ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สงครามกลางเมืองเนปาล"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Saeng Petchchai (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าใหม่: {{Infobox military conflict |conflict= สงครามกลางเมืองเนปาล |image= Ktm2006-malema.JPG |image_size= 300px |caption= Communist mur...
 
Saeng Petchchai (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 9: บรรทัด 9:
|result= [[ความตกลงสันติภาพสมบูรณ์แบบ]]
|result= [[ความตกลงสันติภาพสมบูรณ์แบบ]]
* เลือกตั้ง [[การเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเนปาล พ.ศ. 2551]]
* เลือกตั้ง [[การเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเนปาล พ.ศ. 2551]]
* [[พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (ลัทธิเหมา)]] เข้าสู่ [[การเมืองเนปาล]]
* [[พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (ลัทธิเหมา)]] เข้าสู่ [[การเมืองเนปาล]]
* สิ้นสุด [[ราชวงศ์เนปาล]]
* สิ้นสุด [[ราชวงศ์เนปาล]]
|combatant1= {{flagicon|Nepal}} [[ราชอาณาจักรเนปาล]]<br> {{small|(รัฐบาลเนปาล)}}
|combatant1= {{flagicon|Nepal}} [[ราชอาณาจักรเนปาล]]<br> {{small|(รัฐบาลเนปาล)}}
'''สนับสนุนโดย:'''<br>{{flagicon|United States}} [[สหรัฐอเมริกา]] <ref name="reliefweb">{{Cite web|url=https://reliefweb.int/report/nepal/nepals-maoist-cauldron-draws-foreign-powers-closer|title=Nepal's Maoist cauldron draws foreign powers closer|last=Miglani|first=Sanjeev|date=18 August 2003|website=|publisher=Reuters|archive-url=https://web.archive.org/web/20180529120217/https://reliefweb.int/report/nepal/nepals-maoist-cauldron-draws-foreign-powers-closer|archive-date=29 May 2018|dead-url=|access-date=}}</ref><br>{{flagicon|United Kingdom}} [[สหราชอาณาจักร]]<ref>[https://www.aljazeera.com/indepth/features/2014/09/uk-covert-acts-maoists-nepal-civil-war-mi6-201491883138233479.html]</ref><br>
'''สนับสนุนโดย:'''<br>{{flagicon|United States}} [[สหรัฐอเมริกา]] <ref name="reliefweb">{{Cite web|url=https://reliefweb.int/report/nepal/nepals-maoist-cauldron-draws-foreign-powers-closer|title=Nepal's Maoist cauldron draws foreign powers closer|last=Miglani|first=Sanjeev|date=18 August 2003|website=|publisher=Reuters|archive-url=https://web.archive.org/web/20180529120217/https://reliefweb.int/report/nepal/nepals-maoist-cauldron-draws-foreign-powers-closer|archive-date=29 May 2018|dead-url=|access-date=}}</ref><br>{{flagicon|United Kingdom}} [[สหราชอาณาจักร]]<ref>[https://www.aljazeera.com/indepth/features/2014/09/uk-covert-acts-maoists-nepal-civil-war-mi6-201491883138233479.html]</ref><br>


|combatant2= {{flagicon image|Flag of the Communist Party of Nepal (Maoist).svg}} [[พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (ลัทธิเหมา)]]<br>
|combatant2= {{flagicon image|Flag of the Communist Party of Nepal (Maoist).svg}} [[พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (ลัทธิเหมา)]]<br>
* [[กองทัพปลดปล่อยประชาชนเนปาล]]
* [[กองทัพปลดปล่อยประชาชนเนปาล]]
'''สนับสนุนโดย:'''<br>
'''สนับสนุนโดย:'''<br>
{{flagicon image|CPI-M-flag.svg}} [[พรรคคอมมิวนิสต์อินเดีย (ลัทธิเหมา)]]
{{flagicon image|CPI-M-flag.svg}} [[พรรคคอมมิวนิสต์อินเดีย (ลัทธิเหมา)]]


|commander1= {{flagicon|Nepal}} '''[[กษัตริย์เนปาล]]''':<br>[[Birendra of Nepal|Birendra Bir Bikram Shah Dev]] ({{small|1972-2001)}}<br>[[Gyanendra of Nepal|Gyanendra Bir Bikram Shah Dev]] ({{small|2001-08)}}<br> {{flagicon|Nepal}}'''[[นายกรัฐมนตรีเนปาล]]''':<br>[[Sher Bahadur Deuba]] ({{small|1995-1997; 2001-02; 2004-05}})<br>[[Lokendra Bahadur Chand]] ({{small|1997-1997; 2002-03}})<br>[[Surya Bahadur Thapa]] ({{small|1997-1998; 2003-04}})<br> [[Girija Prasad Koirala]] ({{small|1998-1999; 2000-01; 2006-08}})<br>[[Krishna Prasad Bhattarai]] ({{small|1999-2000}})<br> {{flagicon|Nepal}}'''ผู้บัญชาการกองทัพเนปาล:'''<br> [[Dharmapaal Barsingh Thapa]] ({{small|1995-1999}}) <br> Prajwalla Shumsher JBR ({{small|1999-2003}}) <br>[[Pyar Jung Thapa]] ({{small|2003-2006}}) <br>[[Rookmangud Katawal]] ({{small|2006-2009}})<br>{{flagicon|Nepal}}'''[[Inspector General of Police (Nepal)|IGP of Nepal Police]]:''' <br>[[Moti Lal Bohora]] ({{small|1992-1996}}) <br> [[Achyut Krishna Kharel]] ({{small|1996–1996; 1996-1999}}) <br> [[Dhruba Bahadur Pradhan]] ({{small|1996–1996}})<br> [[Pradip Shumsher J.B.R.]] ({{small|1999–2002}})<br> [[Shyam Bhakta Thapa]] ({{small|2002-2006}})<br>[[Om Bikram Rana]] ({{small|2006-2008}})
|commander1= {{flagicon|Nepal}} '''[[กษัตริย์เนปาล]]''':<br>[[สมเด็จพระราชาธิบดีพีเรนทระแห่งเนปาล]] ({{small|พ.ศ. 2515 - 2544)}}<br>[[ชญาเนนทระแห่งเนปาล]] ({{small|พ.ศ. 2544 - 2551)}}<br> {{flagicon|Nepal}}'''[[นายกรัฐมนตรีเนปาล]]''':<br>[[Sher Bahadur Deuba]] ({{small|1995-1997; 2001-02; 2004-05}})<br>[[Lokendra Bahadur Chand]] ({{small|1997-1997; 2002-03}})<br>[[Surya Bahadur Thapa]] ({{small|1997-1998; 2003-04}})<br> [[Girija Prasad Koirala]] ({{small|1998-1999; 2000-01; 2006-08}})<br>[[Krishna Prasad Bhattarai]] ({{small|1999-2000}})<br> {{flagicon|Nepal}}'''ผู้บัญชาการกองทัพเนปาล:'''<br> [[Dharmapaal Barsingh Thapa]] ({{small|1995-1999}}) <br> Prajwalla Shumsher JBR ({{small|1999-2003}}) <br>[[Pyar Jung Thapa]] ({{small|2003-2006}}) <br>[[Rookmangud Katawal]] ({{small|2006-2009}})<br>{{flagicon|Nepal}}'''[[Inspector General of Police (Nepal)|IGP of Nepal Police]]:''' <br>[[Moti Lal Bohora]] ({{small|1992-1996}}) <br> [[Achyut Krishna Kharel]] ({{small|1996–1996; 1996-1999}}) <br> [[Dhruba Bahadur Pradhan]] ({{small|1996–1996}})<br> [[Pradip Shumsher J.B.R.]] ({{small|1999–2002}})<br> [[Shyam Bhakta Thapa]] ({{small|2002-2006}})<br>[[Om Bikram Rana]] ({{small|2006-2008}})
|commander2= {{flagicon image|Flag of the Communist Party of Nepal (Maoist).svg}} [[Prachanda]]<br>{{small|([[Pushpa Kamal Dahal]])}}
|commander2= {{flagicon image|Flag of the Communist Party of Nepal (Maoist).svg}} [[Prachanda]]<br>{{small|([[Pushpa Kamal Dahal]])}}
<br>{{flagicon image|Flag of the Communist Party of Nepal (Maoist).svg}} [[Baburam Bhattarai]] {{small|Laldhwaj}}
<br>{{flagicon image|Flag of the Communist Party of Nepal (Maoist).svg}} [[Baburam Bhattarai]] {{small|Laldhwaj}}
บรรทัด 27: บรรทัด 27:
|strength2=
|strength2=
|casualties1=เสียชีวิต 4,500 คน<ref name="Douglas">Ed Douglas. "Inside Nepal's Revolution". ''[[National Geographic Magazine]]'', p. 54, November 2005.</ref>
|casualties1=เสียชีวิต 4,500 คน<ref name="Douglas">Ed Douglas. "Inside Nepal's Revolution". ''[[National Geographic Magazine]]'', p. 54, November 2005.</ref>
|casualties2= เสียชีวิต 8,200 คน<small>(ส่วนใหญ่)</small><ref name="Douglas"/>
|casualties2= เสียชีวิต 8,200 คน<small>(ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน)</small><ref name="Douglas"/>
|casualties3=เสียชีวิตทั้งหมด 17,800<ref>[http://reliefweb.int/report/nepal/17800-people-died-during-conflict-period-says-ministry-peace 17,800 people died during conflict period, says Ministry of Peace]</ref><br> สูญหาย 1,300 คน<ref>{{cite web|url=http://www.icmp.int/the-missing/where-are-the-missing/nepal/|title=}}</ref>
|casualties3=เสียชีวิตทั้งหมด 17,800<ref>[http://reliefweb.int/report/nepal/17800-people-died-during-conflict-period-says-ministry-peace 17,800 people died during conflict period, says Ministry of Peace]</ref><br> สูญหาย 1,300 คน<ref>{{cite web|url=http://www.icmp.int/the-missing/where-are-the-missing/nepal/|title=}}</ref>
}}
}}


