ข้ามไปเนื้อหา

ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน

พิกัด: 50°42′31″N 6°21′46″E / 50.70861°N 6.36278°E / 50.70861; 6.36278
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน
ส่วนหนึ่งของ แนวรบด้านตะวันตกในสงครามโลกครั้งที่สอง

บ้านไร่ได้ถูกใช้เป็นที่พักพิงสำหรับกองบัญชาการกองร้อย, กรมทหารราบที่ 121, กองพลทหารราบที่ 8, กองทัพน้อยที่ 19, กองทัพสหรัฐที่ 9. พวกเขาได้ตั้งชื่อเล่นว่า "โรงแรมเฮือร์ทเกิน".
วันที่19 กันยายน - 16 ธันวาคม ค.ศ. 1944[1]
สถานที่
50°42′31″N 6°21′46″E / 50.70861°N 6.36278°E / 50.70861; 6.36278
รัฐนอร์ทไรน์-เว็สท์ฟาเลิน, เยอรมนี
ผล ฝ่ายป้องกันของเยอรมันได้รับชัยชนะ[2][3][4]
คู่สงคราม
 สหรัฐ  ไรช์เยอรมัน
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
สหรัฐ โอมาร์ แบรดลีย์
สหรัฐ Courtney Hodges
นาซีเยอรมนี วัลเทอร์ โมเดิล
กำลัง
120,000 80,000
ความสูญเสีย
33,000[1][notes 1] to 55,000[5] 28,000[6]

ยุทธการที่ป่าเฮือร์ทเกิน (เยอรมัน: Schlacht im Hürtgenwald) เป็นหนึ่งในการสู้รบอย่างดุเดือด ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน ถึง วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1944 ระหว่างกองทัพอเมริกันและกองทัพเยอรมันบนแนวรบด้านตะวันตกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในป่าเฮือร์ทเกิน พื้นที่ประมาณ 140 ตารางกิโลเมตร (54 ตารางไมล์) ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร (3.1 ไมล์) บนทางด้านตะวันออกของชายแดนเบลเยียม-เยอรมนี [1]มันเป็นการสู้รบที่ยาวนานที่สุดบนพื้นที่ของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและเป็นการสู้รบเพียงลำพังที่ยาวนานที่สุดที่กองทัพสหรัฐเคยสู้รบ[7]

เป้าหมายตอนแรกของผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐคือการตรึงกองทัพเยอรมันในพื้นที่เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาได้รับการเสริมกำลังบนแนวหน้าที่อยู่ห่างไกลจากทางเหนือในยุทธการที่อาเคิน ที่กองทัพสหรัฐกำลังสู้รบกับเครือข่ายแนวซีคฟรีทของเมืองอุตสาหกรรมป้อมปราการและหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยป้อมปืนกล หินดักรถถัง และทุ่นระเบิด เป้าหมายที่สองคืออาจจะรุกล้ำเข้าไปแนวหน้า เป้าหมายทางกลยุทธวิธีเบื้องต้นของสหรัฐคือการยึดเอาชมิดต์และเคลียร์ Monschau ในขั้นที่สอง ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องการที่จะรุกข้ามแม่น้ำรัวร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการควีน

จอมพลไรช์ วัลเทอร์ โมเดิล ได้มีความตั้งใจที่จะทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรถูกผลักดันไปจนถึงหยุดชะงัก ในขณะที่เขาเข้าแแทรกแซงน้อยลงในความเคลื่อนไหวของหน่วยในแต่ละวันกว่ายุทธการที่อาร์เนม เขายังคงปกปิดข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ด้วยตัวเขาเองได้อย่างเต็มที่ ชะลอการรุกคืบหน้าของฝ่ายสัมพันธมิตร ก่อให้เกิดคนเจ็บและตายอย่างหนักและใช้ประโยชน์จากป้อมปราการที่ชาวเยอรมันเรียกว่า กำแพงตะวันตก เป็นที่รู้จักกันดีในฝ่ายสัมพันธมิตรคือ แนวซีคฟรีท ป่าเฮือร์ทเกินได้สร้างความเสียหายแก่กองทัพสหรัฐที่หนึ่ง จำนวนที่ถูกฆ่าและบาดเจ็บอย่างน้อย 33,000 นาย รวมถึงความสูญเสียทั้งการสู้รบและไม่ได้สู้รบ, โดยมีการประเมินสูงสุดอยู่ที่ 55,000 นาย เยอรมนีมีจำนวนที่ถูกฆ่าและบาดเจ็บ 28,000 นาย เมืองอาเคินในทางตอนเหนือถูกตีแตกในที่สุด เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ที่ความเสียหายสูงต่อกองทัพสหรัฐที่ 9 แต่พวกเขาล้มเหลวในการก้่าวข้ามแม่น้ำรัวร์หรือแย่งชิงการควบคุมเขื่อนจากเยอรมนี การสู้รบครั้งนี้ได้มีความเสียหายสูงจนอธิบายว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร"ได้พบความปราชัยครั้งสำคัญครั้งแรก" ด้วยชื่อเสียงที่มอบให้กับโมเดิล[8][9]: 391 

เยอรมนีได้ทำการปกป้องพื้นที่อย่างดุเดือดเพราะมันได้ถูกทำให้กลายเป็นพื้นที่สำหรับการรุกฤดูหนาวในปี ค.ศ. 1944 ปฏิบัติการเฝ้าดูไรน์(ต่อมาได้เป็นที่รู้จักกันคือ ยุทธการตอกลิ่ม​) และเนื่องจากภูเขาที่จะสามารถสั่งการไปยังเขื่อนรัวร์, ที่อ่างเก็บน้ำรัวร์ที่สำคัญ (Rurstausee) ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ล้มเหลวในการยึดพื้นที่หลังประสบความปราชัยหลายครั้งอย่างหนักและเยอรมนีได้ประสบความสำเร็จในการยึดครองภูมิภาคแห่งนี้จนกระทั่งพวกเขาจะเปิดฉากการโจมตีครั้งสุดท้ายในป่าอาร์แดน[2][10] ครั้งนี้ได้เปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ซึ่งการรุกที่ป่าเฮือร์ทเกินได้จบลง ยุทธการตอกลิ่มได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างกว้างขวาง และปล่อยให้การต่อสู้ที่ป่าเฮือร์ทเกินถูกลืมเลือนหรือรู้จักได้น้อยลง

ความเสียหายทั้งหมดของการทัพแนวซีคฟรีทในทหารอเมริกันนั้นใกล้เคียงอยู่ที่ 140,000 นาย[11]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 1.2 Zabecki p. 1537
  2. 2.0 2.1 MacDonald (1984), p. 594
  3. Zaloga (2007), p. 91
  4. Bergstrom p. 42
  5. "Blood on German Snow: An African American Artilleryman in World War II and Beyond" p. 58
  6. Miller (1995) p. 188
  7. Regan, More military blunders, p.178.
  8. Whiting, Battle of Hurtgen Forest, pp.xi-xiv, 271–274.
  9. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ mcdonald
  10. Whiting p. 274
  11. The Siegfried Line Campaign. Charles B. MacDonald. Ch.27
  1. The figure of 33,000 includes 9,000 friendly fire and non-combat casualties during the battle