ประสบการณ์ผิดธรรมดา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก False awakening)

ประสบการณ์ผิดธรรมดา (อังกฤษ: anomalous experiences) หรือที่เรียก ประสาทหลอนไม่ร้าย เกิดขึ้นได้ในบุคคลที่มีสุขภาพกายและใจดี แม้ไม่มีปัจจัยภายนอกชั่วคราวอย่างอื่น ๆ เช่นความล้า การใช้สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท หรือภาวะขาดความรู้สึกจากประสาทสัมผัส

ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกว้างขวางแล้วว่า ประสบการณ์ประสาทหลอนไม่ได้เกิดเฉพาะในคนไข้โรคจิตหรือบุคคลปกติที่มีภาวะผิดปกติเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นเองในคนปกติในอัตราส่วนที่สำคัญ ทั้ง ๆ ที่มีสุขภาพที่ดีและไม่ได้มีภาวะเครียดหรือความผิดปกติอย่างอื่น ๆ

มีการเพิ่มพูนหลักฐานของประสบการณ์แบบนี้ มามากว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว การศึกษาเรื่องประสาทหลอนที่ไม่มีผลร้ายเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1886 งานยุคแรก ๆ ของสมาคมวิจัยพลังจิต (Society for Psychical Research)[1][2] บอกเป็นนัยว่า อัตราร้อยละ 10 ของประชากรจะประสบกับประสาทหลอนอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ส่วนงานวิจัยเร็ว ๆ นี้ก็ได้ยืนยันประเด็นนี้แล้ว แม้ว่า ความถี่ของอุบัติการณ์นี้แตกต่างกัน แล้วแต่ลักษณะของประสบการณ์และความหมายที่ใช้ของคำว่า "ประสาทหลอน" แต่โดยพื้นฐาน มีหลักฐานเกี่ยวกับอุบัติการณ์นี้ที่ชัดเจนแล้ว[3]

ประเภท[แก้]

อุบัติการณ์ที่น่าสนใจที่สุด (ซึ่งจะกล่าวถึงเหตุผลต่อไป) ก็คือประสบการณ์ผิดธรรมดาที่เหมือนจริงอย่างยิ่ง

การปรากฏของบุคคลหรือสิ่งของ[แก้]

ประสบการณ์ผิดธรรมดาที่สามัญอย่างหนึ่งก็คือ การปรากฏของบุคคลหรือสิ่งของ (apparitional experience) ซึ่งจำกัดความได้ว่า เป็นปรากฏการณ์ที่มีการรับรู้ว่ามีบุคคลอื่นหรือว่ามีสิ่งของที่ไม่มีอยู่จริง ๆ ผู้ที่รายงานปรากฏการณ์นี้ด้วยตนเองมักจะรายงานถึงการรับรู้ถึงรูปคล้ายคน แต่ว่าการรับรู้ถึงสัตว์[4] และถึงวัตถุอื่น ๆ ก็ยังมีด้วย[5] ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ สิ่งที่ปรากฏคล้ายคนโดยมากจะไม่ใช่บุคคลที่คนนั้นรู้จัก และสำหรับในบุคคลที่รู้จัก คนที่ปรากฏนั้นจะไม่ใช่คนที่ตายแล้ว[6]

ประสบการณ์ออกนอกร่าง[แก้]

คนโดยมากมักจะคิดถึงประสบการณ์ออกนอกร่าง (Out-of-body experiences) ว่ามีความเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ใกล้ตาย (near-death experience) แต่จริง ๆ แล้ว หลักฐานกลับชี้ว่า ประสบการณ์ออกนอกร่างโดยมากไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่ใกล้ตาย แต่จะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่มีความตื่นตัวระดับที่สูงมากหรือระดับที่ต่ำมาก[7]

ดร. แม็คเคลียรี[8] ได้เสนอว่า ระดับความตื่นตัวที่เหมือนจะขัดแย้งกันอย่างนี้สามารถอธิบายได้ว่า การนอนหลับไม่ใช่เกิดขึ้นในภาวะที่มีความตื่นตัวต่ำและมีความรู้สึกทางประสาทสัมผัสน้อยลงโดยทั่วไปเพียงเท่านั้น แต่ยังเกิดในภาวะที่มีความเครียดจัดและมีความตื่นตัวสูงด้วย[9] ถ้าอธิบายโดยใช้แนวทางนี้ ก็จะอธิบายได้ว่า ประสบการณ์ออกนอกร่างเกิดขึ้นเพราะกระบวนการนอนหลับขั้นที่ 1 ได้เกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังตื่นอยู่

