ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โกลด มอแน"
ล โรบอต เพิ่ม: yi:קלאד מאנע |
ล โรบอต เพิ่ม: yo:Claude Monet |
||
บรรทัด 217: | บรรทัด 217: | ||
[[vi:Claude Monet]] |
[[vi:Claude Monet]] |
||
[[yi:קלאד מאנע]] |
[[yi:קלאד מאנע]] |
||
[[yo:Claude Monet]] |
|||
[[zh:克勞德·莫內]] |
[[zh:克勞德·莫內]] |
||
[[zh-min-nan:Claude Monet]] |
[[zh-min-nan:Claude Monet]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 03:57, 29 พฤศจิกายน 2552
โกลด มอแน |
---|
โคลด โมเนท์ (ภาษาฝรั่งเศส: Claude Monet หรือ Oscar-Claude Monet หรือ Claude Oscar Monet) (14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1840 - 5 ธันวาคม ค.ศ. 1926)[1] เป็นจิตรกรสมัยอิมเพรสชั่นนิสม์ และเป็นจิตรกรคนสำค้ญของประเทศฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึง 20 มีความสำคัญในการเป็นผู้ริเริ่มศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์และมีบทบาทสำคัญในปรัชญาและการปฏิบัติของขบวนการนี้ ซึ่งเป็นการวาดภาพจากความประทับใจในสิ่งที่เห็นของผู้วาด (perception) แทนที่จะพยายามทำให้เหมือนจริงตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในจิตรกรรมภูมิทัศน์ (Landscape painting) [2] คำว่า “Impressionism” มาจากชื่อภาพเขียนของโมเนท์เองชื่อ “Impression, Sunrise” (ความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้น)
ชีวิตเบื้องต้น
โมเนท์เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1840 บนชั้น 5 ของบ้านเลขที่ 45 ถนนลาฟีตเขต 9 ในปารีส[3] เป็นลูกชายคนที่สองของโคลด อดอลฟ และลุย จุสตีน โอเบรผู้เป็นนักร้อง ทั้งสองคนเป็นชาวปารีสชั่วคนที่สอง โมเนท์รับศึลจุ่มเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมปีต่อมาที่วัดโนทเตรอตามเดอโลเร็ต ในชื่อ ออสคาร์ โคลด[3] เมื่อปี ค.ศ. 1845, ครอบครัวของโมเนท์ย้ายไปเมืองลาฟ (Le Havre) ในนอร์มังดีทางเหนือของฝรั่งเศส พ่อของโมเนท์อยากให้โมเนท์ทำกิจการร้านขายของชำของครอบครัวแต่โมเนท์อยากเป็นศิลปิน
เมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1851 โมเนท์ก็เข้าเรียนศิลปะที่โรงเรียนมัธยมศิลปะที่ลาฟ และเป็นที่รู้จักกันในฝีมือการเขียนรูปการ์ตูน (caricature) ด้วยถ่านที่โมเนท์ขายในราคา 10 ถึง 20 ฟรังส์ นอกจากนั้นโมเนท์ก็ยังเรียนการเขียนภาพเป็นครั้งแรกกับยาร์ค ฟรองซัวส์ โอชารด์ (Jacques-François Ochard) ผู้เป็นลูกศิษย์ของยาร์ค หลุยส์ เดวิด (Jacques-Louis David) ระหว่างปี ค.ศ. 1856-1857 โมเนท์พบยูจีน บูแดง (Eugène Boudin) ผู้เป็นจิตรกรและผู้ที่โมเนท์ถือว่าเป็นครูและเป็นผู้สอนให้โมเนท์วาดภาพด้วยด้วยสีน้ำมัน และสอนวิธีวาดภาพ “นอกสถานที่” (en plein air)[4]
แม่ของโมเนท์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1857 เมื่อโมเนท์อายุได้ 16 โมเนท์ก็ลาออกจากโรงเรียนไปอยู่กับน้ามารี จอง เลอคาเดร (Marie-Jeanne Lecadre) ผู้เป็นแม่ม่ายและไม่มีลูกของตนเอง
ปารีส
