อาการคันต่างที่
อาการคันต่างที่
(Referred itch) | |
---|---|
ชื่ออื่น | Mitempfindung |
ผังแสดงส่วนของร่างกายที่ได้สิ่งเร้าโดยสัมพันธ์กับส่วนที่คันต่างที่ |
อาการคันต่างที่[1] (อังกฤษ: Referred itch, เยอรมัน: mitempfindungen) เป็นปรากฏการณ์ที่การเร้าร่างกายที่ส่วนหนึ่งกลับรู้สึกคันหรือระคายที่อีกส่วนหนึ่ง อาการนี้ไม่ค่อยมีอันตราย แต่อาจน่ารำคาญ โดยคนที่สุขภาพดีก็มีอาการได้เหมือนกัน สิ่งเร้าที่ทำให้เกิดอาการเริ่มตั้งแต่แรงกดที่ผิวหนัง การขูด การทำให้ระคาย จนไปถึงการดึงขน[2] แต่ความคันต่างที่ไม่ควรเจ็บ มันมักจะเป็นความเหน็บชาที่น่ารำคาญซึ่งอาจทำให้รู้สึกว่าควรเกา ทั้งสิ่งเร้าและความคันต่างที่ จะเกิดในร่างกายซีกเดียวกัน (ipsilateral) และเพราะการเกาหรือการกดส่วนที่คันต่างที่ไม่ได้ทำให้บริเวณที่เร้าตอนแรกคัน ความสัมพันธ์ระหว่างบริเวณที่เร้าและบริเวณที่คันต่างที่จึงเป็นไปในทางเดียว (unidirectional)[3] ความคันจะเกิดเองและอาจหยุดแม้จะเร้าอีกที่หนึ่งต่อไปเรื่อย ๆ
อาการคันต่างที่มีสองอย่าง คือ แบบปกติ และแบบได้ทีหลัง (เพราะโรค) อาการธรรมดามักจะพบตั้งแต่วัยเด็กต้น ๆ และจะคงยืนเกือบตลอดหรือไม่ก็ตลอดชีวิต ส่วนอาการที่ได้ทีหลังเป็นผลจากความเสียหายต่อระบบประสาทส่วนกลาง และจะคงยืนเพียงแค่ระยะหนึ่ง[2] อาการจะต่างกันระหว่างบุคคล แต่โดยทั่วไปจะไม่เกิดที่ฝ่าเท้า ฝ่ามือ และใบหน้า
ปัจจัยทางพันธุกรรมดูจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง[2] แต่ก็มีงานศึกษาหนึ่งที่ตีพิมพ์ ซึ่งแสดงว่ามีชายคนหนึ่งที่ลูก ๆ ของเขาก็เป็นด้วย กลไกทางสรีรภาพที่เป็นเหตุยังไม่ชัดเจน และก็ยังไม่มีทฤษฎีใดที่ได้การยอมรับอย่างทั่วไป
งานวิจัยและข้อมูลเกี่ยวกับอาการจะค่อนข้างจำกัดและเก่า งานวิจัยในเรื่องนี้โดยมากได้ทำในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และงานที่ตีพิมพ์ล่าสุดเกิดเมื่อปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 มีงานศึกษาจำนวนหนึ่งที่ทำในต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 อย่างไรก็ดี จะต้องรวบรวมและไขข้อมูลเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้ความเข้าใจที่สมบูรณ์
อาการ
[แก้]ตำแหน่งของสิ่งเร้าและความคันต่างที่
[แก้]ความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งที่เร้ากับที่คันต่างที่จะเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล คือบางส่วนที่เร้าของร่างกายจะทำให้คันอย่างซ้ำ ๆ และบางส่วนก็จะไม่ทำให้คันเลย การเร้าที่เดิมซ้ำ ๆ และบ่อย ๆ ก็อาจทำให้อาการลดลง[2]