ประสบการณ์ออกนอกร่างสามารถพิจารณาว่าเป็นอาการประสาทหลอน[ต้องการอ้างอิง] เพราะเป็นประสบการณ์รับรู้หรือคล้ายการรับรู้ ซึ่งสิ่งที่รับรู้ไม่ได้มีอยู่จริง ๆ ทางกายภาพ ดังนั้น ข้อมูลประสาทสัมผัสจริง ๆ ที่บุคคลนั้นได้รับ (ถ้ามี) ในช่วงประสบการณ์ ก็จะไม่ตรงกลับกับการรับรู้ถึงโลกรอบตัวของบุคคลนั้น

เหมือนกับประสบการณ์เกี่ยวกับประสาทหลอนอย่างอื่น ๆ ผลสำรวจประชากรพบว่า ประสบการณ์นี้ค่อนข้างสามัญ โดยมีความชุกที่อัตราร้อยละ 15-20[10] ค่าที่แตกต่างกันเชื่อว่าเกิดขึ้นเพราะความต่างของกลุ่มประชากรที่สุ่มตรวจสอบ และความแตกต่างของความหมายของคำว่า ประสบการณ์ออกนอกร่าง ที่ใช้ในการสำรวจ

ความฝันและความฝันรู้ตัว[แก้]

ความฝันได้รับคำนิยามจากชนบางพวก (เช่นสารานุกรมบริตานิกา) ว่าเป็นประสบการณ์คล้ายประสาทหลอนในช่วงที่นอน[11]

ส่วน ความฝันรู้ตัว หรือ ความฝันชัดเจน (อังกฤษ: lucid dream) มีนิยามคือ เป็นความฝันที่ผู้ฝันรู้ตัวว่ากำลังหลับและฝันอยู่ นายแพทย์ชาวดัตช์ชื่อว่าเฟร็ดเดอริก แวน อีเด็นใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษว่า lucid dream เป็นคนแรก[12] เป็นผู้ได้ศึกษาความฝันประเภทนี้โดยศึกษาความฝันของตนเอง คำว่า lucid มุ่งหมายว่า ผู้ฝันมีความเข้าใจเกี่ยวกับสภาวะปัจจุบันของตน ไม่ใช่หมายถึงว่า ความฝันนั้นมีความชัดเจนขนาดไหน แม้เป็นเช่นนั้น ความฝันรู้ตัวก็มีลักษณะอย่างหนึ่งคือ มีระดับความชัดเจนสูงเหมือนกับกำลังประสบเหตุการณ์นั้นจริง ๆ จนกระทั่งว่าผู้ฝันอาจจะถึงกับใช้เวลาในการเช็คดู และชมสิ่งแวดล้อมที่กำลังประสบว่า เหมือนกันกับที่พบในชีวิตจริง ๆ[13]

ความฝันรู้ตัวเกิดขึ้นเมื่อกำลังหลับอยู่ แต่บางครั้งพิจารณาว่าเป็นอาการประสาทหลอน เหมือนกับความฝันที่ไม่รู้ตัวแต่มีความชัดเจนสูงเหมือนกับเกิดขึ้นจริง ๆ ซึ่งพิจารณาได้ว่าเป็นอาการประสาทหลอน ซึ่งเป็นอาการที่มีนิยามว่า "ประสบการณ์เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นทางประสาทสัมผัสจริง ๆ แต่ความจริงไม่มีการกระตุ้นที่เหมาะสมที่ประสาทสัมผัส"[14]

การตื่นนอนเทียม[แก้]

ส่วน การตื่นนอนเทียม (อังกฤษ: False awakenings) หมายถึงบุคคลนั้นเหมือนกับจะตื่นขึ้น จากการฝันปกติหรือฝันแบบรู้ตัว แต่จริง ๆ แล้ว ยังหลับอยู่[15] บางครั้งประสบการณ์นี้จะเหมือนจริงมาก (เช่นเหมือนกับจะตื่นขึ้นในห้องนอนของตน) จนกระทั่งว่า ความรู้สึกตัวว่ากำลังฝันอยู่ จะไม่ปรากฏโดยทันที และบางครั้งจะไม่รู้ตัวจนกระทั่งตื่นขึ้นจริง ๆ แล้วจึงรู้ตัวว่า สิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นเป็นอาการประสาทหลอน ประสบการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยในบุคคลที่ฝึกการฝันแบบรู้ตัว แต่ว่า ก็เกิดขึ้นเองด้วย และมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับอาการผีอำ (อังกฤษ: sleep paralysis[16])