เมื่อโมเนท์ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ที่ปารีส โมเนท์พบว่างานเขียนที่เห็นในพิพิธภัณฑ์เป็นภาพที่ลอกมาจากภาพของครูบาสมัยเก่า แทนที่จะนั่งลอกภาพเขียนที่แขวนในพิพิธภัณฑ์ โมเนท์ก็กลับเอาขาหยั่งไปตั้งริมหน้าต่างและวาดภาพสิ่งที่เห็นนอกหน้าต่าง โมเนท์อยู่ปารีสเป็นเวลาหลายปีและได้พบจิตรกรหลายคนผู้กลายมาเป็นเพื่อนและจิตรกรอิมเพรสชั่นนิสม์ร่วมสมัยของโมเนท์ เพื่อนคนหนึ่งของโมเนท์คือเอดวด มาเนท์
เมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1861 โมเนท์สมัครเป็นทหารกับกอง First Regiment of African Light Cavalry ในประเทศแอลจีเรียโมเนท์เป็นทหารอยู่ได้สองปีก็เป็นไข้ไทฟอยด์ มาดามเลอคาเดรจึงให้โมเนท์ลาออกจากการเป็นทหารโดยให้สัญญาว่าต้องไปเรียนวิชาศิลปะต่อให้จบที่มหาวิทยาลัย อาจจะเป็นได้ว่าโยฮันน์ ยองคินด์ (Johan Jongkind) จิตรกรชาวเนเธอร์แลนด์ผู้โมเนท์รู้จัก มีส่วนในการให้ข้อเสนอแนะนี้ แต่โมเนท์ก็ไม่พอใจกับทฤษฏีการสอนตามแบบที่ทำกันมาของมหาวิทยาลัย ในปี ค.ศ. 1862 โมเนท์ก็ไปเป็นลูกศิษย์ของมาร์ค ชาร์ล เกเบรียล เกลร์ (Marc-Charles-Gabriel Gleyre) ที่ปารีสซึ่งเป็นที่ที่โมเนท์ได้พบปีแยร์ ออกุสต์ เรอนัวร์, เฟรดดริค บาซีลล์ (Frédéric Bazille) และ อัลเฟรด ซิสลีย์ สามคนนี้ก็มีแนวนิยมในการเขียนภาพแบบใหม่ร่วมกัน--การเขียนที่พิจารณาถึงผลของแสงที่มีต่อสิ่งที่วาดนอกสถานที่ การใช้แสงแตกหัก และฝีแปรงที่หยาบที่กลายมาเป็นลักษณะอิมเพรสชั่นนิสม์ที่เรารู้จักกันทุกวันนี้
เมื่อปี ค.ศ. 1866 โมเนท์เขียนภาพ “คามิลล์” (Camille) และ “ผู้หญิงในชุดเขียว” (La Femme à la Robe Verte) ซึ่งเป็นภาพที่นำชื่อเสียงมาสู่โมเนท์ และเป็นภาพในบรรดาหลายภาพที่โมเนท์เขียนโดยมีคามิลล์ ดองโซเป็นแบบ หลังจากนั้นไม่นานคามิลล์ก็ท้องและมีลูกคนแรกด้วยกันกับโมเนท์--ฌอง โมเนท์ เมื่อปี ค.ศ. 1866 โมเนท์พยายามกระโดดน้ำฆ่าตัวตายซึ่งคงมาจากปัญหาความขัดสน
สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย, อิมเพรสชั่นนิสม์, และ อาร์จองทุย
หลังจากเกิดสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1870 โมเนท์ก็ลี้ภัยไปอยู่อังกฤษเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1870 [5] ขณะที่อยู่ที่นั่นโมเนท์ก็ศึกษางานภาพภูมิทัศน์ของ จอห์น คอนสเตเบิล (John Constable) และ โจเซฟ มัลลอร์ด วิลเลียม เทอร์เนอร์ (Joseph Mallord William Turner) ซึ่งมามีอิทธิพลต่อการศึกษาเรื่องการใช้สี เมื่อฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1871 ทางราชสถาบันศิลปะ (Royal Academy) ไม่ยอมแสดงผลงานของโมเนท์[6]
เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1871 โมเนท์ก็ย้ายจากลอนดอนไปซานดาม (Zaandam) ในประเทศเนเธอร์แลนด์[6] ซึ่งเป็นที่โมเนท์เขียนภาพ 25 ภาพ (เป็นที่ที่ตำรวจสงสัยว่าโมเนท์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ[7]) จากซานดามโมเนท์ก็มีโอกาสไปอัมสเตอร์ดัมซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ประมาณเดือนตุลาคม หรือพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1871 โมเนท์ก็ย้ายกลับปารีส ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ. 1871 ถึง ค.ศ. 1878 โมเนท์อาศัยอยู่ที่ อาร์จองทุย (Argenteuil) ซึ่งเป็นหมู่บ้านริมฝั่งแม่น้ำเซนใกล้ปารีส และเป็นที่ที่โมเนท์วาดภาพที่กลายมาเป็นภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดของโมเนท์ และเป็นภาพที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายหลายภาพ ในปี ค.ศ. 1874 โมเนท์กลับไปเนเธอร์แลนด์อยู่ระยะหนึ่ง[8]