ไม่มีหลักฐานว่า การเร้าที่แห่งหนึ่งจะสัมพันธ์กับการคันอีกที่หนึ่งอย่างแน่นอน[2] แม้ตำแหน่งอาจจะสม่ำเสมอและตรงกันสำหรับคน ๆ หนึ่ง แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่าถ้าเร้าที่ส่วนนี้ จะคันต่างที่ ณ ส่วนเดียวกันสำหรับทุกคน ดังนั้น ตำแหน่งความคันต่างที่จะต่าง ๆ กันไป
ควรจะสังเกตด้วยว่า การเร้าแล้วคันต่างที่ จะเป็นในทิศทางเดียว[2] ดังนั้น ถ้าเกาตรงที่คันต่างที่ ตำแหน่งที่เร้าตอนแรกเพื่อให้เกิดอาการคันต่างที่ ก็จะไม่คันด้วย
Synesthesia กับอาการคันต่างที่
[แก้]อาการคันต่างที่เชื่อว่าสัมพันธ์กับภาวะวิถีประสาทเจือกัน (synesthesia) ในบางบุคคล โดยเฉพาะคนที่เห็นตัวเลขเป็นสี (digit-color synesthesia)[4] ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่บุคคลสัมพันธ์สีกับตัวเลข[4] คนที่เป็นอาจจะกล่าวว่าตน "นับเลขเป็นสี" ทั้งภาวะวิถีประสาทเจือกันและอาการคันต่างที่ต่างก็เกิดขึ้นในวัยเด็กต้น ๆ และจะต่างกันมากในระหว่างบุคคล[4] อาการทั้งสองต่างก็เป็นไปในทางเดียว การเกาที่บริเวณหนึ่งจะทำให้คันต่างที่ซึ่งห่างจากที่เดิม แต่ไม่เกิดในนัยตรงกันข้าม และเหมือนกัน ๆ ในวิถีประสาทเจือกัน การ "ได้ยิน" สีหนี่ง ๆ ไม่ได้หมายความว่า สีหนึ่ง ๆ จะทำให้เกิดเสียง
แบบปกติและแบบเป็นโรค
[แก้]อาการคันต่างที่เป็นความรู้สึกต่างที่ประเภทหนึ่ง โดยมุ่งสถานการณ์ซึ่งสิ่งเร้าที่หนึ่งบนร่างกายจะทำให้คันอีกที่หนึ่ง ตัวอย่างของความรู้สึกต่างที่อื่น ๆ รวมทั้งความเย็นร้อน ความเจ็บปวด และแรงกด[2]
อาการคันต่างที่เป็นเรื่องสามัญในบุคคลที่มีสุขภาพดีและบ่อยครั้งจะไม่รู้ตัว โดยขึ้นอยู่กับความตระหนักถึงความคันและเหตุที่ทำให้คัน อาการคันต่างที่ซึ่งป็นชั่วคราวและจำกัดอยู่ที่ส่วนเล็ก ๆ ของร่างกายโดยไม่ได้ทำให้คันไปทั่ว ทำให้ระบุคและสังเกตได้ยาก[2] อาการคันต่างที่โดยมากได้ศึกษาในคนสุขภาพดี
นอกจากนั้นแล้ว อาการต่างที่เองเดี่ยว ๆ ไม่ได้มีผลลบต่อสุขภาพของบุคคลที่มี นอกจากจะรู้สึกรำคาญเพราะคันในที่ต่าง ๆ และอาจจะเจ็บบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็ยังเป็นภาวะที่ไม่สร้างปัญหาอะไร ยังไม่ทราบเหตุของอาการนี้ในบุคคลปกติ
ถึงกระนั้น ก็ยังมีบันทึกหลายกรณีที่อาการคันต่างที่เกิดจากสิ่งเร้าซึ่งเป็นภาวะของโรค[2] มีชายสองรายที่เกิดความรู้สึกต่างที่ชั่วคราวหลังจากเป็นโรคงูสวัด ซึ่งความรู้สึกต่างที่จะเกิดในบริเวณที่เป็นงูสวัดมาก่อน[2]
ชายอีกรายหนึ่งที่มีภาวะ hyperpathia (อาการทางประสาทที่สิ่งเร้าซึ่งก่อความเจ็บ จะทำให้เจ็บเกินควร) และระบบประสาทซึ่งทำงานได้ไม่สมบูรณ์ จนภายหลังได้เกิดอาการคันต่างที่ซึ่งเป็นไปพร้อม ๆ กับอาการทางประสาทที่เขามี[2] หลักฐานนี้อาจแสดงว่า แม้อาการคันต่างที่จะเกิดได้เองในบุคคลปกติ แต่ภาวะโรคบางอย่างก็ก่ออาการนี้แม้จะชั่วคราว