'''สงครามกลางเมืองเนปาล''' (Nepalese Civil War) หรือเป็นที่รู้จักในนามความขัดแย้งลัทธิเหมา (Maoist Conflict ({{lang-ne|माओवादी जनयुद्ध}}; [[IAST]]:''māovādī janayuddha'') การก่อการร้ายลัทธิเหมา (Maoist Insurgency) หรือ การปฏิวัติลัทธิเหมา (Maoist Revolution) เป็นความขัดแย้งทางทหารที่กินเวลานาน 10 ปี ระหว่าง [[พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (ลัทธิเหมา)]] (CPN-M) และรัฐบาลเนปาล ต่อสู้ตั้งแต่ พ.ศ. 2539 - 2549 การต่อสู้นี้มักเรียกว่าเมาวาที ทวันทกาล (Maovadi Dwandakaal; {{lang-ne|द्वन्दकाल}}) ในเนปาล การกบฏโดยพรรคคอมมิวนิสต์เนปาลเริ่มขึ้นเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อล้มล้าง รัฐบาลของ[[ราชอาณาจักรเนปาล]] และจัดตั้ง[[สาธารณรัฐประชาชน]] เหตุการณ์นี้สิ้นสุดลงโดย [[ความตกลงสันติภาพสมบูรณ์แบบ]] ลงนามเมื่อ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ความขัดแย้งนี้ประกอบไปด้วยการใช้ [[การลงประชาทัณฑ์]] [[การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์]] การกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม การจับกุมและปกครองตนเอง การสอน[[ลัทธิคอมมิวนิสต์]] ความขัดแย้งต่อผู้ปกครองและ [[อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ]] การปฏิวัติทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 17,000 คน รวมทั้งพลเรือน กลุ่มก่อการร้าย เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ และมีชาวเนปาลพลัดถิ่นร่วมแสนคน ส่วนใหญ่ในเขตชนบท ตามรายงานของ INSEC เหยื่อของความตายในสงครามกลางเมืองเป็นผู้หญิง 1,665 ราย กองกำลังรัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าผู้หญิงร้อยละ 85 <ref>{{Cite web |title=Conflict Victim's Profile |publisher=INSEC |url=http://www.insec.org.np/victim/ |accessdate=3 May 2017 |archive-url=https://web.archive.org/web/20170506170532/http://www.insec.org.np/victim/ |archive-date=6 May 2017 |dead-url=yes |df=dmy-all }}</ref> การปฏิวัตินี้ประสบความสำเร็จในการล้มล้าง[[ราชวงศ์ชาห์]] ซึ่งเป็นราชวงศ์ฮินดูของ[[ราชอาณาจักรกูรข่า]]ที่ปกครองเนปาลมานาน 240 ปี และสถาปนาระบอบสาธารณรัฐที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมในประชาชนเนปาลซึ่งเรียกว่ากรัมภังกา (Krambhanga) หรือการทำลายความต่อเนื่อง (Breach of Continuity).
'''สงครามกลางเมืองเนปาล''' (Nepalese Civil War) หรือเป็นที่รู้จักในนามความขัดแย้งลัทธิเหมา (Maoist Conflict ({{lang-ne|माओवादी जनयुद्ध}}; [[IAST]]:''māovādī janayuddha'') การก่อการร้ายลัทธิเหมา (Maoist Insurgency) หรือ การปฏิวัติลัทธิเหมา (Maoist Revolution) เป็นความขัดแย้งทางทหารที่กินเวลานาน 10 ปี ระหว่าง [[พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (ลัทธิเหมา)]] (CPN-M) และรัฐบาลเนปาล ต่อสู้ตั้งแต่ พ.ศ. 2539 - 2549 การต่อสู้นี้มักเรียกว่าเมาวาที ทวันทกาล (Maovadi Dwandakaal; {{lang-ne|द्वन्दकाल}}) ในเนปาล การกบฏโดยพรรคคอมมิวนิสต์เนปาลเริ่มขึ้นเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อล้มล้าง รัฐบาลของ[[ราชอาณาจักรเนปาล]] และจัดตั้ง[[สาธารณรัฐประชาชน]] เหตุการณ์นี้สิ้นสุดลงโดย [[ความตกลงสันติภาพสมบูรณ์แบบ]] ลงนามเมื่อ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ความขัดแย้งนี้ประกอบไปด้วยการใช้ [[การลงประชาทัณฑ์]] [[การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์]] การกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม การจับกุมและปกครองตนเอง การสอน[[ลัทธิคอมมิวนิสต์]] ความขัดแย้งต่อผู้ปกครองและ [[อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ]] การปฏิวัติทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 17,000 คน รวมทั้งพลเรือน กลุ่มก่อการร้าย เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ และมีชาวเนปาลพลัดถิ่นร่วมแสนคน ส่วนใหญ่ในเขตชนบท ตามรายงานของ INSEC เหยื่อของความตายในสงครามกลางเมืองเป็นผู้หญิง 1,665 ราย กองกำลังรัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าผู้หญิงร้อยละ 85 <ref>{{Cite web |title=Conflict Victim's Profile |publisher=INSEC |url=http://www.insec.org.np/victim/ |accessdate=3 May 2017 |archive-url=https://web.archive.org/web/20170506170532/http://www.insec.org.np/victim/ |archive-date=6 May 2017 |dead-url=yes |df=dmy-all }}</ref> การปฏิวัตินี้ประสบความสำเร็จในการล้มล้าง[[ราชวงศ์ศาห์]] ซึ่งเป็นราชวงศ์ฮินดูของ[[ราชอาณาจักรกูรข่า]]ที่ปกครองเนปาลมานาน 240 ปี และสถาปนาระบอบสาธารณรัฐที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมในประชาชนเนปาลซึ่งเรียกว่ากรัมภังกา (Krambhanga) หรือการทำลายความต่อเนื่อง (Breach of Continuity).


