ข้ามไปเนื้อหา

สัจจวิภังคสูตร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สัจจวิภังคสูตร เป็นพระสูตร ในอุปริปัณณาสก์ หมวดมัชฌิมนิกาย ของพระสุตตันตปิฎก ชื่อพระสูตรมีความหมายว่า "การแจกแจงสัจธรรม" ซึ่งสัจธรรมนี้ ก็คือ อริยสัจ 4 โดยเป็นการแจกแจง และอธิบายอย่างละเอียดว่า อริยสัจ 4 นี้ประกอบด้วยอะไร และในข้อนั้นๆ มีองค์ประกอบเช่นไร และด้วยการเข้าถึงสัจธรรมทั้ง 4 ประการนี้ จะสามารถหลุดพ้นได้อย่างไร ทั้งนี้ เนื้อหาของสัจจวิภังคสูตร มีความคล้ายคลึงกับวิภังคสูตร ว่าด้วยอริยมรรค 8 ในมหาวารวรรค สังยุตตนิกาย ของพระสุตตันตปิฎก ซึ่งว่าด้วยการแจกแจงสัจธรรมของพุทธศาสนาเช่นกัน แต่มีข้อแตกต่างกันในรายละเอียดปลีกย่อยเล็กน้อย เช่นสถานที่ปรารภพระสูตร และความต่างตรงที่สัจจวิภังคสูตร อธิบายตั้งแต่ต้นอริยสัจ 4 จนถึงอริยมรรค 8 ขณะที่วิภังคสูตรเน้นอธิบายอริยมรรค 8 เป็นหลัก เป็นต้น

ทั้งนี้ สัจจวิภังคสูตรยังรวมอยู่ในภาณวาร หรือหนังสือบทสวดมนต์หลวง สำหรับสวดเพื่อความเป็นสิริมงคลในงานพระราชพิธี และงานพิธีต่างๆ อีกด้วย แต่นอกจากจะใช้สวดสาธยายแล้ว พระสูตรนี้ยังมีคุณค่ามหาศาล ในการทำความเข้าใจหัวใจของพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นการแจกแจง แยกย่อยให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้น เหมาะแก่การกระทำมนสิการ พิจารณาอย่างแยบคาย และปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การพ้นทุกข์ต่อไป

ที่มา[แก้]

สัจจวิภังคสูตรนี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรารภขึ้น ณ ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี [1] แต่พระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสแต่ลำพังพระองค์เดียว เพราะทรงปรารภถึงการ "ประกาศธรรมจักรอันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า" [2] หรือ การอริยสัจ 4 ที่ ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี ขึ้นมาก่อน จากนั้นทรงแนะนำแก่ภิกษุทั้งหลายว่า อันอริยสัจนี้แม้พระองค์จะเป็นผู้เดียวที่ประกาศ แต่พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ สองมหาอัครสาวกจะช่วยอธิบายชี้แจงให้เข้าใจได้เช่นกัน โดยเฉพาะพระสารีบุตรที่ "พอที่จะบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่งอริยสัจ 4 ได้โดยพิสดาร" [3]

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสรรเสริญคุณของพระสมเด็จพระสารีบุตรและโมคคัลลานะว่า "ทั้งสองรูปนี้เป็นบัณฑิตภิกษุ ผู้อนุเคราะห์ผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ สารีบุตรเปรียบเหมือนผู้ให้กำเนิด โมคคัลลานะเปรียบเหมือนผู้บำรุงเลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว"[4] ซึ่งปปัญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกายได้อธิบายพุทธวจนะส่วนนี้ไว้ว่า พระสารีบุตรจะสงเคราะห์บรรพชิตทั้งหลายที่ยังไม่บรรลุอริยบุคคลชั้นต้น คือพระโสดาบันให้บรรลุเสียก่อน ท่านยังให้บรรพชิตเหล่านั้นได้มีดวงตาเห็นธรรม ดุจมารดาผู้ให้กำเนิด ครั้นมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว เหมือนได้เกิดใหม่แล้ว ท่านจะปล่อยให้บรรพชิตเหล่านั้นบำเพ็ญเพียรให้มรรคผลสูงๆ ยิ่งขึ้นไป เพื่อที่ท่านจักได้ไปสั่งสอนให้ผู้อื่นได้มีดวงตาเห็นธรรมอีก

ด้วยเหตุนี้ พระสารีบุตรจึงเชี่ยวชาญในการแสดงธรรมขั้นต้นให้พิสดาร ยังให้บรรพชิตทั้งหลายเข้าใจธรรมได้โดยง่าย แล้วจักบรรลุชั้นสูงๆ ยิ่งขึ้นไปด้วยตนเอง หรือด้วยการสั่งสอนของพระมหาโมคคัลลานะในกาลต่อๆ ไป ดังนั้นในสัจจวิภังคสูตร พระสารีบุตรจึงได้แสดงธรรม เพื่อแจกแจงอริยสัจ 4 อย่างพิสดาร เพื่อความแจ่มแจ้งแก่ภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระผู้มีพระภาคได้เสด็จเข้าไปยังพระวิหารแล้ว ดังนี้ [5]