ประสาทหลอนที่ทำให้เกิดขึ้นในห้องแล็บ[แก้]

อาการประสาทหลอนหรือประสบการณ์ผิดธรรมดาที่เหมือนกับในคนโรคจิตเหล่านี้ เป็นความเปลี่ยนแปลงของการรับรู้เหตุการณ์ตามความเป็นจริงในระดับสูง แต่จริง ๆ แล้ว การรับรู้โดยทั่ว ๆ ไปต้องอาศัยการตีความ คือสิ่งที่เรารับรู้นั้นมีอิทธิพลอย่างสูงจากประสบการณ์ที่เคยมีมาก่อน และจากความคาดหวังของเรา บุคคลที่มักจะมีอาการประสาทหลอน คือบุคคลที่ได้คะแนนสูงในการทดสอบทางจิตวิทยาที่วัดความบวกของ schizotypy[17] ผู้มักจะแจ้งถึงตัวกระตุ้น ที่ไม่ได้มีจริง ๆ ภายใต้สภาพการทดลองที่มีการรับรู้ที่คลุมเครือ[18][19]

ภายใต้การทดสอบเพื่อตรวจจับคำที่กำลังเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วทางตา นักศึกษาชั้นปริญญาตรีที่ได้คะแนนสูงจากการวัดความบวกของ schizotypy จะมีอัตราสูงในการรับรู้คำที่ไม่มี คือแจ้งว่า เห็นคำที่ไม่ได้ปรากฏในระหว่างการทดลอง[20] การได้คะแนนสูงเมื่อวัดความบวกของ schizotypy ดูเหมือนจะเป็นตัวพยากรณ์การรับรู้ที่ไม่ตรงกับความจริงในการทดลองในห้องแล็บ แต่ตัวแปรบางอย่างเช่น จำนวนตัวกระตุ้น (perceptual load)[21] และความถี่ (คือความเร็ว) ของตัวกระตุ้นที่ปรากฏ[22] ก็มีควาสำคัญระดับวิกฤติเพื่อให้เกิดการรับรู้ที่ผิดไปจากความจริงด้วย คือ ถ้าการตรวจจับสิ่งที่ต้องการหาไม่ต้องใช้ความพยายามมาก หรือถ้าการรับรู้ถึงสิ่งนั้นต้องอาศัยการแปลผลในระบบต่าง ๆ ของสมองมาก ปรากฏการณ์นี้ก็จะไม่เกิดขึ้น[23]

เสียงหลอน[แก้]

เสียงหลอน โดยเฉพาะที่เป็นเสียงพูด มักเข้าใจกันว่าเป็นอาการเฉพาะอย่างหนึ่งของคนไข้โรคจิตเภท แต่จริง ๆ แล้ว บุคคลปกติก็รายงานถึงการได้ยินเสียงหลอนในระดับที่น่าแปลกใจเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น นักวิจัยเบ็นทอลล์และนักวิจัยสเลด[24] พบว่า อัตราร้อยละ 15.4 ของนักศึกษาชายจำนวน 150 คน กล้าที่จะยืนยันความนี้ว่า "ในอดีต ผมได้ประสบการได้ยินเสียงของคน แต่กลับพบว่าไม่มีคนอื่นในที่นั้น" นักวิจัยทั้งสองยังกล่าวต่อไปอีกว่า

... ไม่น้อยกว่า 17.5% (ของนักศึกษา) พร้อมที่จะตอบคำถามนี้ว่า "ผมบ่อยครั้งได้ยินเสียงที่กล่าวความคิดของผมออกมาให้ได้ยิน" ด้วยคำตอบว่า "เป็นอย่างนี้จริง ๆ " (แต่ว่า จริง ๆ แล้ว) การได้ยินแบบสุดท้ายนี้ปกติจะได้รับการพิจารณาว่า เป็นอาการเบื้องต้นของโรคจิตเภท

นักวิจัยกรีนและ ดร. แม็คเครียรี[25] พบว่า 14% ผู้ตอบคำถามอาสาสมัครแจ้งการได้ยินหลอนแบบล้วน ๆ และเกือบครึ่งหนึ่งของบุคคลเหล่านั้น ได้ยินเสียงพูดทั้งที่ชัดเจนและไม่ชัดเจน ตัวอย่างหนึ่งก็คือนายวิศวกรคนหนึ่งซึ่งต้องทำการตัดสินใจทางอาชีพที่ยากอย่างหนึ่ง ผู้ซึ่งเมื่อกำลังอยู่ในโรงหนังได้ยินเสียงพูดที่ "ดังและชัดเจน" ว่า "คุณรู้ไหมว่า คุณทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก" นายวิศวกรคนนั้นกล่าวเพิ่มอีกด้วยว่า

