ค่าความรู้
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ค่าความรู้ (อังกฤษ: The Cost of Knowledge) เป็นการประท้วงโดยนักวิชาการต่อหลักปฏิบัติทางธุรกิจของสำนักพิมพ์วารสารวิชาการชื่อว่าแอ็ลเซอเฟียร์ ด้วยหลายเหตุผล โดยหลักแล้วเน้นไปที่การเรียกร้องให้วารสารปรับลดราคาลง รวมไปถึงรณรงค์ให้เพิ่มการเข้าถึงแบบข้อมูลเปิด งานหลักของโปรเจกต์นี้คือการขอให้นักวิจัยเซ็นคำแถลงว่าจะไม่สนับสนุนวารสารจากแอ็ลเซอเฟียร์ ไม่ว่าจะเป็นการตีพิมพ์ ทำการตรวจสอบแบบเสรี หรือให้บริการทางบรรณาธิการแก่วารสารเหล่านี้
ประวัติ
[แก้]ก่อนการเกิดของอินเทอร์เน็ต การกระจายบทความซึ่งรายงานผลของงานวิจัยนั้นมีความลำบาก[1] ในอดีต สำนักพิมพ์ให้การบริการหลายอย่าง เช่น การพิสูจน์อักษร การเรียงพิมพ์ การปรับปรุงต้นฉบับ การพิมพ์ และการแจกจ่ายทั่วโลก[1] ในยุคปัจจุบัน ผู้วิจัยทุกคนถูกคาดหวังให้ส่งสำเนาดิจิทัลของผลงานที่ผ่านการดำเนินการโดยสมบูรณ์แล้วแก่สำนักพิมพ์ เรียกได้ว่านักวิชาการสมัยนี้ถูกคาดหวังให้ทำงานที่เคยเป็นงานและค่าใช้จ่ายของสำนักพิมพ์ โดยไม่มีค่าตอบแทน[1] สำหรับการแผยแพร่แบบดิจิทัลนั้น การพิมพ์นั้นไม่จำเป็น การทำสำเนานั้นไม่เสียค่าใช้จ่าย และสามารถแจกจ่ายทั่วโลกออนไลน์ได้ทันที[1] เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่มาพร้อมกับต้นทุนต่อหัวที่ลดลงอย่างชัดเจน ทำให้สำนักพิมพ์วิทยาศาสตร์หลักทั้ง 4 สำนักพิมพ์อย่าง แอ็ลเซอเฟียร์ สปริงเกอร์ วิลลีย์ และอินฟอร์มา มีโอกาสลดต้นทุนและสร้างกำไรสนธิอย่างต่อเนื่อง[1]
การเปลี่ยนแปลงจากสถานะเดิม
[แก้]ในวันที่ 21 มกราคม 2555 นักคณิตศาสตร์ ทิโมธี โกเวอส์ เรียกร้องให้คว่ำบาตรแอ็ลเซอเฟียร์ โดยการเผยแพร่ข้อความบนบล็อกส่วนตัวของเขา[2] ข้อความนี้ได้รับความสนใจมากพอที่จะดึงดูดให้สื่อเรียกว่าเป็นการริเริ่มของขบวนการ[3][4] สามเหตุผลที่ทำให้เค้าขอร้องให้มีการคว่ำบาตรได้แก่ ราคาสมาชิกที่สูงของแต่ละวารสาร การรวมชุดวารสารที่มีมูลค่าและความสำคัญต่างกัน และการที่แอ็ลเซอเฟียร์สนับสนุนร่างรัฐบัญญัติหยุดยั้งการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ (SOPA) ร่างรัฐบัญญัติคุ้มครองไอพี รวมไปถึงร่างรัฐบัญญัติงานวิจัย[5][6][7]
แอ็ลเซอเฟียร์ได้โต้เถียงกับคำกล่าวอ้าง และบอกว่าราคาของพวกเขานั้นต่ำกว่าราคาเฉลี่ยในอุตสาหกรรมด้วยซ้ำไป และยังบอกอีกว่าการรวมชุดวารสารนั้นเป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือกในการสั่งซื้อวารสารของแอ็ลเซอเฟียร์เท่านั้น[6] บริษัทยังอ้างว่ากำไรของบริษัทนั้นเป็น "ผลลัพธ์จากการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ"[5] ผู้วิจารณ์ของแอ็ลเซอเฟียร์อ้างว่าในปี ในปี 2553 นั้น 36% ของรายได้ทั้งหมดของแอ็ลเซอเฟียร์ซึ่งมีมูลค่าราว 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐนั้นคือกำไร[8] ขณะที่แอ็ลเซอเฟียร์อ้างว่ามี อัตรากำไรจากการดำเนินงานจำนวน 25.7% ในปี 2553[9]
ผลกระทบและการยอมรับ
