ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำใหญ่ในอาร์เจนตินา พ.ศ. 2541–2545
วิกฤติเศรษฐกิจในอาร์เจนตินา (Argentine economic crisis ) เป็นช่วงที่เศรษฐกิจในอาร์เจนตินาล่มสลาย ประเทศอยู่ในภาวะล้มละลาย ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติเบื้องต้น (GNP) ลดต่ำลงจนติดลบติดต่อกันยาวนานถึง 4 ปีเต็ม คนตกงานกว่าครึ่งค่อนประเทศ แม้กระทั่งแพทย์ยังตกงาน เกิดขึ้นในช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 ถึงปี ค.ศ. 2002
ปี 1983
[แก้]เมื่อรัฐบาลทหารได้คืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1983 นายราอูล อัลฟองซิน ก็ได้รับเสียงสนับสนุนให้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ช่วงที่ประธานาธิบดีอัลฟองซินดำรงตำแหน่งอยู่นี้ [1]ภาวะเศรษฐกิจภายในอาร์เจนตินาย่ำแย่ลงอย่างหนัก รัฐบาลไม่มีปัญญาจ่ายหนี้เงินกู้จากต่างประเทศ อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเดือนละ 200% หรือ ปีละเกือบ 3,000% รัฐบาลอาร์เจนตินาขาดเสถียรภาพอย่างหนัก ประธานาธิบดีอัลฟองซินจึงต้องลาออกก่อนจะหมดวาระเพียง 6 เดือน
จุดเริ่มต้นใน ปี ค.ศ. 1989
[แก้][1]นาย คาร์ลอส ซามูล เมเนม ได้รับเลือกเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคนิยม เปรอง แต่เมื่อได้ดำรงตำแหน่งกลับทำตรงกันข้ามกับแนวคิดเปรอง (ลัทธิเปรอง) เนเนมได้ใช้นโยบายเศรษฐกิจตาม "ฉันทมติ วอชิงตัน" ซึ่งนำความหายนะมาสู่อาร์เจนตินาซึ่งหลัก ๆ ได้แก่ การเปิดเสรีการค้าอย่างเต็มที่ ทั้งทางด้านการค้าและการเงิน การแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นของต่างชาติ
ปี 1991
[แก้][1]รัฐบาลของเมเนมได้แปรรูปรัฐวิสหกิจอย่างจริงจังโดยมีรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ โดมิงโก คาวัลโย เป็นผู้ที่ได้ใช้นโยบาย "ฉันทมติ วอชิงต้น" มีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นคงที่ ค่าเงินที่ 1 เปโซ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ได้มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจขายสัมปทานของรัฐออกไป 250 แห่ง ซึ่งรัฐบาลอาร์เจนตินาได้รับเงินถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน การแปรรูปรัฐวิสาหกิจได้นำไปสู่การผูกขาด ซึ่งโดยรวมหลักของนโยบายเสรีนิยมใหม่ของเมเนมวางอยู่บนความพึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ มีการตัดลดงบประมาณให้สมดุล ลดภาษีนำเข้า เพื่อเป็นแรงจูงใจในการลงทุนจากต่างชาติ มีการคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นอย่างมากมายในรัฐบาลของเมเนม
- การแปรรูปสายการบินแห่งชาติ
- การแปรรูปโทรศัพท์
- การแปรรูปการไฟฟ้า
- การแปรรูปทางด่วน
- การแปรรูปน้ำประปา
- การแปรรูปรถไฟ
ปี 1999
[แก้][1]ประธานาธิบดี เฟอร์นานโด เดลารัว ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาเพื่อสอบสวนกรณีคอร์รัปชั่นในยุคประธานาธิบดี เมเนม ในวันที่ 7 มิถุนายน ปี ค.ศ. 2001 ได้มีคำพิพากษาสั่งจำคุกอดีตประธานาธิบดีเมเนมเป็นเวลา 6 เดือน มีข้อกล่าวหา การยักยอกเงิน 100 ล้านเหรียญ จากการลักลอบขายอาวุธ และ คาวาโย อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ก็โดนข้อหาเดียวกัน เมเนมได้หนี้ลี้ภัยไปอยู่ประเทศชิลี