เสียงนั้นชัดเจนกังวานดีจนกระทั่งว่าผมต้องหันไปมองเพื่อนของผม ผู้ที่กำลังดูหนังอยู่อย่างเพลิดเพลิน ผมรู้สึกอัศจรรย์ใจแต่ก็สบายใจด้วยเมื่อมีความชัดเจนแล้วว่า มีผมคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยินเสียงนั้น[26]

กรณีนี้เป็นเหมือนตัวอย่างที่นักวิจัยโพซี่และลอสช์[27] เรียกว่า "ได้ยินเสียงปลอบโยนหรือให้คำแนะนำที่ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นความคิดของตนเอง" ซึ่งพวกเขาประมาณว่า ร้อยละ 10 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอเมริกันในกลุ่มการทดสอบของพวกเขาได้พบกับประสบการณ์เช่นนี้

ความรู้สึกว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย[แก้]

นี้เป็นประสบการณ์ที่ขัดแย้งกันที่บุคคลมีความรู้สึกที่ชัดเจนว่า มีคนอื่นอยู่ด้วย เป็นคนที่บางครั้ง รู้จัก บางครั้ง ไม่รู้จัก แต่ว่า ไม่ได้มีความรู้สึกอะไร ๆ จากประสาทสัมผัส

นักจิตวิทยาและนักปรัชญาชาวอเมริกันยุคศตวรรษที่ 19 ชื่อว่า วิลเลียม เจมส์ พรรณนาประสบการณ์เช่นนี้ไว้ว่า

จากคำของคนที่มีประสบการณ์นี้ ว่าเป็นความรู้สึกในใจที่แน่นอนและมั่นใจ ประกอบพร้อมกับความเชื่อว่ามีบุคคลนั้นอยู่ในที่นั้นจริง ๆ เป็นความเชื่อที่มีกำลังเท่าที่จะมีได้เหมือนได้รับข้อมูลทางประสาทสัมผัส แม้ว่า จริง ๆ แล้ว จะไม่มีข้อมูลจากประสาทสัมผัส ปรากฏการณ์นี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นจากความคิดล้วน ๆ แต่ที่มาประกอบพร้อมกับกับความรู้สึกเร่งเร้าที่ปกติจะมากับความรู้สึกทางประสาทสัมผัส[28]

คำอธิบายต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของประสบการณ์ประเภทนี้

สามีของดิฉันเสียชีวิตไปในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 1945 ต่อมาวันหนึ่งหลังจากนั้นอีก 26 ปี ในขณะที่ดิฉันอยู่ที่โบสถ์ ดิฉันรู้สึกว่าเขากำลังยืนอยู่ข้าง ๆ ดิฉันเมื่อกำลังร้องเพลงสวดอยู่ ดิฉันรู้สึกว่า ถ้าหันหน้าไปทางนั้นก็จะเห็นเขา ความรู้สึกนี้มีกำลังมากจนดิฉันถึงกับร้องไห้ และดิฉันก็ไม่ได้คิดถึงเขาจนกระทั่งรู้สึกว่าเขามาอยู่ที่ข้าง ๆ ดิฉันไม่ได้เคยมีความรู้สึกแบบนี้ และความรู้สึกนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นอีกตั้งแต่นั้น[29]

ประสบการณ์เช่นนี้มีลักษณะเหมือนกับประสาทหลอนยกเว้นอยู่อย่างเดียว คือ นักวิจัยสเลดและเบ็นทอลล์ได้เสนอความหมายของคำว่า ประสาทหลอน (อังกฤษ: hallucination) ไว้ว่า

ประสบการณ์เหมือนกับการรับรู้ทางประสาทสัมผัสที่

  1. เกิดโดยไม่มีตัวกระตุ้นที่เหมาะสม
  2. มีกำลังหรือผลเหมือนกับมีการรับรู้ทางประสาทสัมผัสนั้นจริง ๆ
  3. ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจจิตใจใต้การบังคับของคนที่ประสบความรู้สึกเช่นนั้น[30]

