ซะอีด อิบน์ อัลมุซัยยิบ
ซะอีด อิบน์ อัลมุซับยิบ | |
---|---|
سعيد بن المسيب | |
ส่วนบุคคล | |
เกิด | ฮ.ศ. 637 ฮิญาซ, อาระเบีย (ปัจจุบัน ซาอุดีอาระเบีย) |
มรณภาพ | ฮ.ศ. 715 (อายุ 77–78) |
ศาสนา | อิสลาม |
บุพการี | อัลมุซัยยิบ อิบน์ ฮัซน์ อัลมัคซูมี (บิดา) |
ยุค | รัฐเคาะลีฟะฮ์รอชิดูน, รัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ |
ภูมิภาค | มะดีนะฮ์ |
นิกาย | ซุนนี |
ลัทธิ | อะษะรียะฮ์ |
ความสนใจหลัก | ฟิกฮ์; ตัฟซีร, หะดีษ |
ตำแหน่งชั้นสูง | |
มีอิทธิพลต่อ
|
อะบูมุฮัมมัด ซะอีด อิบน์ อัลมุซัยยิย อิบน์ ฮัซน์ อัลมัคซูมี (อาหรับ: سعید بن المسیب, อักษรโรมัน: Saʿīd ibn al-Musayyib; ค.ศ. 637–715) เป็นหนึ่งในผู้โด่งดังที่สำคัญที่สุดด้านนิติศาสตร์ (ฟิกฮ์) ในหมู่ตาบิอีน ท่านประจำอยู่ในอัลมะดีนะฮ์
ชีวิตและการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อิสลาม
[แก้]ซะอีด เกิดในปี 637 เป็นบุตรชายของอัลมุซัยยิบ อิบน์ ฮัซน์ จากตระกูลบะนูมัคซูม จากชนเผ่ากุร็อยช์[1] ท่านเกิดในรัชสมัยอุมัร (ค. 634 – 644) และได้พบกับศอฮาบะส่วนใหญ่ รวมถึงผู้สืบทอดตำแหน่งของอุมัรคือ อุษมาน (ค. 644 – 656) และ อะลี (ค. 656 – 661) ซะอีดเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความศรัทธา ความชอบธรรม และการอุทิศตนอย่างสุดซึ้งต่ออัลลอฮฺ; สำหรับความสูงของเขาในหมู่ชาวซุนนี ท่านโด่งดังในฐานะผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดในเจ็ดนักฟิกฮ์แห่งมะดีนะฮ์[2] ท่านเริ่มเช่นเดียวกับฮะซัน อัลบัศรี ในบัศเราะฮ์ที่แสดงความคิดเห็นและตัดสินในเรื่องกฎหมายจนเมื่อเขาอายุประมาณยี่สิบปี บรรดาสาวกชื่นชมท่านอย่างมาก ครั้งหนึ่ง อับดุลลอฮ์ อิบน์ อุมัร กล่าวว่า “หาก (ท่านนะบี) ได้เห็นชายหนุ่มคนนี้ ท่านคงจะพอใจกับเขามาก”[3]
ซะอีดแต่งงานกับลูกสาวของอะบูฮุร็อยเราะฮ์ เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับท่านมากขึ้น และเพื่อเรียนรู้หะดีษที่ท่านรายงานให้ฟังง่ายขึ้น ทั้งสองมีลูกสาวคนหนึ่ง ซะอีดให้นางเล่นไม่ใช่กับตุ๊กตา แต่เล่นกลอง[4] ต่อมานางเรียนทำอาหาร[5]
ในระหว่างยุทธการที่อัลฮัรรออ์ และการยึดครองมะดีนะฮ์ ในเวลาต่อมาโดยกองทหารซีเรียของยะซีดที่ 1 ในปี 683 ซะอีดเป็นคนมะดีนะฮ์คนเดียวที่ละหมาดในมัสยิดของนะบี[6] หลังจากที่ยะซีดเสียชีวิต ท่านปฏิเสธที่จะให้บัยอะฮ์ต่อเคาะลีฟะฮ์อับดุลลอฮ์ อิบน์ อัซซุบัยร์ ซึ่งต่อต้านราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ซึ่งตั้งอยู่ในมักกะฮ์[7] หลังจากที่ท่านอับดุลมะลิก อิบน์ มัรวาน ได้ยึดครองรัฐเคาะลีฟะฮ์ได้อีกครั้ง