ประมาณปี ค.ศ. 1872 หรือ 1873 โมเนท์วาดภาพ “Impression, Sunrise” (Impression: soleil levant—ความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้น) ซึ่งเป็นภาพภูมิทัศน์ของลาฟ ภาพนี้ตั้งแสดงที่งานนิทรรศการศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1874 ในปัจจุบันตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์มาโมแตง-โมเนท์ ที่ปารีส หลุยส์ เลอรอยนักวิจารณ์ศิลปะเริ่มใช้คำ “อิมเพรสชั่นนิสม์” จากชื่อภาพในการบรรยายศิลปะลักษณะนี้อย่างเยาะๆ แต่จิตรกรอิมเพรสชั่นนิสม์นิยมคำและเริ่มใช้เรียกตัวเอง[9]
โมเนท์และคามิลล์ ดองโซแต่งงานกันเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1870 ไม่นานก่อนเกิดสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย[6] พอปี ค.ศ. 1876 คามิลล์ก็เริ่มป่วย หลังจากมีมิเชลลูกคนที่สองเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1878 สุขภาพของคามิลล์ก็เสื่อมลง ในที่สุดก็เสียชีวิตเมื่ออายุได้ 32 ปีด้วยวัณโรคเมื่อวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1879 โมเนท์วาดภาพคามิลล์บนเตียงที่คามิลล์นอนป่วย[10] [11]
ภาพเขียนสมัยแรก
-
“Le dejeuner sur lherbe” – ค.ศ. 1865-1866, พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งพุชคิน, มอสโคว์
-
“Le dejeuner sur lherbe” (ด้านขวาเป็นกุสตาฟ คูเบท์) – ค.ศ. 1865-1866, พิพิธภัณฑ์ดอร์เซ, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส
-
“สวนดอกไม้ที่ซังแอดเดรส” (Flowering Garden at Sainte-Adresse) – ค.ศ. 1866, พิพิธภัณฑ์ดอร์เซ, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส
-
“ผู้หญิงในสวน” (Woman in a Garden) – ค.ศ. 1867, พิพิธภัณฑ์เฮอร์มืทาจ, เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
-
“สวนที่ซังแอดเดรส” (Jardin à Sainte-Adresse) – ค.ศ. 1867, พิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิตัน, นครนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา
-
“La Grenouillére” – ค.ศ. 1869, พิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิตัน, นครนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา
-
“ลุ่มแม่น้ำเซนกับอาร์จองทุย” (Seine Basin with Argenteuil) – ค.ศ. 1875, พิพิธภัณฑ์ดอร์เซ, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส
-
“ผู้หญิงกางร่ม” (Woman with a Parasol) – ค.ศ. 1867, พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติ, วอชิงตัน ดี.ซี., สหรัฐอเมริกา
-
“อาร์จองทุย” (Argenteuil) – ค.ศ. 1875, Musée de l'Orangerie, ปารีส