เหตุ
[แก้]ความคันทั่วไปอาจมีหลายสาเหตุ ดภูมิแพ้และผิวหนังอักเสบก็สามารถทำให้คันได้[5][6] โดยพยาธิสรีรวิทยาแล้ว ยังไม่ชัดเจนว่าความรู้สึกคันมีกลไกอย่างไร แต่ก็รู้จักถึงเหตุให้เกิดหลายอย่าง เช่น ฮิสตามีนรู้เป็นอย่างดีว่าทำให้คัน สารที่เป็นเหตุอื่น ๆ รวมทั้ง substance P, cytokines, และ protease ต่าง ๆ
อุณหภูมิก็มีผลด้วย เป็นความเห็นทั่วไปว่า การประกบผิวหนังด้วยอุณหภูมิเย็น ๆ จะช่วยระงับอาการคันโดยห้ามการทำงานของใยประสาทกลุ่ม C[7][8][9][10][11] แต่ก็มีงานศึกษาที่แสดงความขัดแย้งระหว่างอุณหภูมิกับความคัน ที่การประกบความเย็นระดับกลาง ๆ ระยะสั้นจะทำให้คันเพิ่ม[12] อาการนี้อาจคล้ายกับปรากฏการณ์ "ความร้อนขัดแย้ง" (paradoxical heat) ที่บุคคลจะรู้สึกร้อนแม้ ๆ จริง ๆ แล้วผิวหนังได้กระทบกับความเย็น[13] ดังนั้น ผลโดยเฉพาะของอุณหภูมิต่อความคันจึงยังไม่ชัดเจน เพราะระดับความร้อนเย็นต่าง ๆ ดูเหมือนจะทั้งเพิ่มและยับยั้งความคัน[14]
แอลกอฮอล์ก็ปรากฏว่ามีปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับการปล่อยสารฮิสตามีนของร่างกายด้วย แอลกอฮอล์ทั้งกระตุ้นให้แมสต์เซลล์ปล่อยฮิสตามีน และระงับการย่อยสลายสารโดยยับยั้บเอนไซม์ diamine oxidase แม้ร่างกายจะหลั่งฮิสตามินเนื่องด้วยความเสียหายที่กระเพาะอาหารและลำไส้เพราะแอลกอฮอล์ ตลอดจนความแดงของผิวหนังและใบหน้าเมื่อดื่มเหล้า ก็เป็นไปได้ว่าระดับที่เพิ่มขึ้นของฮิสตามีนอาจสัมพันธ์กับความคันต่างที่ (หรือแม้ความคันทั่วไป)[15]
กลไก
[แก้]ความคันเป็นความรู้สึกว่าจะต้องเกาผิวหนังที่ใดที่หนึ่ง อาจเป็นความรู้สึกชั่วแล่น เช่นจั๊กจี้หรือเป็นเหน็บ หรืออาจจะคงยืน เช่นเป็นผื่นหรือความระคายเคืองที่ผิวหนังอื่น ๆ เช่นที่เกิดจากภูมิแพ้ ความคันได้แสดงแล้วว่า สัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความเจ็บปวด โดยมีกลไกทางสรีรภาพที่เหมือนกันหลายอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างความเจ็บปวดกับความคันชัดเจนเพราะหลักฐานว่า ความรู้สึกคันจะดำเนินไปตามวิถีประสาทเดียวกันกับความเจ็บปวด และว่า บุคคลที่ไม่สามารถรู้สึกเจ็บก็จะไม่รู้สึกคันด้วย[16]
ความคันสามารถเกิดจากการกระตุ้นตัวรับความรู้สึกด้วยแรงกล สารเคมี อุณหภูมิ หรือไฟฟ้า ที่ระบบประสาทนอกส่วนกลาง หรือแม้แต่การสะกิดใจ (suggestion) ตัวรับความรู้สึกที่ทำให้คันเพราะสิ่งเร้าในสิ่งแวดล้อม จะอยู่ในผิวหนังชั้นบน ๆ [17] เมื่อได้สิ่งเร้าแล้ว โดยปกติเนื่องกับฮิสตามีนในร่างกาย ตัวรับก็จะส่งกระแสประสาทไปยังสมองส่วนต่าง ๆ มีทาลามัสเป็นต้น ซึ่งจะแปรผลแล้วสั่งการให้ร่างกายตอบสนอง[16]
