ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 4: | บรรทัด 4: | ||
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2471 สมาชิกหัวรุนแรงของ[[สมาคมยุวชนเพื่อการปฏิวัติเวียดนาม]]ได้แก่ [[โฮจิมินห์]], [[เจิ่น วัน กุง]], เหงียน ดุ๊ก กั๋ญ, จิ่ญ ดิ่ญ กื๋ว, โด๋ หง็อก ซู, เซือง หัก ดิ๊ญ, โง ซา ตึ และกีม โตน ได้จัดตั้งกลุ่มคอมมิวนิสต์กลุ่มแรกใน[[อินโดจีนฝรั่งเศส]] และได้ประกาศตัวเป็นศูนย์กลางของพรรคคอมมิวนิสต์ที่จะจัดตั้งขึ้นในอนาคต เจิ่น วัน กุงได้รับเลือกเป็นเลขาธิการของกลุ่ม ทั้งนี้ กุงและอีกสองคนคือจิ่ญ ดิ่ญ กื๋ว และกีม โตนได้เข้าร่วมการประชุมของสมาคมยุวชนเพื่อการปฏิวัติเวียดนาม ที่จัดใน[[ฮ่องกง]]เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2472 ในการประชุมครั้งนี้พวกเขาได้เสนอที่จะเปลี่ยนสมาคมไปเป็นพรรคคอมมิวนิสต์แต่ถูกปฏิเสธ ทั้งสามคนได้ประท้วงโดยออกจากห้องประชุม และถูกขับออกจากสมาคมในที่สุด |
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2471 สมาชิกหัวรุนแรงของ[[สมาคมยุวชนเพื่อการปฏิวัติเวียดนาม]]ได้แก่ [[โฮจิมินห์]], [[เจิ่น วัน กุง]], เหงียน ดุ๊ก กั๋ญ, จิ่ญ ดิ่ญ กื๋ว, โด๋ หง็อก ซู, เซือง หัก ดิ๊ญ, โง ซา ตึ และกีม โตน ได้จัดตั้งกลุ่มคอมมิวนิสต์กลุ่มแรกใน[[อินโดจีนฝรั่งเศส]] และได้ประกาศตัวเป็นศูนย์กลางของพรรคคอมมิวนิสต์ที่จะจัดตั้งขึ้นในอนาคต เจิ่น วัน กุงได้รับเลือกเป็นเลขาธิการของกลุ่ม ทั้งนี้ กุงและอีกสองคนคือจิ่ญ ดิ่ญ กื๋ว และกีม โตนได้เข้าร่วมการประชุมของสมาคมยุวชนเพื่อการปฏิวัติเวียดนาม ที่จัดใน[[ฮ่องกง]]เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2472 ในการประชุมครั้งนี้พวกเขาได้เสนอที่จะเปลี่ยนสมาคมไปเป็นพรรคคอมมิวนิสต์แต่ถูกปฏิเสธ ทั้งสามคนได้ประท้วงโดยออกจากห้องประชุม และถูกขับออกจากสมาคมในที่สุด |
||
ในวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2472 กลุ่มนิยมคอมมิวนิสต์ดังกล่าวได้ประชุมร่วมกันที่[[ฮานอย]] และตกลงจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน พรรคได้ออกหนังสือพิมพ์ ''บั๊วเหลี่ยม'' ({{lang|vi| |
ในวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2472 กลุ่มนิยมคอมมิวนิสต์ดังกล่าวได้ประชุมร่วมกันที่[[ฮานอย]] และตกลงจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน พรรคได้ออกหนังสือพิมพ์ ''บั๊วเหลี่ยม'' ({{lang|vi|Búa Liềm}}, "ค้อนและเคียว") หลังจากนั้นไม่นาน มีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อันนัมในอินโดจีน เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2472 และพรรคปฏิวัติใหม่แห่งเวียดนามที่ได้เปลี่ยนมาเป็นพันธมิตรคอมมิวนิสต์อินโดจีน ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2472 ต่อมา ใน พ.ศ. 2473 โฮจิมินห์ได้ประสานงานจนมีการรวมทั้งสามพรรคเข้าด้วยกันเป็นพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม |
||
==อ้างอิง== |
==อ้างอิง== |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:38, 1 เมษายน 2564
พรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน (อังกฤษ: Communist Party of Indochina; เวียดนาม: Đông Dương Cộng sản Đảng) เป็นพรรคคอมมิวนิสต์หนึ่งในสามพรรคที่เป็นต้นกำเนิดของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม โดยอีกสองพรรคคือ พรรคคอมมิวนิสต์อันนัม และพันธมิตรคอมมิวนิสต์อินโดจีน
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2471 สมาชิกหัวรุนแรงของสมาคมยุวชนเพื่อการปฏิวัติเวียดนามได้แก่ โฮจิมินห์, เจิ่น วัน กุง, เหงียน ดุ๊ก กั๋ญ, จิ่ญ ดิ่ญ กื๋ว, โด๋ หง็อก ซู, เซือง หัก ดิ๊ญ, โง ซา ตึ และกีม โตน ได้จัดตั้งกลุ่มคอมมิวนิสต์กลุ่มแรกในอินโดจีนฝรั่งเศส และได้ประกาศตัวเป็นศูนย์กลางของพรรคคอมมิวนิสต์ที่จะจัดตั้งขึ้นในอนาคต เจิ่น วัน กุงได้รับเลือกเป็นเลขาธิการของกลุ่ม ทั้งนี้ กุงและอีกสองคนคือจิ่ญ ดิ่ญ กื๋ว และกีม โตนได้เข้าร่วมการประชุมของสมาคมยุวชนเพื่อการปฏิวัติเวียดนาม ที่จัดในฮ่องกงเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2472 ในการประชุมครั้งนี้พวกเขาได้เสนอที่จะเปลี่ยนสมาคมไปเป็นพรรคคอมมิวนิสต์แต่ถูกปฏิเสธ ทั้งสามคนได้ประท้วงโดยออกจากห้องประชุม และถูกขับออกจากสมาคมในที่สุด
ในวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2472 กลุ่มนิยมคอมมิวนิสต์ดังกล่าวได้ประชุมร่วมกันที่ฮานอย และตกลงจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน พรรคได้ออกหนังสือพิมพ์ บั๊วเหลี่ยม (Búa Liềm, "ค้อนและเคียว") หลังจากนั้นไม่นาน มีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อันนัมในอินโดจีน เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2472 และพรรคปฏิวัติใหม่แห่งเวียดนามที่ได้เปลี่ยนมาเป็นพันธมิตรคอมมิวนิสต์อินโดจีน ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2472 ต่อมา ใน พ.ศ. 2473 โฮจิมินห์ได้ประสานงานจนมีการรวมทั้งสามพรรคเข้าด้วยกันเป็นพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
อ้างอิง
- (เวียดนาม) Institute of History. History of Vietnam, Volume VIII (the period of 1919-1930). Publisher of Social Science. Hanoi.
- แม่แบบ:Viicon "Hướng tới Lễ kỷ niệm 1000 năm Thăng Long-Hà Nội (1010-2010): "Những ngôi nhà lịch sử cách mạng" ở Hà Nội". Báo Xây dựng. 11 July 2008. สืบค้นเมื่อ 19 May 2011.
- Noung. The prehistory of the Vietnamese Communist Party. Everything2.com.
- Smith, R.B., 'The Foundation of the Indochinese Communist Party, 1929–1930', Modern Asian Studies, 32,4 (1998), p. 799.