ประสบการณ์ที่เพิ่งกล่าวถึงมีลักษณะที่ 2 และที่ 3 ของคำนิยามนั้น นอกจากนั้น อาจจะสามารถเพิ่มลักษณะอีกอย่างหนึ่งได้ด้วย คือบุคคลที่เหมือนกับจะมี จะอยู่ที่ตำแหน่งหนึ่ง ๆ ที่ชัดเจนภายในสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว โดยนัยนี้ อาจจะกล่าวได้ว่า ประสบการณ์นี้มีลักษณะหลอนมากกว่าประสบการณ์อย่างอื่น ๆ เช่น สิ่งที่เห็นก่อนจะหลับหรือก่อนจะตื่น ที่อาจจะรู้สึกโดยเป็นวัตถุภายนอก แต่เป็นวัตถุภายนอกที่อยู่ในจิตใจของตน[31][32]

ความรู้สึกถึงคนตาย[แก้]

ความรู้สึกถึงญาติที่พึ่งตาย เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ซึ่งอาจจะเป็นความรู้สึกที่ชัดเจน หรืออาจจะเป็นความรู้สึกแบบคลุมเครือว่ามีอยู่ นักวิจัยรีซ[33] ทำการสัมภาษณ์คนม่าย 293 คนผู้อาศัยอยู่ในภาคกลางของประเทศเวลส์ พบว่า 14% มีประสาทหลอนทางตาเกี่ยวกับคู่ครองที่จากไป 13.3% มีประสาทหลอนทางหู และ 2.7% มีประสาทหลอนทางสัมผัส แต่ว่า มีความเหลื่อมล้ำกันบ้างในระหว่างกลุ่มบุคคลเหล่านั้น เพราะว่าบางคนมีประสาทหลอนมากกว่าทางประสาทสัมผัสเดียว ที่น่าสนใจก็คือ ในหัวข้อก่อน (ความรู้สึกว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย) มี 46.7% ของผู้ที่ได้รับการสำรวจทั้งหมด ที่แจ้งความรู้สึกถึงคู่ครองที่ตายไป และแม้งานศึกษาอื่น ๆ ที่ศึกษาความรู้สึกว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย ก็พบว่าประมาณ 50% มีความรู้สึกถึงคู่ครองที่ตายไปแล้วเหมือนกัน[34][35]

การมีความรู้สึกถึงคนที่ตายไปแล้วเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้ามเชื้อชาติ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่มีการถือเอาต่าง ๆ กันตามวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อม[36] ยกตัวอย่างเช่น งานศึกษายุคต้น ๆ ที่สุดงานหนึ่งที่พิมพ์ในวารสารชาวตะวันตกที่มีการตรวจสอบโดยผู้มีความชำนาญสาขาเดียวกัน ได้ทำการตรวจสอบประสบการณ์ของคนม่ายชาวญี่ปุ่น แล้วพบว่า 90% มีความรู้สึกถึงคู่ครองที่ตายไป[37] แต่ว่า โดยเปรียบเทียบกับประสบการณ์ของชาวตะวันตก คนม่ายเหล่านั้นไม่ได้วิตกกังวลถึงความผิดปกติทางจิตของตน แต่อธิบายปรากฏการณ์นั้นตามคำสอนศาสนาของตน

ในโลกตะวันตก งานศึกษาที่กล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้รับอิทธิพลจากความคิดเชิงจิตวิเคราะห์ และมักจะพิจารณาปรากฏการณ์เหล่านั้นว่าเป็นพฤติกรรมเชิงปฏิเสธ ตามเชิงการวิเคราะห์ของซิกมุนด์ ฟรอยด์ที่กล่าวไว้ในบทความ "Mourning and Melancholia (การไว้ทุกข์กับความหดหู่เศร้าใจ)" โดยเป็นการ "ยึดถือบุคคล (หรือวัตถุ) นั้นไว้ สื่อโดยอาการโรคจิตที่เป็นประสาทหลอน ที่เป็นไปตามความอยากจะให้เป็นอย่างนั้น"[38]

ส่วนในช่วงทศวรรษที่พึ่งผ่าน ๆ มานี้ โดยต่อยอดหลักฐานสากลว่าประสบการณ์เช่นนี้เป็นการปรับตัว สมมุติฐานว่าเป็นความสัมพันธ์ทางใจที่ยังไม่ขาด ที่เสนอโดยคณะของนักวิจัยคลาส (1996)[39] เสนอว่า ประสบการณ์เช่นนี้สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นเรื่องปกติ และอาจเป็นตัวช่วยให้เกิดการปรับตัว แม้ในวัฒนธรรมของชาวตะวันตกได้ด้วย