[แก้]ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2555 นักวิเคราะห์ของแบงค์ Exane Paribas ได้รายงานผลกระทบทางการเงินของแอ็ลเซอเฟียร์ด้วยราคาหุ้นที่ตกลงหลังจากการคว่ำบาตร[10] เดนนิส สโนเวอร์ วิจารณ์ระบบผูกขาดของสำนักพิมพ์วิทยาศาสตร์ ทว่าในขณะเดียวกันได้บอกว่าเขาไม่สนับสนุนการคว่ำบาตรแม้ว่าเขาดำรงตำแหน่งบรรณาธิการบริหารของวารสารที่เข้าถึงได้แบบเสรีในด้านเศรษฐศาสตร์ก็ตาม เขาคิดว่าควรส่งเสริมการแข่งขันระหว่างวารสารแทนที่จะทำการคว่ำบาตร[11] [12]
เว็บไซต์
[แก้]เว็บไซต์ "เดอะคอสต์ออฟนอลิจ" ถูกสร้างขึ้น และเชิญชวนนักวิจัยและนักวิชาการให้ลงนามประกาศความตั้งใจที่จะไม่ส่งงานพิมพ์ให้กับวารสารของแอ็ลเซอเฟียร์ ไม่ช่วยตัดสินบทความสำหรับวารสารของแอ็ลเซอเฟียร์ และไม่เข้าร่วมกองบรรณาธิการ ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 ประกาศได้มีผู้เข้าร่วมถึง 1,000 คน[13] จากนั้นในภายในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2560 นักวิจัยกว่า 16,000 คนได้เซ็นชื่อลงนามในประกาศนี้[14] ผู้ลงนามในสัญญาหลายๆคนมาจากสาขาเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ และชีววิทยา[15] ใน พ.ศ. 2557 แอ็ลเซอเฟียร์ได้รับบทความจากผู้เขียน 1.8 ล้านคน
ปฏิกิริยาจากแอ็ลเซอเฟียร์
[แก้]ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ปี 2555 แอ็ลเซอเฟียร์ได้ประกาศข้อความบนเว็บไซต์ว่าได้เพิกถอนการสนับสนุนต่อร่างรัฐบัญญัติงานวิจัยเป็นที่เรียบร้อย[16] แม้ว่าขบวนการค่าความรู้ไม่ได้ถูกเอ่ยถึง ข้อความชี้ถึงความหวังที่ขบวนการจะ "ช่วยลดบรรยากาศที่คุกรุ่น และสร้างบรรยากาศที่ก่อให้เกิดผลมากขึ้น" สำหรับการสนทนากับนายทุนงานวิจัย[17]
ขณะที่ผู้ร่วมลงชื่อได้ทำการฉลองกับการที่แอ็ลเซอเฟียร์ได้เพิกถอนการสนับสนุนต่อร่างรัฐบัญญัติงานวิจัย แอ็ลเซอเฟียร์ได้ปฏิเสธและอ้างว่าการกระทำนั้นไม่ได้ส่งผลมาจากการคว่ำบาตร แต่กลับบอกว่าพวกเขาเพิกถอนเนื่องมากจากคำขอของนักวิจัยที่ไม่ได้ร่วมลงชื่อคว่ำบาตร[18]
ในวันเดียวกันแอ็ลเซอเฟียร์ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกให้สมาคมคณิตศาสตร์เพื่อแจ้งเกี่ยวกับเป้าหมายที่จะลดราคาของบทความให้อยู่ที่บทความละ 11 ดอลลาร์สหรัฐ หรือน้อยกว่านั้น[19] หลายชั่วมองต่อมาผู้แทน ดาร์เรลล์ อิสสา และคาร์โรไลน์ มาโลนีย์ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนร่างรัฐบัญญัติได้เผยแพร่ข้อความว่าพวกเขาจะไม่กระตุ้นการออกกฎหมายจากร่างรัฐบัญญัตินี้อีกต่อไป การคว่ำบาตรยังถูกดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน [20][19] ก่อนหน้านั้น ไมก์ เทย์เลอร์จากมหาวิทยาลัยบริสตอลได้กล่าวหาว่าแรงบันดาลใจของอิสสาและมาโลนีย์อาจถูกขับเคลื่อนโดยเงินบริจาคก้อนใหญ่จากแอ็ลเซอเฟียร์ในปี 2554 [21]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 Taylor, Mike (21 February 2012). "It's Not Academic: How Publishers Are Squelching Science Communication". Discover. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-11-12. สืบค้นเมื่อ 22 February 2012.