วิกฤติเศรษฐกิจ
[แก้][1]รัฐบาลของเฟอร์นานโด เดลารัว เข้ารับตำแหน่งในปี ค.ศ. 1999 ต้องรับภาระปัญหาต่าง ๆ ที่รัฐบาลเมเนมได้ก่อเอาไว้ หนี้ต่างประเทศก้อนโตจำนวนกว่า 132 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ อัตราค่าเงินเปโซที่กำหนดให้แข็งค่าเกินจริงแบบคงที่ ทำให้ภาคการส่งออกมีปัญหา ภาครัฐมีรายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่าย ทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายหนี้และดอกเบี้ย ประธานาธิบดีเดลารัวได้ลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลตามคำแนะนำจากไอเอ็มเอฟ (IMF) เพื่อแลกกับเงินกู้จำนวน 8 พันล้านดอลลาร์ โดยมีการปลดข้าราชการ ตัดงบประมาณชุมชนและงบสวัสดิการสังคมต่าง ๆ สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายหนัก เมื่อมาตรการตัดลดรายจ่ายยิ่งทำให้เศรษฐกิจชลอตัวลง
[1]ผลจากการขาดงบประมาณรายจ่ายเพราะเก็บภาษีได้ลดลงรวมกับการขาดดุลการชำระเงินเพราะการกำหนดค่าเงินคงที่ ทำให้รัฐบาลโดนบีบให้ลดค่าเงินเปโซ และยอดหนี้ต่างประเทศสูงขึ้นจากร้อยละ 50 ต่อ GDP ในปี ค.ศ. 2001 กลายมาเป็น ร้อยละ 90 ต่อ GDP ในปี ค.ศ. 2002 รัฐบาลต้องพิมพ์ธนบัตร์ออกมาทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ประธานาธิบดีเดรารัว จึงเชิญ คาวัลโย อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจสมัยเมเนม มาแก้ปัญหาในปี ค.ศ. 2001 คาวัลโย ใช้มาตรการลดรายจ่ายโดยการตัดเงินเดือนข้าราชการร้อยละ 20 และตัดเงินบำนาญลงร้อยละ 13 ต้ดงบประมาณกระทรวงต่าง ๆ และห้ามถอนเงินจากธนาคารเกินอาทิตย์ละ 250 ดอลลาร์ แต่สถานการณ์กลับยิ่งเลวร้ายลง เมื่ออัตราการว่างงานได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 ประชากร 1 ใน 3 ของประเทศมีชีวิตต่ำกว่าเส้นความยากจน ไอเอ็มเอฟบีบให้ธนาคารทุกแห่งเปลี่ยนเงินฝากของประชาชนเป็นพันธบัตรรัฐบาลที่อายุไถ่ถอน 10 ปี เพื่อรัฐบาลจะได้นำเงินไปจ่ายดอกเบี้ยของหนี้สินต่างประเทศ มีการประท้วงเกิดขึ้นจนเกิดการจลาจลไปทั่วประเทศ
ในเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 2001 โดมิงโก คาวัลโย ลาออกจากตําแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ก่อน ประธานาธิบดี เดรารัว เพียงไม่กี่ชั่วโมง มีการประท้วงใหญ่หน้าทำเนียบประธานาธิบดี ประเทศเกิดภาวะสุญญากาศทางอำนาจมีการแต่งตั้งผู้รักษาการตำแหน่งประธานาธิบดี อดอลโฟ โรดริเกซ ซา ขึ้นมาบริหารได้เพียงอาทิตย์เดียวก็ถูกกดดันให้ลาออก เมื่อประกาศว่าจะพักชำระหนี้ต่างประเทศจำนวน 141,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของอาร์เจนตินา เดดัวโด ดูฮาลเด้ ได้ขึ้นมาแทนและได้ประกาศลดค่าเงินเปโซร้อยละ 30 และให้แปลงเงินฝากสกุลดอลลาร์ให้เป็นเปโซทั้งหมดผลทำให้ธุรกิจที่มีหนี้สินเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐล้มละลายทันทีเป็นจำนวนมาก GDP ลดลงถึง 11%
ผลกระทบต่อการกระจายรายได้
[แก้]
|
' |