ข้ามไปเนื้อหา

ราโมน บารังเกที่ 4 เคานต์แห่งบาร์เซโลนา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ราโมน บารังเกที่ 4
รูปปั้นแกะสลักของราโมน บารังเกที่ 4 ในเรติโรแห่งมาดริด ประเทศสเปน
เกิดค.ศ. 1114
รอแดซ
เสียชีวิต6 สิงหาคม ค.ศ. 1162 (48–49 ปี)
บอร์โกซันดัลมัซโซ
ปีเยมอนเต
สุสานซันตามาริอาดาริโปลย์
ตำแหน่งเคานต์แห่งบาร์เซโลนา
วาระ19 สิงหาคม ค.ศ. 1131 – 6 สิงหาคม ค.ศ. 1162
ผู้ดำรงตำแหน่งก่อนราโมน บารังเกที่ 3 เคานต์แห่งบาร์เซโลนา
ผู้สืบตำแหน่งพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 2 แห่งอารากอน
คู่สมรสเปโตรนิยาแห่งอารากอน
บุตรอินฟันเตเป-รา
พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 2 แห่งอารากอน
ราโมน บารังเกที่ 3 เคานต์แห่งพรอว็องส์
ด็อลซาแห่งอารากอน พระราชินีแห่งโปรตุเกส
ซันส์ เคานต์แห่งพรอว็องส์
ราโมน อัครมุขนายกแห่งนาร์บอน (นอกสมรส)
บิดามารดาราโมน บารังเกที่ 3 เคานต์แห่งบาร์เซโลนา
ดุสที่ 1 เคาน์เตสแห่งพรอว็องส์

ราโมน บารังเกที่ 4 (กาตาลา: Ramon Berenguer IV) หรือ นักบุญ (el Sant; ค.ศ. 1113 – 6 กันยายน ค.ศ. 1162) ดำรงตำแหน่งเป็นเคานต์แห่งบาร์เซโลนาระหว่างปี ค.ศ. 1131–1162 เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแห่งพรอว็องส์ระหว่างปี ค.ศ. 1144–1157 และปกครองเป็นเจ้าชายแห่งอารากอนระหว่างปี ค.ศ. 1137–1162

ราโมน บารังเกที่ 4 เป็นบุตรชายคนโตของราโมน บารังเกที่ 3 เขาสานต่อการทำสงครามครูเสดกับชาวมุสลิมอัลโมราวิดของบิดา หลังจากนั้นไม่นานราชอาณาจักรอารากอนร้องขอความช่วยเหลือจากราโมน บารังเกที่ 4 เพื่อต่อกรกับราชอาณาจักรกัสติยา ในการเจรจาตกลง เขาได้รับการสัญญาว่าจะได้แต่งงานกับเปโตรนิยา พระธิดาของพระเจ้ารามิโรที่ 2 กษัตริย์อารากอน ทั้งคู่แต่งงานกันในวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1137 และไม่กี่เดือนต่อมา ในวันที่ 13 พฤศจิกายน พระเจ้ารามิโรที่ 2 สละราชสมบัติให้พระธิดาและพระชามาดา ราโมน บารังเกที่ 4 จึงเป็นเคานต์แห่งบาร์เซโลนาคนสุดท้ายที่ใช้ตำแหน่งดังกล่าวเป็นตำแหน่งหลัก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1137 เขากลายเป็นผู้ปกครองของอารากอนด้วย (แม้ตัวเขาจะไม่เคยอ้างสิทธิ์ในตำแหน่งกษัตริย์) ตั้งแต่รัชสมัยของพระโอรสของพระองค์ที่ใน ค.ศ. 1162 ได้สืบทอดตำแหน่งต่อเป็นพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 2 เคานต์แห่งบาร์เซโลนามีตำแหน่งกษัตริย์แห่งอารากอนเป็นตำแหน่งหลัก

