พระเจ้าสตาญิสวัฟที่ 2 เอากุสตุส
พระเจ้าสตาญิสวัฟที่ 2 เอากุสตุส | |||||
---|---|---|---|---|---|
พระเจ้าสตาญิสวัฟที่ 2 ในฉลองพระองค์สำหรับพระราชพิธีราชาภิเษก วาดโดย มาเซลโล บัตซาเรลลี ปัจจุบันจัดแสดงที่ปราสาทกลูโฉว | |||||
พระมหากษัตริย์แห่งโปแลนด์ แกรนด์ดยุกแห่งลิทัวเนีย | |||||
ครองราชย์ | 7 กันยายน ค.ศ. 1764 – 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1795 | ||||
ราชาภิเษก | 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1764 อาสนวิหารเซนต์จอห์น วอร์ซอ | ||||
ก่อนหน้า | พระเจ้าออกัสตัสที่ 3 | ||||
ถัดไป | ระบอบกษัตริย์ถูกล้มล้าง (การแบ่งโปแลนด์) | ||||
พระราชสมภพ | 17 มกราคม ค.ศ. 1732 โวสคิน เครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนีย | ||||
สวรรคต | 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1798 เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก จักรวรรดิรัสเซีย | (66 ปี)||||
ฝังพระศพ | อาสนวิหารเซนต์จอห์น วอร์ซอ | ||||
พระราชบุตร รายละเอียด... | พระราชบุตรนอกสมรส | ||||
| |||||
ราชวงศ์ | ปอญาตอฟสกี | ||||
พระราชบิดา | สตาญิสวัฟ ปอญาตอฟสกี | ||||
พระราชมารดา | กอนสตันต์เซีย คซาทอริสกา | ||||
ศาสนา | โรมันคาทอลิก | ||||
ลายพระอภิไธย |
พระเจ้าสตาญิสวัฟที่ 2 เอากุสตุส[a] (พระนามเดิม: สตาญิสวัฟ อันตอญี ปอญาตอฟสกี [b] 17 มกราคม ค.ศ. 1732–12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1798) หรือทรงเป็นที่รู้จักในพระนามภาษาละตินที่ทรงได้รับหลังเสด็จขึ้นครองราชย์ว่า พระเจ้าสตานีสลุสที่ 2 เอากุสตุส ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งโปแลนด์ และ แกรนด์ดยุกแห่งลิทัวเนีย ครองราชย์ตั้งแต่ ค.ศ. 1764 จนถึง ค.ศ. 1795 และพระมหากษัตริย์รัชกาลสุดท้ายแห่งเครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนีย
พระเจ้าสตาญิสวัฟที่ 2 ทรงมีพื้นเพมาจากตระกูลขุนนางผู้มีฐานะ ใน ค.ศ. 1755 ขณะมีพระชนม์มายุ 22 พรรษา[1] พระองค์ทรงได้ดำรงตำแหน่งนักการทูตประจำราชสำนักรัสเซีย และทรงมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับแกรนด์ดัชเชสเยกาเจรีนา (ต่อมาคือจักรพรรดินีเยกาเจรีนาที่ 2 แห่งรัสเซีย) ด้วยการสนับสนุนอย่างลับ ๆ จากพระนาง พระองค์จึงได้รับเลือก ให้เป็นพระมหากษัตริย์โปแลนด์ ภายหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าออกัสตัสที่ 3 โดยรัฐสภาในเดือนกันยายน ค.ศ. 1764[2][3][4]พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่เหนือความคาดหมาย กล่าวคือคือทรงพยายามปฏิรูปและเสริมสร้างความมั่นคงให้กับเครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนียที่มีดินแดนกว้างใหญ่แต่อ่อนแอ ความพยายามของพระองค์ก่อให้เกิดการต่อต้านจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างปรัสเซีย รัสเซีย และออสเตรีย ซึ่งพยายามคงความอ่อนแอของเครือจักรภพเอาไว้ พระองค์ยังต้องเผชิญการต่อต้านภายในประเทศจากพวกอนุรักษนิยม ซึ่งเห็นว่าการปฏิรูปของพระองค์เป็นภัยคุกคามต่อสิทธิเสรีภาพที่มีมาแต่ครั้งโบราณและเอกสิทธิ์ ของพวกเขาที่ได้มาตั้งแต่หลายศตวรรษก่อน
ช่วงต้นรัชกาลของพระองค์เป็นที่จดจำจากวิกฤตการณ์สงครามสมาพันธ์บาร์ (ค.ศ. 1768–1772) ซึ่งนำไปสู่การแบ่งโปแลนด์ครั้งที่หนึ่ง (ค.ศ. 1772) ในช่วงหลังของการครองราชย์สภาเซยม์ใหญ่ (ค.ศ. 1788–1792) ได้กระทำการปฏิรูปหลายประการ รวมไปถึงรัฐธรรมนูญ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1791 การปฏิรูปเหล่านี้ถูกยกเลิกโดยสมาพันธ์ทาร์กอวิตสกาและสงครามกับรัสเซียใน ค.ศ. 1792 อันนำไปสู่การแบ่งโปแลนด์ครั้งที่สอง (ค.ศ. 1793) การลุกฮือกอชชุชกอ (ค.ศ. 1794) และการแบ่งโปแลนด์ครั้งที่สาม (ค.ศ. 1795) ถือเป็นจุดจบของเครือจักรภพ พระองค์จึงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1795 และใช้เวลาบั่นปลายพระชนม์ชีพในฐานะผู้ถูกจองจำที่พระราชวังหินอ่อนในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
พระองค์ทรงเป็นผู้มีภาพลักษณ์เป็นที่ถกเถียงกันในประวัติศาสตร์โปแลนด์ นัยหนึ่งก็ทรงถูกวิจารณ์จากการที่พระองค์ล้มเหลวในการต่อต้านและหยุดยั้งการแบ่งโปแลนด์ ซึ่งทำให้รัฐโปแลนด์ล่มสลายลง ในอีกด้านหนึ่ง พระองค์ก็ทรงเป็นที่จดจำในฐานะผู้อุปถัมภ์ศิลปะและวิทยาศาสตร์ อีกทั้งยังทรงเป็นผู้วางรากฐานคณะกรรมาธิการการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นกระทรวงศึกษาธิการแห่งแรกของโลก และทรงสนับสนุนการสร้างสถาปัตยกรรมที่สำคัญหลายแห่ง
หมายเหตุ
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ Gribble, Francis (1912). The comedy of Catherine the Great. London. p. 48.
- ↑ Eversley, 1915, p.39.
- ↑ The Partitions of Poland by Lord Eversley, London, 1915, pps:35–39.
- ↑ Bartłomiej Szyndler (2009). Racławice 1794. Bellona Publishing. pp. 64–65. ISBN 9788311116061. สืบค้นเมื่อ 26 September 2014.