==ภาพรวม==
==ภาพรวม==
บรรทัด 38: บรรทัด 38:
ในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2533 ได้ก่อตั้ง [[สหแนวร่วมฝ่ายซ้าย (เนปาล 2533)]]ขึ้น <ref name="Lawoti-Pahadi">{{cite book |author=Mahendra Lawoti and Anup K. Pahadi, editors |title=The Maoist Insurgency in Nepal: Revolution in the twenty-first century |year=2010 |publisher=Routledge |isbn=978-0-415-77717-9 }}</ref>{{rp|331}} และมี [[พรรคคองเกรสเนปาล]] เป็นแกนของการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง อย่างไรก็ตาม กลุ่มคอมมิวนิสต์ไม่สบายใจในการเป็นพันธมิตรกับสหแนวร่วมฝ่ายซ้ายและพรรคคองเกรสเนปาล และได้จัดตั้งแนวร่วมคู่ขนานคือขบวนการประชาชนสหชาติ (UNPM) ขบวนการนี้เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งสภาตามรัฐธรรมนูญ และปฏิเสธกระบวนการของสหแนวร่วมฝ่ายซ้ายและพรรคคองเกรสเนปาลที่เป็นฝ่ายนิยมกษัตริย์ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2533 ได้จัดตั้ง[[พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (สหภาพกลาง)]] หรือ CPN(UC) ซึ่งมีสมาชิกที่สำคัญของขบวนการประชาชนสหชาติด้วย ต่อมา เมื่อ 21 มกราคม พ.ศ. 2534 พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (สหภาพกลาง) จัดตั้ง [[แนวร่วมสหประชาชนแห่งเนปาล]] โดยมี [[พาพูรัม ภัตตาไร]] เป็นหัวหน้า และจัดตั้งองค์กรแนวร่วมเพื่อเข้าร่วมการเลือกตั้ง <ref name="Lawoti-Pahari">{{cite book |author=Mahendra Lawoti and Anup K. Pahari, editors |title=The Maoist Insurgency in Nepal: Revolution in the twenty-first century |year=2010 |publisher=Routledge |isbn=978-0-415-77717-9 }}</ref>{{rp|332}} พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (สหภาพกลาง) จัดการประชุมครั้งแรกเมื่อ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|332}} จัดตั้งแนวทางของ "การต่อสู้ด้วยอาวุธเพื่อการปฏิวัติประชาธิปไตยใหม่",<ref>{{cite book |author=Manesh Sreshtha and Bishnu Adhikari |title=Internal Displacement in South Asia: The Relevance of the UN's Guiding Principles |year=2005 |publisher=Sage |isbn=0-7619-3313-1}}</ref> และตัดสินใจที่จะเป็นพรรคการเมืองใต้ดินต่อไป ใน [[การเลือกตั้งสภานิติบัญญัติเนปาล พ.ศ. 2534]] แนวร่วมสหประชาชนแห่งเนปาลกลายเป็นพรรคใหญ่อันดับสามในรัฐสภาเนปาล อย่างไรก็ตาม ปัญหาภายในแนวร่วมสหประชาชนแห่งเนปาลเกิดขึ้นเกี่ยวกับกลยุทธของพรรค กลุ่มหนึ่ง นำโดย [[ปุศปา กามาล ทาหัล (ฉายาประจันทา)]] ต้องการให้มีการปฏิวัติโดยทันทีด้วยอาวุธ อีกกลุ่มหนึ่งนำโดยนีร์มัล ลามา เห็นว่าสถานการณ์ในเนปาลยังไม่สุกงอมสำหรับการต่อสู้ด้วยอาวุธ <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|332}}
ในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2533 ได้ก่อตั้ง [[สหแนวร่วมฝ่ายซ้าย (เนปาล 2533)]]ขึ้น <ref name="Lawoti-Pahadi">{{cite book |author=Mahendra Lawoti and Anup K. Pahadi, editors |title=The Maoist Insurgency in Nepal: Revolution in the twenty-first century |year=2010 |publisher=Routledge |isbn=978-0-415-77717-9 }}</ref>{{rp|331}} และมี [[พรรคคองเกรสเนปาล]] เป็นแกนของการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง อย่างไรก็ตาม กลุ่มคอมมิวนิสต์ไม่สบายใจในการเป็นพันธมิตรกับสหแนวร่วมฝ่ายซ้ายและพรรคคองเกรสเนปาล และได้จัดตั้งแนวร่วมคู่ขนานคือขบวนการประชาชนสหชาติ (UNPM) ขบวนการนี้เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งสภาตามรัฐธรรมนูญ และปฏิเสธกระบวนการของสหแนวร่วมฝ่ายซ้ายและพรรคคองเกรสเนปาลที่เป็นฝ่ายนิยมกษัตริย์ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2533 ได้จัดตั้ง[[พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (สหภาพกลาง)]] หรือ CPN(UC) ซึ่งมีสมาชิกที่สำคัญของขบวนการประชาชนสหชาติด้วย ต่อมา เมื่อ 21 มกราคม พ.ศ. 2534 พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (สหภาพกลาง) จัดตั้ง [[แนวร่วมสหประชาชนแห่งเนปาล]] โดยมี [[พาพูรัม ภัตตาไร]] เป็นหัวหน้า และจัดตั้งองค์กรแนวร่วมเพื่อเข้าร่วมการเลือกตั้ง <ref name="Lawoti-Pahari">{{cite book |author=Mahendra Lawoti and Anup K. Pahari, editors |title=The Maoist Insurgency in Nepal: Revolution in the twenty-first century |year=2010 |publisher=Routledge |isbn=978-0-415-77717-9 }}</ref>{{rp|332}} พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (สหภาพกลาง) จัดการประชุมครั้งแรกเมื่อ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|332}} จัดตั้งแนวทางของ "การต่อสู้ด้วยอาวุธเพื่อการปฏิวัติประชาธิปไตยใหม่",<ref>{{cite book |author=Manesh Sreshtha and Bishnu Adhikari |title=Internal Displacement in South Asia: The Relevance of the UN's Guiding Principles |year=2005 |publisher=Sage |isbn=0-7619-3313-1}}</ref> และตัดสินใจที่จะเป็นพรรคการเมืองใต้ดินต่อไป ใน [[การเลือกตั้งสภานิติบัญญัติเนปาล พ.ศ. 2534]] แนวร่วมสหประชาชนแห่งเนปาลกลายเป็นพรรคใหญ่อันดับสามในรัฐสภาเนปาล อย่างไรก็ตาม ปัญหาภายในแนวร่วมสหประชาชนแห่งเนปาลเกิดขึ้นเกี่ยวกับกลยุทธของพรรค กลุ่มหนึ่ง นำโดย [[ปุศปา กามาล ทาหัล (ฉายาประจันทา)]] ต้องการให้มีการปฏิวัติโดยทันทีด้วยอาวุธ อีกกลุ่มหนึ่งนำโดยนีร์มัล ลามา เห็นว่าสถานการณ์ในเนปาลยังไม่สุกงอมสำหรับการต่อสู้ด้วยอาวุธ <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|332}}


ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 แนวร่วมสหประชาชนแห่งเนปาลแตกออกเป็น 2 องค์กร ส่วนที่เป็นองค์กรฝ่ายทหารเปลี่ยนชื่อเป็น [[พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (ลัทธิเหมา)]] หรือ CPN(M) องค์กรนี้เรียกกองกำลังของรัฐบาล พรรคการเมืองกระแสหลักและราชวงศ์ ว่าเป็นกองกำลังระบบฟิวดัล การสู้รบด้วยอาวุธเริ่มขึ้นเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (ลัทธิเหมา) เปิดการโจมตี 7 แห่งในพื้นที่ 6 ตำบล <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|333}} ในช่วงแรก รัฐบาลเนปาลให้ [[ตำรวจเนปาล]] เข้าระงับเหตุฉุกเฉิน กองทัพเนปาลไม่ได้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้โดยตรง เพราะความขัดแย้งนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ตำรวจสามารถระงับเหตุได้ กองทัพเนปาลจึงไม่ได้ช่วยตำรวจระหว่างการโจมตีในพื้นที่ห่างไกล ในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 นายกรัฐมนตรี [[คิริชา ประสาท กอยราละ]] ลาออกเพราะไม่สามารถควบคุมการก่อการร้ายของกบฏลัทธิเหมาได้ และทหารปฏิเสธเข้าร่วมในการปราบปรามความขัดแย้ง <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|335}} เมื่อ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 รัฐบาลของ [[เชอร์ พาหาทูร์ เทวพา]] และกลุ่มก่อการร้ายลัทธิเหมาประกาศหยุดยิง และเกิดการเจรจาสันติภาพระหว่างสิงหาคม-พฤศจิกายนของปีนั้น <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|335}} ความล้มเหลวของการเจรจาสันติภาพทำให้ความขัดแย้งทางทหารเกิดขึ้นอีกครั้ง โดยกบฏลัทธิเหมาโจมตีค่ายทหารที่ตำบลทัง เทวคูรี ทางเนปาลตะวันตกเมื่อ 22 พฤศจิกายน <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|335}} ซึ่งเกิดการสู้รบที่รุนแรงตลอดคืน สถานการณ์การก่อการร้ายค่อยๆเปลี่ยนแปลงใน พ.ศ. 2545 จำนวนการโจมตีของทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้น และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|309}}
ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 แนวร่วมสหประชาชนแห่งเนปาลแตกออกเป็น 2 องค์กร ส่วนที่เป็นองค์กรฝ่ายทหารเปลี่ยนชื่อเป็น [[พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (ลัทธิเหมา)]] หรือ CPN(M) องค์กรนี้เรียกกองกำลังของรัฐบาล พรรคการเมืองกระแสหลักและราชวงศ์ ว่าเป็นกองกำลังระบบฟิวดัล การสู้รบด้วยอาวุธเริ่มขึ้นเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (ลัทธิเหมา) เปิดการโจมตี 7 แห่งในพื้นที่ 6 ตำบล <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|333}} ในช่วงแรก รัฐบาลเนปาลให้ [[ตำรวจเนปาล]] เข้าระงับเหตุฉุกเฉิน กองทัพเนปาลไม่ได้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้โดยตรง เพราะความขัดแย้งนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ตำรวจสามารถระงับเหตุได้ กองทัพเนปาลจึงไม่ได้ช่วยตำรวจระหว่างการโจมตีในพื้นที่ห่างไกล ในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 นายกรัฐมนตรี [[คิริชา ประสาท กอยราละ]] ลาออกเพราะไม่สามารถควบคุมการก่อการร้ายของกบฏลัทธิเหมาได้ และทหารปฏิเสธเข้าร่วมในการปราบปรามความขัดแย้ง <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|335}} เมื่อ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 รัฐบาลของ [[เชอร์ พาหาทูร์ เทวพา]] และกลุ่มก่อการร้ายลัทธิเหมาประกาศหยุดยิง และเกิดการเจรจาสันติภาพระหว่างสิงหาคม-พฤศจิกายนของปีนั้น <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|335}} ความล้มเหลวของการเจรจาสันติภาพทำให้ความขัดแย้งทางทหารเกิดขึ้นอีกครั้ง โดยกบฏลัทธิเหมาโจมตีค่ายทหารที่ตำบลทัง เทวคูรี ทางเนปาลตะวันตกเมื่อ 22 พฤศจิกายน <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|335}} ซึ่งเกิดการสู้รบที่รุนแรงตลอดคืน สถานการณ์การก่อการร้ายค่อยๆเปลี่ยนแปลงใน พ.ศ. 2545 จำนวนการโจมตีของทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้น และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|309}}


รัฐบาลตอบสนองต่อการก่อการร้ายโดยการคว่ำบาตรกลุ่มต่อต้านราชวงศ์ <ref>{{Cite web |title=Anti-king remarks intolerable: Lohani |publisher=NepalNews: The Kathmandu Post |date=20 December 2003 |url=http://www.nepalnews.com.np/contents/englishdaily/ktmpost/2003/dec/dec21/ |accessdate=22 November 2006 |archiveurl = https://web.archive.org/web/20041114013039/http://www.nepalnews.com.np/contents/englishdaily/ktmpost/2003/dec/dec21/ |archivedate = 14 November 2004}}</ref> จำคุกสื่อมวลชนและปิดหนังสือพิมพ์ที่ถูกกล่าวหาว่าเข้าข้างกลุ่มก่อการร้าย มีการเจรจาและการหยุดยิงชั่วคราวหลายครั้งระหว่างกลุ่มก่อการร้ายกับรัฐบาล รัฐบาลปฏิเสธความต้องการของกลุ่มก่อการร้ายที่ต้องการให้เลือกตั้งสภารัฐธรรมนูญเพราะกลัวจะเป็นการล้มเลิกราชวงศ์โดยการออกเสียงของประชาชน ในเวลาเดียวกัน กลุมกบฏลัทธิเหมาปฏิเสธการจัดตั้งราชวงศ์ไว้ในรัฐธรรมนูญ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 รัฐบาลปฏิเสธข้อเรียกร้องของกบฏลัทธิเหมาที่ต้องการเจรจาโดยตรงกับกษัตริย์[[กยาเนนทรา]] มากกว่าการเจรจากับนายกรัฐมนตรีเชอร์ พาหาทูร์ เทวพา และการเรียกร้องให้มีผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นบุคคลที่สามเช่น สหประชาชาติ
รัฐบาลตอบสนองต่อการก่อการร้ายโดยการคว่ำบาตรกลุ่มต่อต้านราชวงศ์ <ref>{{Cite web |title=Anti-king remarks intolerable: Lohani |publisher=NepalNews: The Kathmandu Post |date=20 December 2003 |url=http://www.nepalnews.com.np/contents/englishdaily/ktmpost/2003/dec/dec21/ |accessdate=22 November 2006 |archiveurl = https://web.archive.org/web/20041114013039/http://www.nepalnews.com.np/contents/englishdaily/ktmpost/2003/dec/dec21/ |archivedate = 14 November 2004}}</ref> จำคุกสื่อมวลชนและปิดหนังสือพิมพ์ที่ถูกกล่าวหาว่าเข้าข้างกลุ่มก่อการร้าย มีการเจรจาและการหยุดยิงชั่วคราวหลายครั้งระหว่างกลุ่มก่อการร้ายกับรัฐบาล รัฐบาลปฏิเสธความต้องการของกลุ่มก่อการร้ายที่ต้องการให้เลือกตั้งสภารัฐธรรมนูญเพราะกลัวจะเป็นการล้มเลิกราชวงศ์โดยการออกเสียงของประชาชน ในเวลาเดียวกัน กลุมกบฏลัทธิเหมาปฏิเสธการจัดตั้งราชวงศ์ไว้ในรัฐธรรมนูญ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 รัฐบาลปฏิเสธข้อเรียกร้องของกบฏลัทธิเหมาที่ต้องการเจรจาโดยตรงกับกษัตริย์ชญาเนนทระ มากกว่าการเจรจากับนายกรัฐมนตรีเชอร์ พาหาทูร์ เทวพา และการเรียกร้องให้มีผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นบุคคลที่สามเช่น สหประชาชาติ


