นิ้ว) สแตนดาร์ดเกจยังมีชื่อเรียกว่า สตีเฟนซันเกจ ตั้งชื่อตาม จอร์จ สตีเฟนซัน

ความกว้าง 1.435 นี้เป็นระยะห่างของล้อรถม้าและเกวียนในสมัยโรมันโบราณ ซึ่งเป็นระยะที่กว้างพอที่จะทำให้ม้า 2 ตัวแบบเรียงหน้ากระดาน สามารถลากจูงรถได้โดยที่ลำตัวไม่เบียดกันเวลาม้าวิ่ง

การเปลี่ยนมาใช้รางรถไฟขนาดสแตนดาร์ดเกจในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา[แก้]

ในอดีตสหรัฐอเมริกาและแคนาดาได้มีการใช้รางรถไฟหลากหลายขนาด 4 ฟุต ถึง 6 ฟุต โดยเฉพาะในตอนใต้ของอเมริกาจะนิยมใช้ขนาด 5 ฟุต ที่เหมาะสมสำหรับขนส่งฝ้ายซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักทางตอนใต้ ขนาดของรางที่ไม่เท่ากันส่งผลให้เกิดปัญหาในการต้องถ่ายรถจากขบวนหนึ่งไปอีกขบวนหนึ่งในบริเวณเชื่อมต่อรถไฟที่มีขนาดรางไม่เท่ากัน ซึ่งเกิดจากปัญหา break-of-gauge ทำให้เสียค่าใช้จ่าย และเวลาที่ไม่จำเป็นเกิดขึ้น ทำให้ทางรถไฟในแคนาดาได้เปลี่ยนมาใช้รางสแตนดาร์ดเกจทั้งหมดในปี ค.ศ. 1880 และบริษัทรถไฟอิลลินอยส์เซนทรัลได้เปลี่ยนมาใช้รางสแตนดาร์ดเกจสำหรับเส้นทางสายใต้วิ่งไปนิวออร์ลีนส์ในปี ค.ศ. 1881 ทำให้เกิดแรงกดดันต่อผู้ให้บริการรถไฟในตอนใต้

บริษัทรถไฟอีรีเรลโรด (Erie Railroad) แต่เดิมใช้เกจขนาด 6 ฟุต โดยได้มีการเชื่อมตัวกับโอไฮโอเกจที่มีขนาด 4 ฟุต 10 นิ้ว และทางบริษัทอีรีไม่ต้องการเปลี่ยนมาใช้รางสแตนดาร์ดเกจ ซึ่งเกรงว่าจะทำให้ไม่มีการพักรถในบริเวณจุดเชื่อมตัว ส่งผลให้ธุรกิจขาดรายได้[1]

ในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1886 บริษัทรถไฟทางตอนใต้ได้มีข้อตกลงว่าจะเปลี่ยนขนาดรางทั้งหมดจากขนาดเดิม 5 ฟุต เป็น 4 ฟุต 9 นิ้ว โดยในช่วงเวลา 36 ชั่วโมงจากวันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม คนงานกว่าหลายหมื่นคนได้ขยับรางรถไฟให้แคบลง 3 นิ้ว ซึ่งทำให้มีขนาดใกล้เคียงกับรางสแตนดาร์ดเกจ และรถสามารถวิ่งได้โดยไม่มีปัญหา โดยในเดือนมิถุนายน ในปีเดียวกัน ทางรถไฟสายหลักทั้งหมดในอเมริกาเหนือได้ใช้ขนาดรางเดียวกันทั้งหมด[2] โดยปัจจุบันขนาดรางทั้งหมดในอเมริกาได้ปรับขนาดมาเป็นรางสแตนดาร์ดเกจที่ 4 ฟุต 8 1/2 นิ้ว ในระหว่างที่มีการซ่อมแซมบำรุงรักษารางนั้น ๆ

รางขนาดมาตรฐานยุโรปในประเทศไทย[แก้]

ในสมัยรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีการสร้างทางรถไฟสายแรก สยามเลือกใช้ความกว้างทางรถไฟขนาดรางมาตรฐานยุโรปทั้งหมด เนื่องจากอาณานิคมเพื่อนบ้านทั้งพม่าของอังกฤษและอินโดจีนของฝรั่งเศสต่างใช้ทางรถไฟกว้างหนึ่งเมตร ความกว้างทางรถไฟที่แตกต่างกันนี้เองเชื่อว่าจะทำให้การรุกรานสยามจากอาณานิคมรอบข้างลำบากมากขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อสยามสร้างเส้นทางรถไฟลงภาคใต้ สยามเลือกใช้เส้นทางรถไฟขนาดเมตรเดียวเพื่อเชื่อมต่อกับอาณานิคมมลายูของอังกฤษ ทำให้ทางรถไฟสยามมีสองขนาดความกว้างในเวลานั้น คือรางมาตรฐานยุโรปตั้งแต่ฝั่งพระนคร ถึงภาคเหนือและภาคอีสาน และขนาดความกว้าง 1 เมตรจากฝั่งธนถึงภาคใต้ ในปี พ.ศ. 2462 เมื่อยุคล่าอาณานิคมสิ้นสุดลงและเศรษฐกิจโลกซบเซา สยามจึงเปลี่ยนเส้นทางรถไฟรางขนาดมาตรฐานยุโรปเป็นขนาดความกว้างเมตรเดียว และเชื่อมเส้นทางรถไฟฝั่งธนบุรีและฝั่งพระนครเข้าด้วยกัน

ในปัจจุบัน ประเทศไทยใช้รางสแตนดาร์ดเกจในการขนส่งระบบรางอยู่สี่ระบบ ได้แก่ รถไฟฟ้าบีทีเอส ,รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล, รถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรมและรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นอกจากนี้ยังใช้ในระบบรถไฟความเร็วสูงที่อยู่ในแผนปรับปรุงระบบขนส่งทางรางของไทยด้วย

อ้างอิง[แก้]

  1. John F. Stover (1995). History of the Baltimore and Ohio Railroad. Purdue University Press.
  2. Southern railfan