เนื้อหา[แก้]

พระสารีบุตรได้จำแนกแจกแจงอริยสัจ 4 คือ ทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทัยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ หรือ มรรคมีองค์แปด ดังนี้ว่า

1. ทุกข์[แก้]

"ทุกขอริยสัจเป็นไฉน คือ ชาติก็เป็นทุกข์ ชราก็เป็นทุกข์ มรณะก็เป็นทุกข์ โสกะปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสและอุปายาส ก็เป็นทุกข์ ความไม่ได้สมปรารถนาก็เป็นทุกข์ โดยประมวลแล้วอุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์ ฯ" [6]

  1. ชาติ "ชาติเป็นไฉน ได้แก่ ความเกิด ความเกิดพร้อม ความหยั่งลง ความบังเกิด ความบังเกิดเฉพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ความได้เฉพาะซึ่งอายตนะ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายนั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ" [7]
  2. ชรา "ชราเป็นไฉน ได้แก่ ความแก่ ความคร่ำคร่าความเป็นผู้มีฟันหัก มีผมหงอก มีหนังย่น ความเสื่อมอายุ ความหง่อมแห่งอินทรีย์ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายนั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ฯ" [8]
  3. มรณะ "มรณะเป็นไฉน ได้แก่ ความจุติ ความเคลื่อนไป ความแตก ความอันตรธาน ความตาย ความมรณะ การทำกาละความสลายแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งร่าง ความขาดชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายนั้นๆ นี้เรียกว่ามรณะ ฯ" [9]
  4. โสกะ "โสกะเป็นไฉน ได้แก่ ความโศก ความเศร้าความเหี่ยวแห้งใจ ความเหี่ยวแห้งภายใน ความเหี่ยวแห้งรอบในภายใน ของบุคคลผู้ประจวบกับความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว นี้เรียกว่าโสกะ ฯ" [10]
  5. ปริเทวะ "ปริเทวะเป็นไฉน ได้แก่ ความรำพันความร่ำไร กิริยารำพัน กิริยาร่ำไร ลักษณะที่รำพัน ลักษณะที่ร่ำไร ของบุคคลที่ประจวบกับความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว นี้เรียกว่าปริเทวะ ฯ" [11]
  6. ทุกขะ "ทุกขะเป็นไฉน ได้แก่ ความลำบากกายความไม่สบายกาย ความเสวยอารมณ์ที่ลำบาก ที่ไม่สบาย อันเกิดแต่สัมผัสทางกาย นี้เรียกว่าทุกขะ ฯ" [12]
  7. โทมนัส "โทมนัสเป็นไฉน ได้แก่ ความลำบากใจความไม่สบายใจ ความเสวยอารมณ์ที่ลำบาก ที่ไม่สบาย อันเกิดแต่สัมผัสทางใจ นี้เรียกว่าโทมนัส ฯ" [13]
  8. อุปายาส "อุปายาสเป็นไฉน ได้แก่ ความคับใจ ความแค้นใจ ลักษณะที่คับใจ ลักษณะที่แค้นใจ ของบุคคลผู้ประจวบกับความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว นี้เรียกว่าอุปายาส ฯ" [14]
  9. ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง "ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง" โดยรวบรัดคือ ความไม่ได้สมปรารถนา ท่านกล่าวว่า "ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์เป็นไฉนได้แก่ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่าโอหนอ ขอเราอย่าต้องเกิดเป็นธรรมดา และความเกิดอย่าพึงมาถึงเราเลย อันข้อนี้ ใครๆ จะสำเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความแก่เป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราอย่าต้องแก่เป็นธรรมดา และความแก่อย่าพึงมาถึงเราเลย อันข้อนี้ ใครๆ จะสำเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่าความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราอย่าต้องเจ็บไข้เป็นธรรมดา และความเจ็บไข้อย่าพึงมาถึงเราเลย อันข้อนี้ ใครๆ จะสำเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความตายเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราอย่าต้องตายเป็นธรรมดา และความตายอย่าพึงมาถึงเราเลย อันข้อนี้ ใครๆ จะสำเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์สัตว์ทั้งหลายผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาสเป็นธรรมดาเกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราอย่าต้องมีโสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัส และอุปายาสเป็นธรรมดา และโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสและอุปายาสอย่าพึงมาถึงเราเลย อันข้อนี้ ใครๆ จะสำเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์ ฯ" [15]

แล้วสรุปว่า "โดยประมวลแล้ว อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์เป็นไฉน คืออย่างนี้ อุปาทานขันธ์คือรูป คือเวทนา คือสัญญา คือสังขาร คือวิญญาณ เหล่านี้ชื่อว่า โดยประมวลแล้ว อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์" [16]