-
“เวทุยในหมอก” (Vétheuil in the Fog) – ค.ศ. 1879, พิพิธภัณฑ์มาโมแตง-โมเนท์, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส
ชีวิตสมัยหลัง
หลังจากโมเนท์โศรกเศร้ากับการตายของคามิลล์อยู่หลายเดือนโมเนท์ก็สัญญากับตนเองว่าจะไม่ยอมเป็นทาสความยากไร้อีก โดยเริ่มเขียนภาพจริงๆ จังๆ และสร้างงานที่ดึที่สุดของตนเองของสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อต้นคริสต์ทศศตวรรษ 1880 โมเนท์ก็วาดภาพภูมิทัศน์ของชนบทฝรั่งเศสด้วยความตั้งใจที่จะทำเป็นหลักฐานของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งทำให้เกิดการวาดภาพเป็นชุดหลายชุดที่เกี่ยวกับภูมิทัศน์ของชนบทฝรั่งเศส
ภาพชุดพอพพลา
-
ลมแรง
-
ฤดูใบไม้ร่วง
-
ฤดูใบไม้ร่วง
-
แดดออก
เมื่อปีค.ศ. 1878 โมเนท์และคามิลล์ย้ายไปอยู่ที่บ้านของเอิร์นเนส โอเชด (Ernest Hoschedé) เป็นการชั่วคราว โอเชดเป็นเจ้าของร้านสรรพสินค้าผู้มีฐานะและเป็นผู้อุปถัมป์ศิลปิน สองครอบครัวนี้ก็อยู่ด้วยกันที่เวทุย (Vétheuil) ระหว่างหน้าร้อน หลังจากที่เอิร์นเนสล้มละลายและย้ายไปประเทศเบลเยียมเมื่อปีค.ศ. 1878 และหลังจากที่คามิลล์เสียชีวิตเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1879 โมเนท์ก็ยังคงอาศัยอยู่ที่เวทุย โดยมีอลิซ ภรรยาของเอิร์นเนส โอเชดก็ช่วยโมเนท์ดูแลบุตรชายสองคน อลิซนำลูกของโมเนท์ไปเลี้ยงร่วมกับลูกของอลิซเองอีก 6 คนที่ปารีสอยู่ระยะหนึ่ง[12] ก่อนที่จะย้ายกลับมาเวทุยพร้อมกับลูกๆ อีกครั้งเมื่อปีค.ศ. 1880 [13] ในปีค.ศ. 1881 ทั้งสองครอบครัวก็ย้ายไปปอยซี (Poissy) ซึ่งเป็นที่ที่โมเนท์ไม่ชอบ จากหน้าต่างรถไฟระหว่างแวร์นองและกาสนีโมเนท์ก็พบจิแวร์นีย์ (Giverny) ในนอร์มังดี ในเดือนเมษายนปีค.ศ. 1883 โมเนท์ก็ย้ายไปแวร์นองและต่อมาจิแวร์นีย์ ซึ่งเป็นที่ที่โมเนท์ทำสวนขนาดใหญ่และเป็นที่ที่โมเนท์เขียนภาพตลอดในบั้นปลายของชีวิต หลังจากเอิร์นเนสเสียชีวิต อลิซก็แต่งงานกับโมเนท์เมื่อปีค.ศ. 1892[4]
จิแวร์นีย์
เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1883 โมเนท์ก็เช่าที่ดินสองเอเคอร์ที่จิแวร์นีย์จากเจ้าของที่ดินบริเวณนั้น ตัวบ้านตั้งอยู่ใกล้ถนนสายหลักระหว่างแวร์นองกับกาสนี ตัวบ้านมีโรงนาที่โมเนท์ใช้เป็นห้องสำหรับเขียนภาพ ภูมิทัศน์บริเวณนั้นก็เหมาะกับการเขียนภาพของโมเนท์ นอกจากนั้นครอบครัวก็ยังช่วยกันทำสวนดอกไม้ใหญ่ ฐานะของโมเนท์ก็เริ่มดีขึ้นเมื่อมีพอล ดูรานด์ รูลเป็นนายหน้าขายภาพเขียนให้ ในปี ค.ศ. 1890 โมเนท์ก็มีฐานะดีพอที่จะซื้อบ้าน สิ่งก่อสร้างในบริเวณนั้น และที่ดินเป็นของตนเอง ต่อมาโมเนท์ก็สร้างห้องเขียนภาพอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่กว่าเดิมและเป็นเพดานที่มีแสงส่องเข้ามาได้ ตั้งแต่คริสต์ทศศตวรรษ 1880 จนกระทั่งโมเนท์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1926 โมเนท์เขียนภาพหลายชุดสำหรับการแสดงภาพเขียน ซึ่งแต่ละชุดโมเนท์ก็จะวาดตัวแบบเดียวกันแต่จากมุมต่างๆกันและต่างเวลากันตามแต่แสงและภาวะอากาศจะเปลี่ยนแสงสีของสิ่งที่วาด เช่นภาพชุดกองฟางที่เขียนระหว่างปี ค.ศ. 1890-1891 ซึ่งเขียนจากหลายมุมและต่างฤดูและต่างเวลากันในแต่ละวัน ภาพเขียนชุดอื่นๆ ที่โมเนท์ก็ได้แก่ ชุดมหาวิหารรูออง, ชุดต้นพอพพลา, ชุดตึกรัฐสภาอังกฤษ, ชุดยามเช้าบนฝั่งแม่น้ำเซน, และชุดดอกบัวซึ่งโมเนท์เขียนที่จิแวร์นีย์