ในตอนที่บิดาของราโมน บารังเกที่ 4 เสียชีวิต เขาได้ยกเคาน์ตีพรอว็องส์ให้บุตรชายคนเล็ก เมื่อบุตรชายคนดังกล่าวเสียชีวิต ราโมน บารังเกที่ 4 ซึ่งเป็นพี่ชายได้ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปจนกระทั่งราโมน บารังเกที่ 3 เคานต์แห่งพรอว็องส์ ทายาทตามกฎหมายซึ่งเป็นหลานอาของราโมน บารังเกที่ 4 เคานต์แห่งบาร์เซโลนาเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวในปี ค.ศ. 1157 เมื่อเคานต์แห่งพรอว็องส์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1166 โดยไร้ทายาทเพศชาย พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 2 แห่งอารากอน บุตรชายของราโมน บารังเกที่ 4 คือผู้สืบทอดตำแหน่งต่อ ราโมน บารังเกที่ 3 ได้สร้างอาณาเขตที่ชัดเจนให้ราชรัฐกาตาลุญญาด้วยการทำสงครามและพิชิตดินแดนต่าง ๆ มาจากชาวมัวร์ ได้แก่ ดินแดนโตร์โตซาในปี ค.ศ. 1148 แยย์ดา, เมกิเนนซา และฟรากาในปี ค.ศ. 1149 และปราเดสกับซิวรานาในปี ค.ศ. 1153

ต้นกำเนิดของตระกูล

[แก้]

ราโมน บารังเกที่ 4 เป็นบุตรชายของราโมน บารังเกที่ 3 กับดุสที่ 1 เคาน์เตสแห่งพรอว็องส์ จากทางฝั่งบิดาเขาเป็นหลานชายของราโมน บารังเกที่ 2 กับมาฟัลดาแห่งปุลยา และจากทางฝั่งมารดาเขาเป็นหลานชายของฌีลแบร์แห่งเฌโวด็องกับแฌร์แบร์ฌแห่งพรอว็องส์

เมื่อบิดาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1131 เขาได้เคาน์ตีบาร์เซโลนา ในขณะที่บารังเก ราโมน น้องชายฝาแฝดได้พรอว็องส์ เขาเป็นอัศวินเทมพลาร์เหมือนบิดา[1][2]

วันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1135 เขาไปเลออนเพื่อร่วมพิธีราชาภิเษกเป็นจักรพรรดิแห่งสเปนของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 7 ต่อหน้าผู้แทนพระองค์ของสมเด็จพระสันตะปาปาและขุนนางคนสำคัญในคาบสมุทรไอบีเรียและฝรั่งเศสใต้อันรวมถึงชาวมุสลิม

การแต่งงานกับเปโตรนิยาแห่งอารากอน

[แก้]
ภาพวาดของพระราชินีเปโตรนิยาแห่งอารากอนกับเคานต์ราโมน บารังเกที่ 4 แห่งบาร์เซโลนา โดยพิพิธภัณฑ์ปราโดในปี ค.ศ. 1634

การสนับสนุนที่มีต่อพระเจ้ารามิโรที่ 2 แห่งอารากอนในการต่อกรกับพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 7 แห่งเลออนทำให้พระเจ้ารามิโรเสนอให้ราโมน บารังเกที่ 4 แต่งงานกับเปโตรนิยา พระธิดาวัย 1 พรรษา

พิธีแต่งงาน (ที่อายุแตกต่างกันมาก) ถูกจัดขึ้นในแยย์ดาในเดือนสิงหาคมของปี ค.ศ. 1150 วันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1137 พระเจ้ารามิโรสละราชสมบัติให้พระชามาดาที่ไม่ได้เป็นกษัตริย์อย่างเต็มตัว แต่ครองตำแหน่งเป็นเคานต์แห่งบาร์เซโลนาและเจ้าชายแห่งอารากอน (โดยมีพระราชินีคือเปโตรนิยา ภรรยาของเขา) ทำให้ราชอาณาจักรอารากอนกับเคาน์ตีบาร์เซโลนาถูกรวมเข้าด้วยกัน

