ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ปีแห่งความเศร้าโศก"
หน้าใหม่: '''ปีแห่งความเศร้าโศก''' ({{lang-ar|عام الحزن|‘Ām al-Ḥuzn}}) ในวัฒนธรรมอิสลามนั้... ป้ายระบุ: เครื่องมือแก้ไขต้นฉบับปี 2560 |
ยังไม่มีหมวดหมู่ |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
{{เก็บกวาด}} |
|||
'''ปีแห่งความเศร้าโศก''' ({{lang-ar|عام الحزن|‘Ām al-Ḥuzn}}) ในวัฒนธรรมอิสลามนั้น คือปีที่[[เคาะดีญะฮ์]]และ[[อบูฏอลิบ]]ภรรยาและลุงของศาสดา[[มุฮัมหมัด]]เสียชีวิตในปีค.ศ.619{{sfn|Lings|2006|p=98}}{{sfn|Armstrong|2007|p=13}} |
'''ปีแห่งความเศร้าโศก''' ({{lang-ar|عام الحزن|‘Ām al-Ḥuzn}}) ในวัฒนธรรมอิสลามนั้น คือปีที่[[เคาะดีญะฮ์]]และ[[อบูฏอลิบ]]ภรรยาและลุงของศาสดา[[มุฮัมหมัด]]เสียชีวิตในปีค.ศ.619{{sfn|Lings|2006|p=98}}{{sfn|Armstrong|2007|p=13}} |
||
รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:51, 26 ตุลาคม 2561
บทความนี้ต้องการการจัดหน้า จัดหมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือเก็บกวาดเนื้อหา ให้มีคุณภาพดีขึ้น คุณสามารถปรับปรุงแก้ไขบทความนี้ได้ และนำป้ายออก พิจารณาใช้ป้ายข้อความอื่นเพื่อชี้ชัดข้อบกพร่อง |
ปีแห่งความเศร้าโศก (อาหรับ: عام الحزن, อักษรโรมัน: ‘Ām al-Ḥuzn) ในวัฒนธรรมอิสลามนั้น คือปีที่เคาะดีญะฮ์และอบูฏอลิบภรรยาและลุงของศาสดามุฮัมหมัดเสียชีวิตในปีค.ศ.619[1][2]
การเสียชีวิตของเคาะดีญะฮ์
เคาะดีญะฮ์ ภรรยาคนแรกของมุฮัมหมัดเสียชีวิตในปีค.ศ.619 ขณะที่เธอมีอายุ 65 ปี[1] ตอนที่มุฮัมหมัดมีอายุเกือบ 50 ปี และเธอเสียชีวิตไม่นานหลังจากยกเลิกคว่ำบาตรกับตระกูลของมุฮัมหมัด[1]ซึ่งรวมถึงการค้าให้กับครอบครัวของมุฮัมหมัด[3]
การเสียชีวิตของอบูฏอลิบ
อบูฏอลิบ ผู้เป็นลุงและหัวหน้าเผ่าบนูฮาชิม เป็นคนที่รับเลี้ยงมุฮัมหมัด (ตอนนี้เป็นเด็กกำพร้า) ตั้งแต่อับดุลมุฏฏอลิบ ปู่ของมุฮัมหมัดเสียชีวิต[4] ในฐานะเป็นหัวหน้าเผ่า เขาจึงปกป้องมุฮัมหมัด แม้กระทั่งเขาชวนให้ชาวกุเรชให้เข้ารับอิสลาม[5] พวกเขาจะไม่กล้าโจมตีเพราะเขาได้รับความคุ้มครองอยู่[5]
อบูฏอลิบรู้สึกป่วยหลังจากเคาะดีญะฮ์เสียชีวิต[1] ก่อนที่อบูฏอลิบจะเสียชีวิต มุฮัมหมัดขอให้เขาพูดชาฮาดะฮ์[6] อัล-อับบาสที่นั่งอยู่ใกล้เห็นเขาขยับริมฝีปาก และบอกว่าเขาได้บอกชาฮาดะฮ์แล้ว แต่มุฮัมหมัดกล่าวว่าเขาไม่ได้ยิน[7]
หลังจากอบูฏอลิบเสียชีวิตแล้ว มุฮัมหมัดจึงของให้อัลลอฮ์อภัยให้กับลุงของเขาด้วย แต่ตามรายงานในประวัติศาสตร์อิสลาม มุฮัมหมัดได้รับโองการว่าผู้ศรัทธาไม่สมควรขอพระเจ้าให้อภัยกับผู้ปฏิเสธศรัทธา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนในครอบครัวก็ตาม[8][9]
สูญเสียการปกป้อง
การเสียชีวิตของอบูฏอลิบนั่นเป็นจุดที่มุฮัมหมัดไม่ได้รับการปกป้องอีกแล้ว เพราะอบูละฮับไม่อยากปกป้องมุฮัมหมัด[10] และไม่มีใครในเผ่าคอยปกป้องมุฮัมหมัดอีกแล้ว[2] ภายในเวลานี้ สถานการของเขาจึงอยู่ในความเสี่ยง เพราะเขาจะถูกฆ่าโดยไม่มีใครปกป้องได้ทุกเมื่อ[2][8]
ตอนนี้ชาวมักกะฮ์เริ่มทำร้ายมุฮัมหมัดหนักขึ้นและป่าเถื่อนมากขึ้น[10] เนื่องจากมีหลักฐานว่ามีคนเดินผ่านหน้าบ้านพร้อมกับโยนขยะมูลฝอยลงในหม้อต้มอาหารของเขา ส่วนอีกคนโยนมดลูกของแกะผสมกับเลือดและอุจจาระขณะที่มุฮัมหมัดละหมาดอยู่กลางแจ้ง[10] บางคนนำกำมือที่มีดินตีที่หน้าของมุฮัมหมัดขณะที่มาจากกะอ์บะฮ์[10] เมื่อหนึ่งในลูกสาวได้ทำความสะอาดดินที่บ้าน เขาได้บอกกับเธอว่า "พระเจ้าจะปกป้องพ่อเอง" และบอกกับชาวกุเรขว่าพวกเขาทำร้ายมุฮัมหมัดมากขึ้น นับตั้งแต่อบูฏอลิบเสียชีวิต[10][11]