บางครั้งโมเนท์ยังชอบเขียนภาพธรรมชาติที่ตกแต่งแล้วเช่นภายในสวนที่โมเนท์จัดตกแต่งเองที่บ้านจิแวร์นีย์[1] ซึ่งเป็นสวนที่มีสระน้ำ, สะพานเล็กๆ ข้ามสระ, ต้นวิลโลร้องไห้, และดอกบัว ซึ่งสวนจริงยังมีให้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ นอกจากนั้นก็ยังเดินขึ้นล่องริมฝั่งแม่น้ำเซนเพื่อเขียนรูป ระหว่างปี ค.ศ. 1883 ถึงปี ค.ศ. 1908 โมเนท์เดินทางไปเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งโมเนท์เขียนภาพสิ่งที่น่าสนใจ, ภูมิทัศน์ และ ทะเลทัศน์ เมื่อไปเวนิสโมเนท์ก็เขียนภาพชุดเวนิส และลอนดอนเป็นชุดตึกรัฐสภาอังกฤษ และสะพานชาริงครอส
อลิซและลูกชายคนโตของโมเนท์ผู้แต่งงานกับแบลนช์ ลูกสาวคนโตของอลิซเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1911[4] หลังจากนั้นแบลนช์ก็ดูแลโมเนท์ ระหว่างนี้โมเนท์ก็เริ่มเป็นต้อ[14]
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งลูกชายคนที่สองเป็นทหารและจอร์จ เคลมองโซ (Georges Clemenceau) ผู้เป็นเพื่อนและผู้นำฝรั่งเศส โมเนท์เขียนภาพชุด “วิลโลร้องไห้” (Weeping Willow) เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ชาวฝรั่งเศสผู้เสียชีวิตในสงคราม โมเนท์ได้รับการผ่าตัดต้อสองครั้งในปี ค.ศ. 1923 ต้อของโมเนท์มีผลต่อสีของภาพเขียนๆ ระหว่างที่เป็นต้อจะออกโทนแดงซึ่งเป็นลักษณะของผู้เป็นต้อ นอกจากนั้นโมเนท์ยังสามารถมองเห็นคลื่นแสงอัลตราไวโอเล็ทที่ตาปกติจะมองไม่เห็นซึ่งอาจจะทำให้มีผลต่อการเห็นสีของโมเนท์ หลังจากผ่าตัดแล้วโมเนท์ก็พยายามทาสีบางภาพใหม่ เช่นภาพชุดดอกบัวที่เป็นสีน้ำเงินกว่าเมื่อก่อนได้รับการผ่าตัด [15]
ภาพเขียนสมัยหลัง
-
“หน้าผาที่เอทเทรทาท์” (The Cliffs at Etretat) – ค.ศ. 1885, สถาบันศิลปะคลาร์ค, วิลเลียมสทาวน์, มลรัฐแมสซาชูเซตส์, สหรัฐอเมริกา
-
“ภาพนิ่งกับดอกแอนนิโมนี” (Still-Life with Anemones) – ค.ศ. 1885, ภาพสะสมส่วนบุคคล, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส
-
“กองฟาง (พระอาทิตย์ตก)” (The Cliffs at Etretat) – ค.ศ. 1890-1891, พิพิธภัณฑ์ศิลปะบอสตัน, สหรัฐอเมริกา
-
“มหาวิหารรูออง (พระอาทิตย์ตก)” – ค.ศ. 1892-1894, พิพิธภัณฑ์มาโมแตง-โมเนท์, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส
-
“สะพานข้ามสระบัว” (Bridge over a Pool of Water Lilies) – ค.ศ. 1899, พิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิตัน, นครนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา
-
“พอพพลาบนฝั่งน้ำเอพ” (Pappeln on the Epte) – ค.ศ. 1900, พิพิธภัณฑ์แห่งชาติสกอตแลนด์
-
“ตึกรัฐสภาอังกฤษ ลอนดอน” (Houses of Parliament, London) – ค.ศ. 1904, พิพิธภัณฑ์มาโมแตง-โมเนท์, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส
-
“วังที่เวนิส” (Palace From Mula, Venice) – ค.ศ. 1908, พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติ, วอชิงตัน ดี.ซี., สหรัฐอเมริกา