ความคันก็อาจเกิดจากความเสียหายต่อระบบประสาท ไม่ว่าจะเป็นส่วนกลางหรือส่วนนอก หรือเกิดจากการมีสารโอปิออยด์มากเกิน[16] เพราะงานวิจัยมีน้อยมากเรื่องความคันต่างที่ จึงไม่มีทฤษฎีที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า ความคันย้ายที่ไปได้อย่างไร แต่ก็มีทฤษฎีหลายทฤษฎีซึ่งเป็นที่นิยมในชุมชนนักวิทยาศาสตร์
สมมติฐานหนึ่งเสนอว่าเหตุมาจากเส้นประสาทและสาขาต่าง ๆ ของมัน สมมติฐานนี้คาดว่า นิวรอนได้แตกสาขาอย่างผิดปกติในช่วงการเกิดเอ็มบริโอ[18] คือสาขาของเส้นประสาทนำเข้าอาจกระจายออกไปไกลกว่าปกติ ดังนั้น เมื่อบุคคลพัฒนาระบบประสาทอย่างสมบูณ์แล้ว สิ่งเร้าที่ปลายสาขาหนึ่งอาจตีความได้ว่ามาจากปลายสาขาอีกปลายที่อยู่ห่างกัน แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยที่พิสูจน์หรือล้มล้างทฤษฎีนี้[3]
สมมติฐานอีกอย่างหนึ่งเสนอว่า อาการคันต่างที่จะเกิดอาศัยวิถีประสาท spinocervical pathway[3] เพราะตัวเซลล์ที่เป็นส่วนของวิถีประสาทนี้อยู่ที่ปีกหลังของไขสันหลัง และแอกซอนของเซลล์จะวิ่งขึ้นผ่านซีกร่างกายเดียวกันที่ส่วนหน้าด้านข้าง (dorsolateral quadrant) ของไขสันหลัง ซึ่งเข้ากับข้อมูลว่า สิ่งเร้าที่ทำให้คันจะอยู่ในซีกร่างกายเดียวกันกับส่วนที่คันต่างที่ และเพราะแอกซอนส่งไปยังทาลามัสและสมองส่วนกลาง จึงเป็นไปได้ว่า ทาลามัสก็มีบทบาทในปรากฏการณ์นี้ เซลล์ในวิถีประสาทนี้ยังเป็นเซลล์ที่เร้าด้วยแรงกล ซึ่งก็สนับสนุนว่าวิถีประสาทนี้เป็นกลไกของอาการคันต่างที่ ความเสียหายในส่วนกลางของวิถีประสาทนี้ ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม (คือเพราะความเสียหายในส่วนนอก) จะทำให้เซลล์ส่วนนี้ทำงานมากขึ้น (hyperexcitability) คือมีการยับยั้งที่ลดลง แต่ก็มีผู้แสดงว่า สมมติฐานนี้เป็นไปได้น้อย ไม่เช่นนั้นความคันควรจะวิ่งขึ้นไปตามลำดับ (เช่น จากขาไปสู่ลำตัว และจากลำตัวไปสู่คอ)[3]
มีหลักฐานด้วยว่า ทาลามัสมีบทบาทในความคันต่างที่[3] เพราะการจัดระเบียบเซลล์ประสาทในทาลามัสซึ่งรับความรู้สึกมาจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ที่การเร้าส่วนหนึ่งอาจจะกระจายไปยังอีกส่วนหนึ่งได้ งานศึกษาได้แสดงว่า ส่วนในทาลามัสที่รับความรู้สึกจากลำตัวจะอยู่ระหว่างส่วนที่รับความรู้สึกจากแขนและขา ซึ่งเข้ากับหลักฐานว่า การเร้าที่หน้าอกทำให้เกิดความรู้สึกที่ขา และเพราะส่วนที่รับความรู้สึกจากใบหน้าอยู่ต่างหากในบริเวณที่เรียกว่า arcuate nucleus นี่จึงอธิบายว่าทำไมใบหน้าจึงไม่ปรากฏอาการนี้
การเร้าที่กระจายออกภายในเปลือกสมอง ก็อาจอธิบายระยะที่ห่างกันระหว่างจุดที่เร้าและจุดที่คันต่างที่[3] เพราะที่รอยนูน precentral gyrus ซึ่งรับความรู้สึกจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เซลล์ประสาทที่รับข้อมูลจากส่วนมือและไหล่จะคาบเกี่ยวกับส่วนลำตัว ส่วนนิ้วโป้งก็จะคาบเกี่ยวกับส่วนบนของลิ้น และก็มีกรณีคนไข้ที่การเร้าที่นิ้วโป้งจะทำให้คันต่างที่ตรงส่วนบนของลิ้น