ตลอดสงคราม รัฐบาลควบคุมได้เฉพาะเมืองหลัก กลุ่มลัทธิเหมาควบคุมพื้นที่ในชนบท ซึ่งเป็นผลมาจากข้อเท็จริงที่ว่าหน่วยงานและสถาบันของรัฐบาลตั้งอยู่ที่เมืองหลวง [[กาฏมาณฑุ]] หรือบริเวณตัวเมืองของแต่ละตำบล ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2547 [[กาฏมาณฑุ]] อยู่ภายใต้การควบคุมของกบฏ โดยกลุ่มลัทธิเหมาสามารถปิดล้อมเมืองได้เป็นสัปดาห์<ref>{{Cite web |title=Maoist rebels call off Kathmandu blockade |publisher=The Guardian |date=24 August 2004 |url=https://www.theguardian.com/world/2004/aug/24/nepal |accessdate=6 January 2018}}</ref>
ตลอดสงคราม รัฐบาลควบคุมได้เฉพาะเมืองหลัก กลุ่มลัทธิเหมาควบคุมพื้นที่ในชนบท ซึ่งเป็นผลมาจากข้อเท็จริงที่ว่าหน่วยงานและสถาบันของรัฐบาลตั้งอยู่ที่เมืองหลวง [[กาฏมาณฑุ]] หรือบริเวณตัวเมืองของแต่ละตำบล ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2547 [[กาฏมาณฑุ]] อยู่ภายใต้การควบคุมของกบฏ โดยกลุ่มลัทธิเหมาสามารถปิดล้อมเมืองได้เป็นสัปดาห์<ref>{{Cite web |title=Maoist rebels call off Kathmandu blockade |publisher=The Guardian |date=24 August 2004 |url=https://www.theguardian.com/world/2004/aug/24/nepal |accessdate=6 January 2018}}</ref>


ภายใต้โล่ของสงครามต่อต้านการก่อการร้ายระดับโลกและเป้าหมายของการทำให้เป็นรัฐล้มเหลว ซึ่งทำให้เกิดความวุ่นวายภายในประเทศ [[สหรัฐอเมริกา]] [[สหราชอาณาจักร]] และ [[อินเดีย]] ให้ความช่วยเหลือทางทหารและเศรษฐกิจแก่รัฐบาลเนปาล เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เพื่อตอบต่อการที่รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยไม่สามารถแก้ปัญหาได้ กษัตริย์กยาเนนทราเข้าควบคุมประเทศเนปาลเพื่อยุติการก่อการร้าย <ref>{{Cite web |title=Royal Proclamation of February 1, 2005 |publisher=Nepal Monarchy |date=4 May 2012 |url=http://www.nepalroyal.com/proclamationsfeb012005/ |accessdate=6 January 2018 |archive-url=https://web.archive.org/web/20171016080039/http://www.nepalroyal.com/proclamationsfeb012005/ |archive-date=16 October 2017 |dead-url=yes |df=dmy-all }}</ref> ผลจากการเข้าควบคุม สหราชอาณาจักรและอินเดียระงับการสนับสนุนเนปาล <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|337}} ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 เพื่อตอบโต้การยึดอำนาจของกษัตริย์กยาเนนทรา พรรคการเมือง 7 พรรคได้จัดตั้งกลุ่ม [[พันธมิตร 7 พรรค]] (SPA) ขึ้น<ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|338}} ต่อมา 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 กลุ่มกบฏลัทธิเหมาและพันธมิตร 7 พรรคที่ได้รับการสนับสนุนจากอินเดีย ร่วมมือกันเสนอข้อเรียกร้อง 12 ข้อ ซึ่งอธิบายว่าระบอบราชาธิปไตยเป็นอุปสรรคที่สำคัญของประชาธิปไตย สันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง การยกระดับของสังคม เอกราช และอธิปไตยของเนปาล <ref>{{Cite web |title=12-point Maoist MoU |publisher=Nepali Times |date=25 November 2005 |url=http://nepalitimes.com/news.php?id=9190#.WlGCYijPxFQ |accessdate=6 January 2018}}</ref> รวมทั้งเรียกร้องให้เลือกตั้งสภารัฐธรรมนูญและละทิ้งการใช้ความรุนแรงของกลุ่มกบฏลัทธิเหมา <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|339}}
ภายใต้โล่ของสงครามต่อต้านการก่อการร้ายระดับโลกและเป้าหมายของการทำให้เป็นรัฐล้มเหลว ซึ่งทำให้เกิดความวุ่นวายภายในประเทศ [[สหรัฐอเมริกา]] [[สหราชอาณาจักร]] และ [[อินเดีย]] ให้ความช่วยเหลือทางทหารและเศรษฐกิจแก่รัฐบาลเนปาล เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เพื่อตอบต่อการที่รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยไม่สามารถแก้ปัญหาได้ กษัตริย์ชญาเนนทระเข้าควบคุมประเทศเนปาลเพื่อยุติการก่อการร้าย <ref>{{Cite web |title=Royal Proclamation of February 1, 2005 |publisher=Nepal Monarchy |date=4 May 2012 |url=http://www.nepalroyal.com/proclamationsfeb012005/ |accessdate=6 January 2018 |archive-url=https://web.archive.org/web/20171016080039/http://www.nepalroyal.com/proclamationsfeb012005/ |archive-date=16 October 2017 |dead-url=yes |df=dmy-all }}</ref> ผลจากการเข้าควบคุม สหราชอาณาจักรและอินเดียระงับการสนับสนุนเนปาล <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|337}} ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 เพื่อตอบโต้การยึดอำนาจของกษัตริย์ชญาเนนทระ พรรคการเมือง 7 พรรคได้จัดตั้งกลุ่ม [[พันธมิตร 7 พรรค]] (SPA) ขึ้น<ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|338}} ต่อมา 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 กลุ่มกบฏลัทธิเหมาและพันธมิตร 7 พรรคที่ได้รับการสนับสนุนจากอินเดีย ร่วมมือกันเสนอข้อเรียกร้อง 12 ข้อ ซึ่งอธิบายว่าระบอบราชาธิปไตยเป็นอุปสรรคที่สำคัญของประชาธิปไตย สันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง การยกระดับของสังคม เอกราช และอธิปไตยของเนปาล <ref>{{Cite web |title=12-point Maoist MoU |publisher=Nepali Times |date=25 November 2005 |url=http://nepalitimes.com/news.php?id=9190#.WlGCYijPxFQ |accessdate=6 January 2018}}</ref> รวมทั้งเรียกร้องให้เลือกตั้งสภารัฐธรรมนูญและละทิ้งการใช้ความรุนแรงของกลุ่มกบฏลัทธิเหมา <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|339}}