ดังนั้น ตั้งแต่งานศึกษาของคลาสมา ได้มีงานศึกษาต่อ ๆ มา ที่ได้พรรณนาโดยมากถึงประโยชน์ที่ได้จากประสบการณ์อย่างนี้ โดยเฉพาะเมื่อสามารถสร้างความเข้าใจได้โดยใช้คำสอนของศาสนา[40][41] แม้ว่า โดยมากประสบการณ์อย่างนี้มักจะทำให้ผู้ประสบเกิดความสบายใจ แต่ว่า ยังมีบุคคลจำนวนหนึ่งแม้จะน้อย ที่ได้ประสบการณ์ที่น่าพรั่นพรึง ดังนั้น ก็ยังมีงานวิจัยที่กำลังเป็นไปอยู่ เช่นของนักวิจัยฟิลด์และนักวิจัยอื่น ๆ[42] เพื่อศึกษาว่า เมื่อไรความสัมพันธ์ทางใจที่ยังไม่ขาดอย่างนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประสบ และเมื่อไร อาจจะมีผลเสีย

ผลต่อทฤษฎีต่าง ๆ[แก้]

ทฤษฎีทางจิตวิทยา[แก้]

ความสำคัญของประสบการณ์ผิดธรรมดาเช่นประสาทหลอนที่ไม่มีผลร้ายที่มีต่อทฤษฎีทางจิตวิทยา อยู่ที่ความเกี่ยวข้องของมันต่อทฤษฎีที่วิเคราะห์ว่าเป็นอาการของโรค และทฤษฎีที่วิเคราะห์ว่ามีการเกิดขึ้นในระดับต่าง ๆ ในแต่ละบุคคล ในทฤษฎีว่าเป็นโรค ภาวะโรคจิตต่าง ๆ เช่นภาวะที่มีในโรคจิตเภทหรือในโรคอารมณ์สองขั้ว (bipolar disorder) เป็นอาการของโรค ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วจะแบ่งกลุ่มบุคคลออกเป็นสองส่วน คือเป็นพวกที่มีหรือไม่มีโรค เหมือนกับที่บุคคลมีหรือไม่มีโรคทางกายเช่นวัณโรคเป็นต้น

นัยตรงกันข้ามกัน ในทฤษฎีว่ามีการเกิดขึ้นในระดับต่าง ๆ ในแต่ละบุคคล ประชากรทั้งหมดมีประสบการณ์นี้ในระดับต่าง ๆ กัน ซึ่งมีคำเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า psychoticism (โดย H.J.Eysenck), schizotypy (โดย Gordon Claridge), หรือ psychosis-proneness[43]

การเกิดขึ้นเองของประสาทหลอนแม้ในบุคคลที่มีสุขภาพดี ไม่ได้เสพยา หรือมีสภาวะร่างกายที่ผิดปกติแบบชั่วคราวอย่างอื่น ๆ เช่นความล้า ดูเหมือนจะเป็นหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีว่าประสาทหลอนเกิดขึ้นในระดับต่าง ๆ ในแต่ละบุคคล[44] ถ้าจะอธิบายเป็นอย่างอื่นจากทฤษฎีนี้ ก็จะต้องตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับกระบวนการแอบแฝงของโรค โดยที่ประสบการณ์เหล่านี้เป็นอาการของโรคหรือเป็นอาการก่อนโรคจะเกิดขึ้น แต่นี่เป็นสมมุติฐานที่ต้องอาศัยหลักฐานอื่นที่ยังไม่มี มาช่วยสนับสนุน

ทฤษฎีทางปรัชญา[แก้]

หลักฐานจากประสบการณ์ประสาทหลอน เป็นข้อยืนยันที่มักจะใช้ในการสนับสนุนทฤษฎีสัจนิยมโดยตัวแทนเพื่อเปรียบเทียบกับทฤษฎีสัจนิยมโดยตรง ทฤษฎีสัจนิยมโดยตัวแทนเสนอว่า เมื่อมีการรับรู้คุณลักษณะของโลก เราไม่ได้รับรู้คุณลักษณะเหล่านั้นโดยตรง เหมือนกับที่สามัญสำนึกอาจจะบอกเรา[ต้องการอ้างอิง], แต่เราสามารถรับรู้ตัวแทน (หรือแบบจำลอง) ของคุณลักษณะของโลกที่มีอยู่ในใจเพียงเท่านั้น ข้อมูลตัวแทนนั้นจะแม่นยำแค่ไหนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ขณะนั้น กับสุขภาพ และกับองค์ประกอบอื่น ๆ