การรักษาบรรเทา
[แก้]แหล่งกำเนิดของอาการคันต่างที่ยังไม่ชัดเจน โดยอาจมาจากสมอง มาจากผิวหนัง หรือเป็นเพราะโรค ดังนั้น วิธีการรักษาโดยเฉพาะจึงยังไม่มี แต่ก็มีวิธีรักษาอาการคันต่าง ๆ ซึ่งบางอย่างอาจใช้ได้ ผู้ที่มีอาการนี้ควรหาแพทย์และปรึกษาเรื่องการใช้ยา
แอสไพรินแบบทานมีผลน้อยต่ออาการคัน[19]
วิธีการรักษาอาการคันเหตุระบบประสาทส่วนกลางจะค่อนข้างจำกัด และวิธีที่มีก็ยังต้องการหลักฐานเพิ่ม แต่โดยทั่วไปจะมุ่งยับยั้งการทำงานเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างความคันและความเจ็บปวดในไขสันหลัง[20] การรักษาโดยใช้ lidocaine และ gabapentin ในขนาดต่ำ อาจได้ผลเพื่อบรรเทาความคันที่เชื่อว่า มาจากระบบประสาทกลาง[21]
วิทยาการระบาด
[แก้]ความชุกของอาการนี้กำหนดให้แม่นยำได้ยาก เพราะคนจำนวนมากไม่รู้ว่าตนมีอาการจนกระทั่งอธิบายให้ฟัง ดังนั้น วรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์จึงกำหนดความชุกต่าง ๆ กันในมนุษย์[2] งานปี 2463 รายงานว่า คนจำนวน 8 ใน 9 ที่สำรวจรายงานว่ามีความรู้สึกต่างที่ งานปี 2516 แสดงว่า ครึ่งหนึ่งจากคนปกติ 20 คนที่สำรวจ ได้รายงานว่ามีอาการนี้[2] ความต่าง ๆ และลักษณะที่ไม่เหมือนกันของอาการในบุคคลต่าง ๆ ทำให้กำหนดอาการเพื่อใช้เป็นนิยาม หรือเพื่อระบุปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้ยาก อย่างไรก็ดี อาการนี้เชื่อว่าสามัญมาก
ประวัติ
[แก้]คำภาษาเยอรมันว่า mitempfindungen (แปลตรงตัวว่า "ความรู้สึกประสาน") ได้ใช้เป็นครั้งแรกในปี 2387 โดยนักกายวิภาคศาสตร์ชาวเยอรมัน[22] ส่วนคำภาษาอังกฤษว่า Referred itch ได้เริ่มใช้หลังปี 2427 แต่ปรากฏการณ์นี้มีบันทึกอย่างช้าที่สุดก็ปี 2276 ในช่วงเวลานั้น นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ Stephen Hales ได้สังเกตว่า เมื่อเกาส่วหนึ่งของร่างกายด้วยเล็บ ก็อาจรู้สึกคันที่อีกส่วนหนึ่งของร่างกายซึ่งห่างออกไป โดยเขาได้เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "Instances of the Sympathy of the Nerves"[23] ในปี 2427 นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย Kowalewsky จึงได้บันทึกแล้วตีพิมพ์ปรากฏการณ์นี้อย่างละเอียดโดยสังเกตกับตนเอง
งานวิจัยในปัจจุบัน