ใน พ.ศ. 2549 ความขัดแย้งที่รุนแรงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และเกิดกระแสประชาธิปไตยขึ้น <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|339}} ตลอดเดือนเมษายน พ.ศ. 2549 มีการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยทั่วเนปาล ผู้ชุมนุมในกาฏมาณฑุราว 400 คนถูกจับกุม มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 10 คน ในวันที่ 21 เมษายน กษัตริย์กยาเนนทราประกาศคืนอำนาจให้แก่นายกรัฐมนตรีที่มาจากพันธมิตร 7 พรรค แต่ทั้งกบฏลัทธิเหมาและพันธมิตร 7 พรรคปฏิเสธ <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|339}} ในวันที่ 24 เมษายน กษัตริย์กยาเนนทราประกาศคืนสิทธิกาสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นที่พอใจของพันธมิตร 7 พรรค ที่ได้จัดตั้งสภาผู้แทนราษฎรขึ้นอีก <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|339}} กลุ่มกบฏลัทธิเหมายังคงต่อต้าน และในวันที่ 2 มิถุนายน ในกาฏมาณฑุ กลุ่มกบฏลัทธิเหมาจัดชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย มีประชาชนเข้าร่วมมากกว่า 200,000 คน<ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|339–340}} ในวันที่ 9 สิงหาคม รัฐบาลและกลุ่มกบฏลัทธิเหมาตกลงที่จะยอมให้สหประชาชาติเข้ามาตรวจสอบกระบวนการสันติภาพและปลดอาวุธทั้งสองฝ่าย <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|340}} ในวันที่ 21 พฤศจิกายน รัฐบาลกลุ่มพันธมิตร 7 พรรค และกลุ่มกบฏลัทธิเหมาลงนามในความตกลงสันติภาพสมบูรณ์แบบ ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสงครามกลางเมือง <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|340}}
ใน พ.ศ. 2549 ความขัดแย้งที่รุนแรงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และเกิดกระแสประชาธิปไตยขึ้น <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|339}} ตลอดเดือนเมษายน พ.ศ. 2549 มีการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยทั่วเนปาล ผู้ชุมนุมในกาฏมาณฑุราว 400 คนถูกจับกุม มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 10 คน ในวันที่ 21 เมษายน กษัตริย์ชญาเนนทระประกาศคืนอำนาจให้แก่นายกรัฐมนตรีที่มาจากพันธมิตร 7 พรรค แต่ทั้งกบฏลัทธิเหมาและพันธมิตร 7 พรรคปฏิเสธ <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|339}} ในวันที่ 24 เมษายน กษัตริย์ชญาเนนทระประกาศคืนสิทธิกาสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นที่พอใจของพันธมิตร 7 พรรค ที่ได้จัดตั้งสภาผู้แทนราษฎรขึ้นอีก <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|339}} กลุ่มกบฏลัทธิเหมายังคงต่อต้าน และในวันที่ 2 มิถุนายน ในกาฏมาณฑุ กลุ่มกบฏลัทธิเหมาจัดชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย มีประชาชนเข้าร่วมมากกว่า 200,000 คน<ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|339–340}} ในวันที่ 9 สิงหาคม รัฐบาลและกลุ่มกบฏลัทธิเหมาตกลงที่จะยอมให้สหประชาชาติเข้ามาตรวจสอบกระบวนการสันติภาพและปลดอาวุธทั้งสองฝ่าย <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|340}} ในวันที่ 21 พฤศจิกายน รัฐบาลกลุ่มพันธมิตร 7 พรรค และกลุ่มกบฏลัทธิเหมาลงนามในความตกลงสันติภาพสมบูรณ์แบบ ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสงครามกลางเมือง <ref name="Lawoti-Pahari" />{{rp|340}}


สงครามกลางเมืองบีบให้คนหนุ่มสาวต้องไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะในอ่างเปอร์เซียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเคลื่อนย้ายแรงงานทำให้เนปาลพบกับปัญหาเศรษฐกิจที่ยุ่งยาก เศรษฐกิจของเนปาลต้องพึ่งพารายได้จากแรงงานที่ไปทำงานต่างชาติ (คล้ายกับเศรษฐกิจเลบานอนในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองเลบานอน) ผลจากสงครามกลางเมือง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเนปาลได้รับความเดือดร้อน เนปาลลดอับดับจากดินแดนที่น่าไปเที่นวอันดับ 10 เหลือเพียงอันดับที่ 27
สงครามกลางเมืองบีบให้คนหนุ่มสาวต้องไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะในอ่างเปอร์เซียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเคลื่อนย้ายแรงงานทำให้เนปาลพบกับปัญหาเศรษฐกิจที่ยุ่งยาก เศรษฐกิจของเนปาลต้องพึ่งพารายได้จากแรงงานที่ไปทำงานต่างชาติ (คล้ายกับเศรษฐกิจเลบานอนในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองเลบานอน) ผลจากสงครามกลางเมือง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเนปาลได้รับความเดือดร้อน เนปาลลดอับดับจากดินแดนที่น่าไปเที่นวอันดับ 10 เหลือเพียงอันดับที่ 27

รุ่นแก้ไขเมื่อ 23:15, 28 พฤษภาคม 2562

สงครามกลางเมืองเนปาล

Communist mural in Kathmandu. It reads: "Long Live Marxism-Leninism-Maoism and Prachanda Path."
วันที่13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 – 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
(10 ปี 9 เดือน 1 สัปดาห์ 1 วัน)
สถานที่
ผล

ความตกลงสันติภาพสมบูรณ์แบบ

คู่สงคราม

เนปาล ราชอาณาจักรเนปาล
(รัฐบาลเนปาล)

สนับสนุนโดย:
สหรัฐ สหรัฐอเมริกา [1]
สหราชอาณาจักร สหราชอาณาจักร[2]

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (ลัทธิเหมา)

สนับสนุนโดย:

พรรคคอมมิวนิสต์อินเดีย (ลัทธิเหมา)
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
เนปาล กษัตริย์เนปาล:
สมเด็จพระราชาธิบดีพีเรนทระแห่งเนปาล (พ.ศ. 2515 - 2544)
ชญาเนนทระแห่งเนปาล (พ.ศ. 2544 - 2551)
เนปาลนายกรัฐมนตรีเนปาล:
Sher Bahadur Deuba (1995-1997; 2001-02; 2004-05)
Lokendra Bahadur Chand (1997-1997; 2002-03)
Surya Bahadur Thapa (1997-1998; 2003-04)
Girija Prasad Koirala (1998-1999; 2000-01; 2006-08)
Krishna Prasad Bhattarai (1999-2000)
เนปาลผู้บัญชาการกองทัพเนปาล:
Dharmapaal Barsingh Thapa (1995-1999)
Prajwalla Shumsher JBR (1999-2003)
Pyar Jung Thapa (2003-2006)
Rookmangud Katawal (2006-2009)
เนปาลIGP of Nepal Police:
Moti Lal Bohora (1992-1996)
Achyut Krishna Kharel (1996–1996; 1996-1999)
Dhruba Bahadur Pradhan (1996–1996)
Pradip Shumsher J.B.R. (1999–2002)
Shyam Bhakta Thapa (2002-2006)
Om Bikram Rana (2006-2008)

Prachanda
(Pushpa Kamal Dahal)
Baburam Bhattarai Laldhwaj
Mohan Baidya (Kiran)


Nanda Kishor Pun
(Pasang)
ความสูญเสีย
เสียชีวิต 4,500 คน[3] เสียชีวิต 8,200 คน(ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน)[3]
เสียชีวิตทั้งหมด 17,800[4]
สูญหาย 1,300 คน[5]

สงครามกลางเมืองเนปาล (Nepalese Civil War) หรือเป็นที่รู้จักในนามความขัดแย้งลัทธิเหมา (Maoist Conflict (เนปาล: माओवादी जनयुद्ध; IAST:māovādī janayuddha) การก่อการร้ายลัทธิเหมา (Maoist Insurgency) หรือ การปฏิวัติลัทธิเหมา (Maoist Revolution) เป็นความขัดแย้งทางทหารที่กินเวลานาน 10 ปี ระหว่าง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (ลัทธิเหมา) (CPN-M) และรัฐบาลเนปาล ต่อสู้ตั้งแต่ พ.ศ. 2539 - 2549 การต่อสู้นี้มักเรียกว่าเมาวาที ทวันทกาล (Maovadi Dwandakaal; เนปาล: द्वन्दकाल) ในเนปาล การกบฏโดยพรรคคอมมิวนิสต์เนปาลเริ่มขึ้นเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อล้มล้าง รัฐบาลของราชอาณาจักรเนปาล และจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชน เหตุการณ์นี้สิ้นสุดลงโดย ความตกลงสันติภาพสมบูรณ์แบบ ลงนามเมื่อ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ความขัดแย้งนี้ประกอบไปด้วยการใช้ การลงประชาทัณฑ์ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม การจับกุมและปกครองตนเอง การสอนลัทธิคอมมิวนิสต์ ความขัดแย้งต่อผู้ปกครองและ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ การปฏิวัติทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 17,000 คน รวมทั้งพลเรือน กลุ่มก่อการร้าย เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ และมีชาวเนปาลพลัดถิ่นร่วมแสนคน ส่วนใหญ่ในเขตชนบท ตามรายงานของ INSEC เหยื่อของความตายในสงครามกลางเมืองเป็นผู้หญิง 1,665 ราย กองกำลังรัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าผู้หญิงร้อยละ 85 [6] การปฏิวัตินี้ประสบความสำเร็จในการล้มล้างราชวงศ์ศาห์ ซึ่งเป็นราชวงศ์ฮินดูของราชอาณาจักรกูรข่าที่ปกครองเนปาลมานาน 240 ปี และสถาปนาระบอบสาธารณรัฐที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมในประชาชนเนปาลซึ่งเรียกว่ากรัมภังกา (Krambhanga) หรือการทำลายความต่อเนื่อง (Breach of Continuity).