รวมทั้งมะดีนะฮ์ ท่านได้ขอให้ซะอีดแต่งงานกับธิดาของท่านและได้แต่งงานกับธิดาของฮิชามในอนาคต ซะอีดปฏิเสธ และเมื่อเผชิญกับแรงกดดันและการคุกคามที่เพิ่มมากขึ้น ท่านได้เสนอนางให้กับอิบน์ อะบีวะดาอ์ ซึ่งอยู่ในมัดเราะซะฮ์[8] ในปี 705 อับดุลมะลิกได้สั่งให้ผู้ว่าราชการของท่านบังคับใช้บัยอะฮ์ต่ออัลวะลีดที่ 1 โอรสของท่าน ในฐานะผู้สืบทอดของท่าน ซะอีดปฏิเสธ ฮิชาม อิบน์ อิสมาอีล อัลมัคซูมี ผู้ว่าการเมืองมะดีนะฮ์ ได้คุมขังท่าน และให้ท่านถูดเฆี่ยนทุกวันจนไม้หัก แต่ท่านก็ยังไม่ยอมจำนน เมื่อสหายของท่าน คือ มัสรูก อิบน์ อัลอัจญ์ดะอ์ และฏอวูส แนะนำให้ท่านยินยอมต่อตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ของอัลวะลีด เพื่อละเว้นการทรมานตัวเองเพิ่มเติม ท่านตอบว่า: "ผู้คนติดตามเราในการกระทำ ถ้าเรายินยอม เราจะสามารถทำอย่างไร อธิบายเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังหน่อยสิ?”[9] ผู้สืบทอดตำแหน่งของฮิชาม อุมัรที่ 2 ซึ่งปกครองมะดีนะฮ์ ในปี 706–712 ในทางกลับกันท่านได้ปรึกษากับซะอีด ในการตัดสินใจของการบริหารทั้งหมดของท่าน[10]
หะดีษ
[แก้]ผู้ที่ได้รับคำวินิจฉัยและหะดีษจากซะอีด ได้แก่ อุมัรที่ 2, เกาะตาดะฮ์ อิบน์ ดิอามัร, อิบน์ ชิฮาบ อัซซุฮ์รี และ ยะห์ยา อิบน์ ซะอีด อัลอันศอรี และอื่นๆ อีกมากมาย[11]
คณะนักนิติศาสตร์ชั้นนำคือ มาลิก อิบน์ อะนัส และ อัชชาฟิอี ถือว่า หะดีษ ที่ซะอีดรายงานจากอุมัร หรือมุฮัมมัดโดยตรงมีความถูกต้องแม่นยำอย่างไม่ต้องสงสัย โดยไม่จำเป็นระบุว่าท่านได้รับจากใคร[12] ในมุมมองของพวกเขา ซะอีดอยู่ในอันดับเดียวกับเศาะฮาบะฮ์ในด้านความรู้และการรายงานหะดีษ
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ Fishbein 1997.
- ↑ Ibn Sa‘d tr. Bewley, 81. Even Orientalists skeptics concede his stature: GHA Juynboll (1983). Muslim Tradition. Cambridge University Press., 15-17. However the Prophetic Hadith is another matter; see below.
- ↑ M. 'Ajjaj al-Khatib. al-Sunna Qabl al-Tadwin. (Cairo: 1383/1963)?, 485.
- ↑ Ibn Sa'd tr. Bewley, 90.
- ↑ Ibn Sa'd tr. Bewley, 86.
- ↑ Ibn Sa'd tr. Bewley, 89.
- ↑ Ibn Sa'd tr. Bewley, 82-3, 91.
- ↑ Dhahabi. Siyaru A'lam al-Nubala'. (:)?, 4.234.
- ↑ Ibn Sa'd tr. Bewley, 84-5.
- ↑ Ibn Sa'd tr. Bewley, 82.
- ↑ Ibn Sa'd tr. Bewley, 90, 91, 95.
- ↑ For instance: Shafii (1963). Risala. แปลโดย Khadduri. Islamic Texts Society., 135 (quoting Malik, Sa'id from Muhammad); 261, 263 (Sa'id < Umar).