-
“Nympheas” – ราว ค.ศ. 1916, พิพิธภัณฑ์มาโมแตง-โมเนท์, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส
-
“บัวน้ำ” (Water Lilies) – ค.ศ. 1916, พิพิธภัณฑ์ศิลปะตะวันตกแห่งชาติ, โตเกียว, ประเทศญี่ปุ่น
บั้นปลาย
โมเนท์เสียชีวิตจากโรคมะเร็งที่ปอดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1926 เมื่ออายุ 86 ปี ร่างของโมเนท์ถูกฝังไว้ที่วัดที่จิแวร์นีย์ [16] โมเนท์ขอให้เป็นพิธีง่ายๆ ฉะนั้นจึงมีผู้ร่วมงานศพเพียง 50 คน[17]
เมื่อปี ค.ศ. 1966 ลูกหลานของโมเนท์ก็ยกบ้าน สวนและบึงบัวให้กับสถาบันศิลปะแห่งฝรั่งเศส (Academy of Fine Arts) ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980[18] นอกจากสิ่งของของโมเนท์แล้ว ภายในบ้านยังเป็นภาพพิมพ์แกะไม้ของญี่ปุ่น (Japanese woodcut prints) ที่โมเนท์สะสมด้วย
อ้างอิง
- ↑ Biography of Claude Monet giverny.org. Retrieved 6 January 2007
- ↑ House, John, et al: Monet in the 20th Century, page 2. Yale University Press, 1998.
- ↑ 3.0 3.1 P. Tucker Claude Monet: Life and Art, p.5
- ↑ 4.0 4.1 4.2 Biography for Claude Monet Guggenheim Collection. Retrieved 6 January 2007.
- ↑ Monet, Claude Nicolas Pioch, www.ibiblio.org, 19 September 2002. Retrieved 6 January 2007
- ↑ 6.0 6.1 6.2 Charles Stuckey "Monet, a Retrospective", Hugh Lauter Levin Associates, 195
- ↑ The texts of seven police reports, written on 2 June – 9 October 1871 are included in Monet in Holland, the catalog of an exhibition in the Amsterdam Van Gogh Museum (1986).
- ↑ His paintings are shown and discussed here
- ↑ Impressionism — Overview ARTinthePICTURE.com. Retrieved 6 January 2007
- ↑ http://www.artelino.com/articles/la_japonaise.asp accessed 25 September 2007
- ↑ http://members.aol.com/wwjohnston/camille.htm accessed 25 September 2007
- ↑ online biography retrieved December 28, 2007
- ↑ Charles Merrill Mount, Monet a biography, Simon and Schuster publisher, copyright 1966, pp.309-322.
- ↑ Forge, Andrew, and Gordon, Robert, Monet, page 224. Harry N. Abrams, 1989.
- ↑ Let the light shine in Guardian News, 30 May 2002. Retrieved 6 January 2007.
- ↑ The village of Giverny giverny.org. Retrieved 6 January 2007
- ↑ P. Tucker Claude Monet: Life and Art, p.224
- ↑ Fondation Claude Monet - Giverny
ข้อมูลเพิ่มเติม
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ โคลด โมเนท์ วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ จิแวร์นีย์ วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ จิตรกรรมอิมเพรสชั่นนิสม์
- ภาพเขียนของโคลด โมเนท์ (อังกฤษ)
- โคลด โมเนท์ ที่Webmuseum (อังกฤษ)
- โคลด โมเนท์เขียนเอง (อังกฤษ)
- ตารางชีวิตของโคลด โมเนท์ (อังกฤษ)
- โมเนท์แกลเลอรี (อังกฤษ)
- โมเนท์ (อังกฤษ)