ภาพรวม

ประชาชนมากกว่า 17,000 คน (ทั้งทหารและพลเรือน) เสียชีวิตระหว่างความขัดแย้งนี้ รวมทั้งชาวเนปาลมากกว่า 4,000 คนที่ถูกฆ่าโดยกลุ่มกบฏลัทธิเหมาระหว่าง พ.ศ. 2539 – 2548 และชาวเนปาลมากกว่า 8,200 คนถูกฆ่าโดยกองกำลังของรัฐฐาลระหว่าง พ.ศ. 2539 – 2548 [3] นอกจากนั้น มีชาวเนปาล 100,000 - 150,000 คนเป็นผู้พลัดถิ่นภายในประเทศซึ่งเป็นผลมาจากความขัดแย้ง และยังเป็นการขัดขวางการพัฒนาชนบท

ในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2533 ได้ก่อตั้ง สหแนวร่วมฝ่ายซ้าย (เนปาล 2533)ขึ้น [7]: 331  และมี พรรคคองเกรสเนปาล เป็นแกนของการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง อย่างไรก็ตาม กลุ่มคอมมิวนิสต์ไม่สบายใจในการเป็นพันธมิตรกับสหแนวร่วมฝ่ายซ้ายและพรรคคองเกรสเนปาล และได้จัดตั้งแนวร่วมคู่ขนานคือขบวนการประชาชนสหชาติ (UNPM) ขบวนการนี้เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งสภาตามรัฐธรรมนูญ และปฏิเสธกระบวนการของสหแนวร่วมฝ่ายซ้ายและพรรคคองเกรสเนปาลที่เป็นฝ่ายนิยมกษัตริย์ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2533 ได้จัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (สหภาพกลาง) หรือ CPN(UC) ซึ่งมีสมาชิกที่สำคัญของขบวนการประชาชนสหชาติด้วย ต่อมา เมื่อ 21 มกราคม พ.ศ. 2534 พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (สหภาพกลาง) จัดตั้ง แนวร่วมสหประชาชนแห่งเนปาล โดยมี พาพูรัม ภัตตาไร เป็นหัวหน้า และจัดตั้งองค์กรแนวร่วมเพื่อเข้าร่วมการเลือกตั้ง [8]: 332  พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (สหภาพกลาง) จัดการประชุมครั้งแรกเมื่อ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 [8]: 332  จัดตั้งแนวทางของ "การต่อสู้ด้วยอาวุธเพื่อการปฏิวัติประชาธิปไตยใหม่",[9] และตัดสินใจที่จะเป็นพรรคการเมืองใต้ดินต่อไป ใน การเลือกตั้งสภานิติบัญญัติเนปาล พ.ศ. 2534 แนวร่วมสหประชาชนแห่งเนปาลกลายเป็นพรรคใหญ่อันดับสามในรัฐสภาเนปาล อย่างไรก็ตาม ปัญหาภายในแนวร่วมสหประชาชนแห่งเนปาลเกิดขึ้นเกี่ยวกับกลยุทธของพรรค กลุ่มหนึ่ง นำโดย ปุศปา กามาล ทาหัล (ฉายาประจันทา) ต้องการให้มีการปฏิวัติโดยทันทีด้วยอาวุธ อีกกลุ่มหนึ่งนำโดยนีร์มัล ลามา เห็นว่าสถานการณ์ในเนปาลยังไม่สุกงอมสำหรับการต่อสู้ด้วยอาวุธ [8]: 332 

ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 แนวร่วมสหประชาชนแห่งเนปาลแตกออกเป็น 2 องค์กร ส่วนที่เป็นองค์กรฝ่ายทหารเปลี่ยนชื่อเป็น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (ลัทธิเหมา) หรือ CPN(M) องค์กรนี้เรียกกองกำลังของรัฐบาล พรรคการเมืองกระแสหลักและราชวงศ์ ว่าเป็นกองกำลังระบบฟิวดัล การสู้รบด้วยอาวุธเริ่มขึ้นเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (ลัทธิเหมา) เปิดการโจมตี 7 แห่งในพื้นที่ 6 ตำบล [8]: 333  ในช่วงแรก รัฐบาลเนปาลให้ ตำรวจเนปาล เข้าระงับเหตุฉุกเฉิน กองทัพเนปาลไม่ได้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้โดยตรง เพราะความขัดแย้งนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ตำรวจสามารถระงับเหตุได้ กองทัพเนปาลจึงไม่ได้ช่วยตำรวจระหว่างการโจมตีในพื้นที่ห่างไกล ในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 นายกรัฐมนตรี คิริชา ประสาท กอยราละ ลาออกเพราะไม่สามารถควบคุมการก่อการร้ายของกบฏลัทธิเหมาได้ และทหารปฏิเสธเข้าร่วมในการปราบปรามความขัดแย้ง [8]: 335  เมื่อ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 รัฐบาลของ เชอร์ พาหาทูร์ เทวพา และกลุ่มก่อการร้ายลัทธิเหมาประกาศหยุดยิง และเกิดการเจรจาสันติภาพระหว่างสิงหาคม-พฤศจิกายนของปีนั้น [8]: 335  ความล้มเหลวของการเจรจาสันติภาพทำให้ความขัดแย้งทางทหารเกิดขึ้นอีกครั้ง โดยกบฏลัทธิเหมาโจมตีค่ายทหารที่ตำบลทัง เทวคูรี ทางเนปาลตะวันตกเมื่อ 22 พฤศจิกายน [8]: 335  ซึ่งเกิดการสู้รบที่รุนแรงตลอดคืน สถานการณ์การก่อการร้ายค่อยๆเปลี่ยนแปลงใน พ.ศ. 2545 จำนวนการโจมตีของทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้น และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น [8]: 309 

รัฐบาลตอบสนองต่อการก่อการร้ายโดยการคว่ำบาตรกลุ่มต่อต้านราชวงศ์ [10] จำคุกสื่อมวลชนและปิดหนังสือพิมพ์ที่ถูกกล่าวหาว่าเข้าข้างกลุ่มก่อการร้าย มีการเจรจาและการหยุดยิงชั่วคราวหลายครั้งระหว่างกลุ่มก่อการร้ายกับรัฐบาล รัฐบาลปฏิเสธความต้องการของกลุ่มก่อการร้ายที่ต้องการให้เลือกตั้งสภารัฐธรรมนูญเพราะกลัวจะเป็นการล้มเลิกราชวงศ์โดยการออกเสียงของประชาชน ในเวลาเดียวกัน กลุมกบฏลัทธิเหมาปฏิเสธการจัดตั้งราชวงศ์ไว้ในรัฐธรรมนูญ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 รัฐบาลปฏิเสธข้อเรียกร้องของกบฏลัทธิเหมาที่ต้องการเจรจาโดยตรงกับกษัตริย์ชญาเนนทระ มากกว่าการเจรจากับนายกรัฐมนตรีเชอร์ พาหาทูร์ เทวพา และการเรียกร้องให้มีผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นบุคคลที่สามเช่น สหประชาชาติ