ไปที่เมืองฏออิฟ
เนื่องจากสถานการในมักกะฮ์เริ่มแย่ลง มุฮัมหมัดจึงตัดสินใจไปที่ฏออิฟ[10] เมืองที่ห่างจากมักกะฮ์ไป 100 กิโลเมตรตทางตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกับไปพบกับผู้นำทั้งสามของบนูตากีฟ[10] แล้วเชิญชวนให้เข้ารับอิสลาม[10] แต่พวกเขาปฏิเสธพร้อมกับส่งทาสและบริวารขับไล่ศาสดาออกไป[10] จนมุฮัมหมัดต้องไปหลบภัยที่สวนผลไม้[10] อุตบะฮ์ และชัยบะฮ์พี่น้องเจ้าของสวนผลไม้เห็นแขกเข้ามา จึงส่งอัดดาสทาสจากนิเนเวห์นำองุ่นไปให้เขา[12]
ค้นหาผู้ปกป้องคนใหม่
หลังจากถูกปฏิเสธจากชาวฏออิฟแล้ว มุฮัมหมัดคิดอยากจะกลับไปที่มักกะฮ์ แต่กลับไม่ได้ถ้าไม่มีเผ่าไหนคุ้มครอง[13] ดังนั้นมุฮัมหมัดจึงส่งจดหมายขอความคุ้มครอง แต่อัคคาส อิบน์ ชารีค ผู้นำของเผ่าบนูซุฮราฮ์และซุฮัยล์ อิบน์ อัมร์ ผู้นำของเผ่าบนูอามีร ปฏิเสธคำขอ[13] โดยมีเหตุผลว่าไม่ใช่เรื่องของอิสลาม แต่เป็นเรื่องของเผ่ามากกว่า อัคคาสบอกว่าเขายังไม่ได้เข้าร่วมกันสมาชิกของเผ่ากุเรชแล้วไม่สามารถปกป้องเขาในชื่อของเผ่าได้[13] ส่วนซุฮัยล์บอกว่าเผ่าของเขาไม่ได้มีบรรพบุรุษมาจากเผ่ากุเรช จึงไม่สามารถปกป้องมุฮัมหมัดได้[14]
ต่อมา เขาได้ส่งจดหมายให้กับมุตอิม อิบน์ อะดี หัวหน้าเผ่าบนูเนาฟัล[15] เขาเป็นหนึ่งในห้าชาวมักกะฮ์ที่เสนอให้หยุดการคว่ำบาตรของชาวมักกะฮ์ที่มีต่อเผ่าบนีฮาชิม[15] มุตอิมยอมรับข้อเสนอนี้ และมาพบท่านในวันต่อมาพร้อมกับลูกชายและหลานชาย แล้วนำท่านเข้าไปในมักกะฮ์[15] แล้วมุคอิมกล่าวว่าเขาต้องการยืนยันการปกป้อง[15] อบูญะฮัลจึงบอกกับมุตอิมและครอบครัวของเขาว่า "ใครก็ตามที่เขาปกป้อง สำหรับเขาแล้วจึงได้รับการป้องกัน"[15]
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 Lings 2006, p. 98.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 Armstrong 2007, p. 13.
- ↑ Armstrong 2007, pp. 12–13.
- ↑ Lings 2006, p. 28.
- ↑ 5.0 5.1 Lings 2006, p. 55.
- ↑ Lings 2006, p. 99.
- ↑ Rubin, Uri (1995). The Eye of the Beholder. Princeton, New Jersey: Darwin Press, Inc. p. 152.
- ↑ 8.0 8.1 Al-Mubarakpuri 2014, "Abu Talib's Death"
- ↑ อัลกุรอาน 9:113 (แปลโดย by พิกทอลล์)
- ↑ 10.00 10.01 10.02 10.03 10.04 10.05 10.06 10.07 10.08 10.09 Lings 2006, p. 100.
- ↑ Al-Mubarakpuri 2014, "The Accumulation of Grief"
- ↑ Lings 2006, p. 101.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 Lings 2006, p. 102.
- ↑ Lings 2006, pp. 102–103.
- ↑ 15.0 15.1 15.2 15.3 15.4 Lings 2006, p. 103.
สารานุกรม
- Al-Mubarakpuri, Safiur-Rahman (2014-06-09). The Sealed Nectar. แปลโดย Abdul-Malik Mujahid. Darussalam Publishers.
{{cite book}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help) - Armstrong, Karen (2007-12-18). Islam: A Short History. Random House Publishing Group. ISBN 978-0-307-43131-8.
{{cite book}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help) - Lings, Martin (2006-10-06). Muhammad: His Life Based on the Earliest Sources. Inner Traditions/Bear. ISBN 978-1-59477-153-8.
{{cite book}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help)