2. สมุทัย[แก้]

"ทุกขสมุทัยอริยสัจเป็นไฉน ได้แก่ตัณหาที่นำไปสู่ภพใหม่ สหรคตด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความยินดี อันมีความเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหานี้เรียกว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจ ฯ" [17]

3. นิโรธ[แก้]

"ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน ได้แก่ความดับด้วยอำนาจคลายกำหนัดไม่มีส่วนเหลือ ความสละ ความสลัดคืน ความปล่อย ความไม่มีอาลัย ซึ่งตัณหานั้นนั่นแล นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ ฯ" [18]

4. มรรค[แก้]

หรือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ท่านกล่าวว่า "ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็นไฉน ได้แก่ มรรคมีองค์ 8 อันประเสริฐนี้แล ซึ่งมีดังนี้ (1) สัมมาทิฐิ (2) สัมมาสังกัปปะ (3) สัมมาวาจา (4) สัมมากัมมันตะ (5) สัมมาอาชีวะ (6) สัมมาวายามะ (7) สัมมาสติ (8) สัมมาสมาธิ ฯ" แล้วแจกแจงดังนี้ คือ [19]

  1. สัมมาทิฐิ "สัมมาทิฐิเป็นไฉน ได้แก่ ความรู้ในทุกข์ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทานี้เรียกว่าสัมมาทิฐิ ฯ" [20]
  2. สัมมาสังกัปปะ "สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน ได้แก่ ความดำริในเนกขัมมะ ความดำริในอันไม่พยาบาท ความดำริในอันไม่เบียดเบียน นี้เรียกว่าสัมมาสังกัปปะ ฯ" [21]
  3. สัมมาวาจา "สัมมาวาจาเป็นไฉน ได้แก่ เจตนา เป็นเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จ จากพูดส่อเสียด จากพูดคำหยาบ จากเจรจาเพ้อเจ้อนี้เรียกว่า สัมมาวาจา ฯ" [22]
  4. สัมมากัมมันตะ "สัมมากัมมันตะเป็นไฉน ได้แก่ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากปาณาติบาต จากอทินนาทาน จากกาเมสุมิจฉาจาร นี้เรียกว่าสัมมากัมมันตะ ฯ" [23]
  5. สัมมาอาชีวะ "สัมมาอาชีวะเป็นไฉน คือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละมิจฉาชีพแล้ว สำเร็จความเป็นอยู่ด้วยสัมมาชีพ นี้เรียกว่าสัมมาอาชีวะ ฯ" [24]
  6. สัมมาวายามะ "สัมมาวายามะเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมให้เกิดฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อไม่ให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดได้เกิดขึ้น 1 เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้วเสีย 1 เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นได้เกิดขึ้น 1 เพื่อความตั้งมั่นไม่ฟั่นเฝือ เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญ และบริบูรณ์ของกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว 1 นี้เรียกว่าสัมมาวายามะ ฯ" [25]
  7. สัมมาสติ "สัมมาสติเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ เป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ เป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ นี้เรียกว่าสัมมาสติ ฯ" [26]
  8. สัมมาสมาธิ "สัมมาสมาธิเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เข้าทุติยฌาน ... อยู่ เป็นผู้วางเฉย เพราะหน่ายปีติ มีสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย เข้าตติยฌาน ... อยู่ เข้าจตุตถฌาน ... อยู่นี้เรียกว่าสัมมาสมาธิ ฯ" [27]

จากนั้นพระสารีบุตรจึงกล่าวถึงพระผู้มีพระภาคว่า "พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธได้ทรงประกาศธรรมจักรอันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี อันสมณะ หรือพราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือพรหม หรือใครๆ ในโลก ยังไม่เคยประกาศ ได้แก่ ทรงบอก ทรงแสดง ทรงบัญญัติทรงแต่งตั้ง ทรงเปิดเผย ทรงจำแนก ทรงทำให้ง่ายซึ่งอริยสัจ 4 นี้ " [28]

อ้างอิง[แก้]

  1. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 381
  2. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 381
  3. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 381
  4. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 381
  5. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 388 - 390
  6. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 382
  7. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 382
  8. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 382
  9. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 383
  10. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 383
  11. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 383
  12. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 383
  13. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 383
  14. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 383
  15. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 384
  16. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 385
  17. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 385
  18. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 385
  19. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 385
  20. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 385
  21. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 385
  22. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 386
  23. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 386
  24. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 386
  25. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 386
  26. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 386
  27. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 387
  28. พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้า 387

บรรณานุกรม[แก้]

  • พระไตรปิฎกบาฬี ฉบับฉัฏฐสังคีติ สุตฺตปิฎก มชฺฌิมนิกาย อุปริปณฺณาสปาฬิ วิภงฺควโคฺค สจฺจวิภงฺคสุตฺตํ
  • พระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2