[แก้]แม้จะเริ่มสังเกตเห็นตั้ง 280 ปีแล้ว เหตุและกลไกที่สิ่งเร้าทำให้เกิดอาการคันต่างที่ก็ยังไม่ชัดเจนและยังไม่ได้พิสูจน์ จนถึงทุกวันนี้ หลักฐานที่น่าเชื่อถือมากที่สุดได้บ่งทาลามัส ระบบประสาทซิมพาเทติก และการหลั่งสารเคมีเพื่อส่งสัญญาณ (เช่น ฮิสตามีน) ว่าเป็นส่วนสำคัญทางสรีรภาพที่เป็นเหตุให้เกิดปรากฏการณ์ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว การได้ความเข้าใจในอนาคตเกี่ยวกับความคันโดยทั่วไป และเรื่องความคล้ายคลึงกับความเจ็บปวด อาจช่วยแสดงเรื่องที่ยังไม่รู้ แม้การเข้าใจที่ดีขึ้นว่า ฮิสตามีนและใยประสาทกลุ่ม C มีบทบาทในความรู้สึกคันอย่างไร ก็เช่นกัน แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ยังจำเป็นต้องทดลองและศึกษาเพิ่มขึ้นในเรื่องนี้ เนื่องจากว่า หลักฐานที่มียังไม่เป็นระเบียบและบ่อยครั้งสรุปอะไรไม่ได้
เชิงอรรถและอ้างอิง
[แก้]- ↑ "Referred pain", ศัพท์บัญญัติอังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (คอมพิวเตอร์) รุ่น ๑.๑ ฉบับ ๒๕๔๕,
(ทันตแพทยศาสตร์) อาการปวดต่างที่
- ↑ 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 2.11 2.12 Schott, GD (Oct 1988). "Distant referral of cutaneous sensation (Mitempfindung). Observations on its normal and pathological occurrence". Brain. 111 (5): 1187–1198.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 Evans, PR (1976). "Referred itch (Mitempfindungen)". Br Med J. 2 (6040): 839–41. doi:10.1136/bmj.2.6040.839. PMC 1688972. PMID 990713.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 Burrack, A; Knoch, D; Brugger, P (2006). "Mitempfindung in Synaesthetes: Co-incidence or Meaningful Association?". Cortex. 42 (2): 151–54. doi:10.1016/s0010-9452(08)70339-3.
{{cite journal}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Behrendt H, Krämer U, Schäfer T, Kasche A, Eberlein-König B, Darsow U, และคณะ (2001). "Allergotoxicology – a research concept to study the role of environmental pollutants in allergy". ACI Int. 13: 122–128.
- ↑ Charlesworth EN, Beltrani VS (2002). "Pruritic dermatoses: overview of etiology and therapy". Am J Med. 113 (9): 25S–33S. doi:10.1016/S0002-9343(02)01434-1. PMID 12517579.
- ↑ Greaves MW (1993) Pathophysiology and clinical aspects of pruritus. In: Dermatology in General Medicine. (Fitzpatrick TB, Eisen AZ, Wolff K, Freedberg IM, Austen KF, eds), 4th ed., Vol. 1, New York: McGraw-Hill, 416
- ↑ Bromm B, Scharein E, Darsow U, Ring J (1995). "Effects of menthol and cold on histamine-induced itch and skin reactions in man". Neurosci Lett. 187 (3): 157–160. doi:10.1016/0304-3940(95)11362-Z. PMID 7624016. S2CID 32343804.