ตลอดสงคราม รัฐบาลควบคุมได้เฉพาะเมืองหลัก กลุ่มลัทธิเหมาควบคุมพื้นที่ในชนบท ซึ่งเป็นผลมาจากข้อเท็จริงที่ว่าหน่วยงานและสถาบันของรัฐบาลตั้งอยู่ที่เมืองหลวง กาฏมาณฑุ หรือบริเวณตัวเมืองของแต่ละตำบล ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2547 กาฏมาณฑุ อยู่ภายใต้การควบคุมของกบฏ โดยกลุ่มลัทธิเหมาสามารถปิดล้อมเมืองได้เป็นสัปดาห์[11]

ภายใต้โล่ของสงครามต่อต้านการก่อการร้ายระดับโลกและเป้าหมายของการทำให้เป็นรัฐล้มเหลว ซึ่งทำให้เกิดความวุ่นวายภายในประเทศ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และ อินเดีย ให้ความช่วยเหลือทางทหารและเศรษฐกิจแก่รัฐบาลเนปาล เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เพื่อตอบต่อการที่รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยไม่สามารถแก้ปัญหาได้ กษัตริย์ชญาเนนทระเข้าควบคุมประเทศเนปาลเพื่อยุติการก่อการร้าย [12] ผลจากการเข้าควบคุม สหราชอาณาจักรและอินเดียระงับการสนับสนุนเนปาล [8]: 337  ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 เพื่อตอบโต้การยึดอำนาจของกษัตริย์ชญาเนนทระ พรรคการเมือง 7 พรรคได้จัดตั้งกลุ่ม พันธมิตร 7 พรรค (SPA) ขึ้น[8]: 338  ต่อมา 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 กลุ่มกบฏลัทธิเหมาและพันธมิตร 7 พรรคที่ได้รับการสนับสนุนจากอินเดีย ร่วมมือกันเสนอข้อเรียกร้อง 12 ข้อ ซึ่งอธิบายว่าระบอบราชาธิปไตยเป็นอุปสรรคที่สำคัญของประชาธิปไตย สันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง การยกระดับของสังคม เอกราช และอธิปไตยของเนปาล [13] รวมทั้งเรียกร้องให้เลือกตั้งสภารัฐธรรมนูญและละทิ้งการใช้ความรุนแรงของกลุ่มกบฏลัทธิเหมา [8]: 339 

ใน พ.ศ. 2549 ความขัดแย้งที่รุนแรงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และเกิดกระแสประชาธิปไตยขึ้น [8]: 339  ตลอดเดือนเมษายน พ.ศ. 2549 มีการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยทั่วเนปาล ผู้ชุมนุมในกาฏมาณฑุราว 400 คนถูกจับกุม มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 10 คน ในวันที่ 21 เมษายน กษัตริย์ชญาเนนทระประกาศคืนอำนาจให้แก่นายกรัฐมนตรีที่มาจากพันธมิตร 7 พรรค แต่ทั้งกบฏลัทธิเหมาและพันธมิตร 7 พรรคปฏิเสธ [8]: 339  ในวันที่ 24 เมษายน กษัตริย์ชญาเนนทระประกาศคืนสิทธิกาสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นที่พอใจของพันธมิตร 7 พรรค ที่ได้จัดตั้งสภาผู้แทนราษฎรขึ้นอีก [8]: 339  กลุ่มกบฏลัทธิเหมายังคงต่อต้าน และในวันที่ 2 มิถุนายน ในกาฏมาณฑุ กลุ่มกบฏลัทธิเหมาจัดชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย มีประชาชนเข้าร่วมมากกว่า 200,000 คน[8]: 339–340  ในวันที่ 9 สิงหาคม รัฐบาลและกลุ่มกบฏลัทธิเหมาตกลงที่จะยอมให้สหประชาชาติเข้ามาตรวจสอบกระบวนการสันติภาพและปลดอาวุธทั้งสองฝ่าย [8]: 340  ในวันที่ 21 พฤศจิกายน รัฐบาลกลุ่มพันธมิตร 7 พรรค และกลุ่มกบฏลัทธิเหมาลงนามในความตกลงสันติภาพสมบูรณ์แบบ ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสงครามกลางเมือง [8]: 340 

สงครามกลางเมืองบีบให้คนหนุ่มสาวต้องไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะในอ่างเปอร์เซียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเคลื่อนย้ายแรงงานทำให้เนปาลพบกับปัญหาเศรษฐกิจที่ยุ่งยาก เศรษฐกิจของเนปาลต้องพึ่งพารายได้จากแรงงานที่ไปทำงานต่างชาติ (คล้ายกับเศรษฐกิจเลบานอนในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองเลบานอน) ผลจากสงครามกลางเมือง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเนปาลได้รับความเดือดร้อน เนปาลลดอับดับจากดินแดนที่น่าไปเที่นวอันดับ 10 เหลือเพียงอันดับที่ 27

ตามข้อมูลของ INSEC, ผู้เสียชีวิต 1,665 คนจากทั้งหมด 15,026 คนที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามกลางเมือง (ประมาณร้อยละ 11) เป็นผู้หญิง โดยกองกำลังฝ่ายรัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องประมาณร้อยละ 85 ของการฆ่าผู้หญิง[14]

ทหารฝ่าย ลัทธิเหมา 3 คนรอบนยอดเขาในตำบลโรลปาระหว่างรอคำสั่งให้เคลื่อนย้าย

อ้างอิง

  1. Miglani, Sanjeev (18 August 2003). "Nepal's Maoist cauldron draws foreign powers closer". Reuters. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 May 2018. {{cite web}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |dead-url= (help)
  2. [1]
  3. 3.0 3.1 3.2 Ed Douglas. "Inside Nepal's Revolution". National Geographic Magazine, p. 54, November 2005.
  4. 17,800 people died during conflict period, says Ministry of Peace
  5. http://www.icmp.int/the-missing/where-are-the-missing/nepal/. {{cite web}}: |title= ไม่มีหรือว่างเปล่า (help)
  6. "Conflict Victim's Profile". INSEC. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 พฤษภาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 3 พฤษภาคม 2017. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |dead-url= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  7. Mahendra Lawoti and Anup K. Pahadi, editors (2010). The Maoist Insurgency in Nepal: Revolution in the twenty-first century. Routledge. ISBN 978-0-415-77717-9. {{cite book}}: |author= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  8. 8.00 8.01 8.02 8.03 8.04 8.05 8.06 8.07 8.08 8.09 8.10 8.11 8.12 8.13 8.14 8.15 8.16 Mahendra Lawoti and Anup K. Pahari, editors (2010). The Maoist Insurgency in Nepal: Revolution in the twenty-first century. Routledge. ISBN 978-0-415-77717-9. {{cite book}}: |author= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  9. Manesh Sreshtha and Bishnu Adhikari (2005). Internal Displacement in South Asia: The Relevance of the UN's Guiding Principles. Sage. ISBN 0-7619-3313-1.
  10. "Anti-king remarks intolerable: Lohani". NepalNews: The Kathmandu Post. 20 December 2003. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 November 2004. สืบค้นเมื่อ 22 November 2006.
  11. "Maoist rebels call off Kathmandu blockade". The Guardian. 24 August 2004. สืบค้นเมื่อ 6 January 2018.
  12. "Royal Proclamation of February 1, 2005". Nepal Monarchy. 4 พฤษภาคม 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 ตุลาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 6 มกราคม 2018. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |dead-url= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  13. "12-point Maoist MoU". Nepali Times. 25 November 2005. สืบค้นเมื่อ 6 January 2018.
  14. "Conflict Victim's Profile". INSEC. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 พฤษภาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 3 พฤษภาคม 2017. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |dead-url= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)

อ่านเพิ่มเติม

แหล่งข้อมูลอื่น