- ↑ See Sir William Timothy Gowers (January 21, 2012).
- ↑ Grant, Bob (7 February 2012). "Occupy Elsevier?". The Scientist. สืบค้นเมื่อ 12 February 2012.
- ↑ Worstall, Tim (28 January 2012). "Elsevier's Publishing Model Might be About to Go Up in Smoke". forbes.com. สืบค้นเมื่อ 12 February 2012.
- ↑ 5.0 5.1 "Scientific publishing: The price of information". The Economist. 4 February 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-16. สืบค้นเมื่อ 2016-01-12.
- ↑ 6.0 6.1 Flood, Alison (2 February 2012). "Scientists sign petition to boycott academic publisher Elsevier". The Guardian. London: GMG. ISSN 0261-3077. OCLC 60623878. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-16. สืบค้นเมื่อ 2016-01-12.
- ↑ Fischman, Josh (30 January 2012). "Elsevier Publishing Boycott Gathers Steam Among Academics". The Chronicle of Higher Education. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-16. สืบค้นเมื่อ 2016-01-12.
- ↑ Cook, Garret (12 February 2012). "Why scientists are boycotting a publisher – Opinion – The Boston Globe". bostonglobe.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-11-02. สืบค้นเมื่อ 12 February 2012.
- ↑ "2010 highlights". reports.reedelsevier.com. 2012. สืบค้นเมื่อ 17 February 2012.
operating margin
- ↑ Storbeck, Olaf (14 February 2012). "Teure Wissenschaft: Forscher boykottieren Fachverlag". Handelsblatt (ภาษาเยอรมัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-14. สืบค้นเมื่อ 16 February 2012.
- ↑ Storbeck, Olaf (13 February 2012). "Dennis Snower: 'Herausgeber können Gott spielen'". Handelsblatt (ภาษาเยอรมัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-26. สืบค้นเมื่อ 16 February 2012.
- ↑ Hyland, Andy (7 February 2012). "Heard on the Hill: University Senate considering boycotting publisher Elsevier..." Lawrence Journal-World. สืบค้นเมื่อ 16 February 2012.
- ↑ Slind-Flor, Victoria (28 September 2012). "Bard, Motorola, Medicaid, Bullfrog: Intellectual Property". bloomberg.com. สืบค้นเมื่อ 13 February 2012.
- ↑ "The Cost of Knowledge". สืบค้นเมื่อ 25 November 2016.
- ↑ Peek, Robin (13 February 2012). "The Cost of Knowledge Versus Elsevier: 5,600 Signatures and Growing". Information Today, Inc. สืบค้นเมื่อ 13 February 2012.
- ↑ "Elsevier Backs Down as Boycott Grows". สืบค้นเมื่อ 29 February 2012.
- ↑ Taylor, Mike (16 January 2012). "Academic publishers have become the enemies of science". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 29 February 2012.
- ↑ Howard, Jennifer (27 February 2012). "Legislation to Bar Public-Access Requirement on Federal Research Is Dead". The Chronicle of Higher Education. สืบค้นเมื่อ 28 February 2012.
- ↑ 19.0 19.1 Aron, Jacob. "Elsevier vows to keep price of mathematics journals low". New Scientist.
- ↑ "Sponsors and Supporters Back Away from Research Works Act". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-07-02. สืบค้นเมื่อ 29 February 2012.
- ↑ Taylor, Mike (16 January 2012). "Academic publishers have become the enemies of science". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 29 February 2012.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- เว็บไซต์ทางการ
- Gowers, Timothy (21 January 2012). "Elsevier – my part in its downfall". Gowers's Weblog. WordPress.com. — The blog post associated with the start of the campaign
- Elsevier's open letter response
- collection of media coverage of The Cost of Knowledge