- ↑ Carstens E, Jinks SL (1998). "Skin cooling attenuates rat dorsal horn neuronal responses to intracutaneous histamine". NeuroReport. 9 (18): 4145–4149. doi:10.1097/00001756-199812210-00027. PMID 9926864. S2CID 27419405.
- ↑ Craig AD (2002). "How do you feel? Interoception: the sense of the physiological condition of the body". Nature Reviews Neuroscience. 3 (8): 655–666. doi:10.1038/nrn894. PMID 12154366. S2CID 17829407.
- ↑ Mochizuki H, Tashiro M, Kano M, Sakurada Y, Itoh M, Yanai K (2003). "Imaging of central itch modulation in the human brain using positron emission tomography". Pain. 105 (1–2): 339–346. doi:10.1016/S0304-3959(03)00249-5. PMID 14499452. S2CID 25786312.
- ↑ Florian et. al, 2006, Short-term alternating temperature enhances histamine-induced itch: a biphasic stimulus model
- ↑ Davis KD, Pope GE, Crawley AP, Mikulis DJ (2004). "Perceptual illusion of "paradoxical heat" engages the insular cortex". J Neurophysiol. 92 (2): 1248–1251. doi:10.1152/jn.00084.2004. PMID 15277602. S2CID 42090152.
- ↑ Yosipovitch G, Fast K, Bernhard JD (2005). "Noxious heat and scratching decrease histamine-induced itch and skin blood flow". J Invest Dermatol. 125 (6): 1268–1272. doi:10.1111/j.0022-202X.2005.23942.x. PMID 16354198.
- ↑ Alcohol-Histamine interactions, Sergey M. Zimatkin and Oleg V. Antichtchik, Institude of Biochemistry, National Academy of Science of Belarus, Grodno, Belarus, and Department of Biology, Abo Akademi University, Finland.
- ↑ 16.0 16.1 16.2 Davidson Steve; Giesler Glenn J (2010). "The Multiple Pathways for Itch and their Interactions with Pain". Trends in Neurosciences. 33 (12): 550–558. doi:10.1016/j.tins.2010.09.002. PMC 2991051. PMID 21056479.
- ↑ Ikoma A, Steinhoff M, Ständer S, Yosipovitch G, Schmelz M (Jul 2006). "The Neurobiology of Itch". Nature Reviews Neuroscience. 7 (7): 535–47. doi:10.1038/nrn1950. PMID 16791143. S2CID 9373105.
- ↑ Pearce JM (2006). "Referred Itch (Mitempfindung)". Eur. Neurol. 55 (4): 233–234. doi:10.1159/000093877. S2CID 72253989.
- ↑ Daly, BM; Shuster, S (1986). "Effect of aspirin on pruritus". BMJ. 293 (6552): 907. doi:10.1136/bmj.293.6552.907. PMC 1341706. PMID 3094711.
{{cite journal}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Department of Dermatology, Wake forest, et al. 2003 Itch
- ↑ Fishman, SM; Caneris, OA; Stojanovic, MP; Borsook, D (1997). "Intravenous lidocaine". Am J Med. 102 (6): 584–585. doi:10.1016/s0002-9343(97)00057-0.
{{cite journal}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Müller, J (1844). Handbuch der Physiologie des Menschen für Vorlesungen. Vol. 1 (4th ed.). Coblenz: J. Holscher. p. 603.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Hales, S (1733). Statical Essays. Vol. 2. London: W. Innys, R. Manby and T. Woodmward. pp. 59–60.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
อ่านเพิ่ม
[แก้]- Pearce JM (June 2006). "Referred Itch (Mitempfindung)". Eur. Neurol. 55 (4): 233–234. doi:10.1159/000093877. S2CID 72253989.
- Richter CP (October 1977). "Mysterious form of referred sensation in man". Proc. Natl. Acad. Sci. U.S.A. 74 (10): 4702–5. Bibcode:1977PNAS...74.4702R. doi:10.1073/pnas.74.10.4702. PMC 432016. PMID 270709.