โดยนัยตรงกันข้าม ทฤษฎีสัจนิยมโดยตรงเสนอว่า ความรู้สึกการรับรู้ส่วนที่ไม่ประกอบด้วยความคิดตรงกับความจริงของโลก และเมื่อมีการรับรู้คุณลักษณะของโลก ให้พึงพิจารณาว่า เรามีการรับรู้โลกนั้นโดยตรง โดยไม่ผ่านตัวแทนอะไร ๆ ที่อยู่ในใจ

แต่ว่า มีความชัดเจนแล้วว่า เหมือนกับประสบการณ์ที่กล่าวถึงในการปรากฏของบุคคลหรือสิ่งของ โลกที่บุคคลนั้นกำลังรับรู้ และโลกที่มีอยู่จริง ๆ ในขณะนั้น ไม่เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่สำหรับบุคคลนั้น ประสบการณ์ผิดธรรมดานั้นอาจจะไม่มีความแตกต่างจากการรับรู้แบบปกติธรรมดาอะไร ๆ เลย ดร. แม็คเคลียรี[45] เสนอว่า ปรากฏการณ์ที่เห็นได้จากประสบการณ์เช่นนี้ ยืนยันความถูกต้องของทฤษฎีสัจนิยมโดยตัวแทนเหนือทฤษฎีสัจนิยมโดยตรง

ดูเพิ่ม[แก้]

เชิงอรรถและอ้างอิง[แก้]