บทบาทของราโมน บารังเกที่ 4 นับตั้งแต่หมั้นหมายในปี ค.ศ. 1137 คือการเป็นผู้บริหารปกครองให้ราชวงศ์อารากอนในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของราชอาณาจักรอารากอน และออกเอกสารในฐานะเจ้าชาย ไม่ใช่กษัตริย์ เอกสารยังคงกล่าวถึงพระเจ้ารามิโรที่ 2 ว่าเป็น "ลอร์ด พระบิดา และกษัตริย์" และยังคงครองตำแหน่งกษัตริย์แห่งอารากอนไปจนสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1157

สงครามครูเสดและสงครามอื่น ๆ

[แก้]

ในช่วงปีกลาง ๆ ของการปกครอง ราโมน บารังเกมุ่งความสนใจไปที่การสู้รบกับชาวมัวร์ เดือนตุลาคม ค.ศ. 1147 เขาช่วยกัสติยาพิชิตอัลเมริอา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำสงครามครูเสดครั้งที่สอง จากนั้นได้รุกรานดินแดนของไตฟาอัลโมราวิด ราชอาณาจักรบาเลนเซีย และราชอาณาจักรมูร์เซีย เดือนธันวาคม ค.ศ. 1148 เขายึดโตร์โตซาได้หลังปิดล้อมอยู่สี่เดือนโดยมีผู้ทำครูเสดชาวฝรั่งเศสใต้, ชาวแองโกลนอร์มัน และชาวเจนัวให้การช่วยเหลือ[3] ปีต่อมาฟรากา, แยย์ดา และมากิเนนซาที่ติดกับแม่น้ำเซกราและแม่น้ำเอโบรแตกพ่ายให้แก่กองทัพของเขา

ราโมน บารังเกยังสู้รบในพรอว็องส์ เพื่อช่วยบารังเก ราโมน น้องชายของตน กับราโมน บารังเกที่ 2 ผู้เป็นหลานอาต่อกรกับเคานต์แห่งตูลูซ ในช่วงวัยเยาว์ของราโมน บารังเกที่ 2 เคานต์แห่งพรอว็องส์ เคานต์แห่งบาร์เซโลนาได้ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของพรอว็องส์ด้วย (ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1144–1157) ในปี ค.ศ. 1151 ราโมนลงนามในสนธิสัญญาตูดิเลนกับพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 7 แห่งเลออนและกัสติยา สนธิสัญญากำหนดพื้นที่ที่สามารถพิชิตได้ในอันดาลูซิอาเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ปกครองทั้งสองขัดแย้งกัน

การเสียชีวิต

[แก้]

ราโมน บารังเกที่ 4 เสียชีวิตในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1162 ในบอร์โกซันดัลมัซโซ ปีเยมอนเต (ในประเทศอิตาลีปัจจุบัน) ทิ้งตำแหน่งเคานต์แห่งบาร์เซโลนาไว้ให้ราโมน บารังเก บุตรชายที่ยังมีชีวิตอยู่คนโตที่สืบทอดตำแหน่งกษัตริย์แห่งอารากอนหลังเปโตรนิยาแห่งอารากอน พระมารดาของตนสละราชสมบัติในอีกสองปีต่อมา ในปี ค.ศ. 1164 พระองค์เปลี่ยนชื่อเป็นอัลฟอนโซเพื่อแสดงความเป็นชาวอารากอน และกลายเป็นพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 2 แห่งอารากอน เป-รา บุตรชายคนเล็กของราโมน บารังเกได้รับมรดกเป็นเคาน์ตีซาร์ดัญญากับดินแดนทางเหนือของเทือกเขาพิรินี และเปลี่ยนชื่อเป็นราโมน บารังเก

อ้างอิง

[แก้]
  1. Damien Carraz and Alain Demurger, L'Ordre du Temple in the basse vallée du Rhône: 1124-1312: ordres militaires, crisades et sociétés méridionales , Presses Universitaires Lyon, 2005, p. 110
  2. Dominic Selwood, Knights of the Cloister: Templars and Hospitallers in Central-Southern Occitania, C.1100-C.1300 , Boydell & Brewer Ltd, 1999, p. 120
  3. Riley-Smith (1991) p.48.