  1. Gurney, E., Myers, F.W.H. and Podmore, F. (1886) . Phantasms of the Living, Vols. I and II. London: Trubner and Co..
  2. Sidgwick, Eleanor; Johnson, Alice; and others (1894) . Report on the Census of Hallucinations, London: Proceedings of the Society for Psychical Research, Vol. X.
  3. See Slade, P.D. and Bentall, R.P. (1988) . Sensory Deception: a scientific analysis of hallucination. London: Croom Helm, for a review.
  4. See, for example, Green, C., and McCreery, C. (1975) . Apparitions. London: Hamish Hamilton, pp. 192-196.
  5. Apparitions, pp. 197-199.
  6. Apparitions, pp. 178-183.
  7. Irwin, H.J. (1985) . Flight of Mind: a psychological study of the out-of-body experience. Metuchen, New Jersey: The Scarecrow Press.
  8. McCreery, C. (2008) . Dreams and psychosis: a new look at an old hypothesis. Psychological Paper No. 2008-1. Oxford: Oxford Forum. Online PDF เก็บถาวร 2019-02-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  9. Oswald, I. (1962) . Sleeping and Waking: Physiology and Psychology. Amsterdam: Elsevier.
  10. See Irwin, op.cit., for a review.
  11. "Dream".
  12. van Eeden, F. (1913) . A study of dreams. Proceedings of the Society for Psychical Research, 26, Part 47, pp. 431-461.
  13. See Green, C. (1968) . Lucid Dreams. London: Hamish Hamilton, for examples.
  14. Drever, (1952) . A Dictionary of Psychology. London: Penguin.
  15. Cf. Green C. and McCreery C. (1994) . Lucid Dreaming: the Paradox of Consciousness During Sleep. London: Routledge. Chapter 7.
  16. อาการผีอำ (อังกฤษ: sleep paralysis) เป็นปรากฏการณ์ในขณะที่ใกล้จะหลับหรือกำลังตื่น ที่บุคคลนั้นเคลื่อนไหวไม่ได้
  17. schizotypy เป็นความคิดทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ที่ระบุบุคลิกภาพและประสบการณ์ต่าง ๆ ของบุคคลเป็นแนวต่อเนื่องเริ่มตั้งแต่สภาวะปกติแต่ไม่สนใจใครมีความคิดสร้างสรรค์สูง จนกระทั่งถึงสภาวะแบบสุด ๆ ที่มักจะเกี่ยวข้องกับโรคจิต โดยเฉพาะโรคจิตเภท
  18. Bentall R.P, & Slade P.D. (1985) . Reality testing and auditory hallucinations: a signal detection analysis. British Journal of Clinical Psychology, 24, 159 -169.
  19. Tsakanikos, E. & Reed, P. (2005) . Seeing words that are not there: detection biases in psychometric schizotypy. British Journal of Clinical Psychology, 44, 295-299
  20. Tsakanikos, E. & Reed, P. (2005) . Do positive schizotypal symptoms predict false perceptual experiences in non-clinical population? Journal of Nervous and Mental Diseases, 193, 809-812.
  21. Tsakanikos, E. (2006) . Perceptual biases and positive schizotypy: the role of perceptual load. Personality and Individual Differences, 41, 951-958.
  22. Reed, P., Wakefield, D., Harris, J., Parry, J., Cella, M. & Tsakanikos, E. (2008) . Seeing non-existing events: effects of environmental conditions, schizotypal symptoms and sub-clinical characteristics. Journal of Behavior Therapy & Experimental Psychiatry, 39, 276-291.
  23. Tsakanikos, E. (2006) . Perceptual biases and positive schizotypy: the role of perceptual load. Personality and Individual Differences, 41, 951-958.
  24. Bentall R.P. and Slade P.D. (1985) . Reliability of a scale measuring disposition towards hallucination: a brief report. Personality and Individual Differences, 6, 527 529.
  25. Green and McCreery, Apparitions, op.cit. p.85.
  26. Apparitions, pp. 85-86.
  27. Posey, T.B. and Losch, M.E. (1983) . Auditory hallucinations of hearing voices in 375 normal subjects. Imagination, Cognition and Personality, 3, 99-113.
  28. James, W. (1890; 1950) . Principles of Psychology, Volume II. New York, Dover Publications, pp. 322-3.
  29. Green and McCreery, Apparitions, op.cit., p.118.
  30. Slade and Bentall, op.cit., p.23.
  31. Leaning, F.E. (1925) . An introductory study of hypnagogic phenomena. Proceedings of the Society for Psychical Research, 35, 289-409.
  32. Mavromatis, A. (1987) . Hypnagogia: the Unique State of Consciousness Between Wakefulness and Sleep. London: Routledge and Kegan Paul.
  33. Rees, W.D. (1971) . The hallucinations of widowhood. British Medical Journal, 4, 37-41.
  34. Datson, S.L., & Marwit, S.J. (1997) . Personality constructs and perceived presence of deceased loved ones. Death Studies, 21, 131-146.
  35. Olson, P.R., Suddeth, J.A., Peterson, P.A., & Egelhoff, C. (1985) . Hallucinations of widowhood. Journal of the American Geriatric Society, "33", 543-547.
  36. Steffen, E., & Coyle, A. (2012) . 'Sense of presence' experiences in bereavement and their relationship to mental health: A critical examination of a continuing controversy. In C. Murray (Ed.) . Mental health and anomalous experience, New York: Nova Science Publishers.
  37. Yamamoto, J., Okonogi, K., I wasaki, T., & Yoshimura, S. (1969) . Mourning in Japan. American Journal of Psychiatry, 125, 1660-1665.
  38. Freud, S. (1917) . Mourning and melancholia. In J. Strachey (Ed. and Trans.) . The standard edition of the complete psychological works of Sigmund Freud (Vol. XIV) (pp. 252-268) . London: Hogarth Press.
  39. Klass, D., Silverman, P.R., & Nickman, S. (Eds.) . (1996) . Continuing bonds: New understandings of grief. Bristol: Taylor & Francis.
  40. Kwilecki, S. (2011) . Ghosts, meaning, and faith: After-death communications in bereavement narratives. Death Studies", 35, 219-243.
  41. Steffen, E., & Coyle, A. (2011) . Sense of presence experiences and meaning-making in bereavement: A qualitative analysis.Death Studies, 35, 579-609.
  42. Field, N.P., & Filanosky, C. (2010) . Continuing bonds, risk factors for complicated grief, and adjustment to bereavement. Death Studies, 34, 1-29.
  43. For a discussion of the concept of schizotypy and its variants, cf. McCreery, C. and Claridge, G. (2002) . Healthy schizotypy: the case of out-of-the-body experiences. Personality and Individual Differences, 32, 141-154.
  44. Berrios G E (2005) On Fantastic Apparitions of Vision and Johannes Müller. History of Psychiatry 16: 229-246.
  45. McCreery, C. (2006) . "Perception and Hallucination: the Case for Continuity." Philosophical Paper No. 2006-1. Oxford: Oxford Forum. Online PDF เก็บถาวร 2019-12-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

  • Aleman, A & Laroi, F. (2008) . Hallucinations: the science of idiosyncratic perception. Washington: American Psychological Association.
  • Birchwood, Max J., Chadwick, Paul, and Trower, Peter (1996) . Cognitive Therapy for Delusions, Voices and Paranoia. New York: John Wiley & Sons Inc.
  • Cardeña, E., Lynn, S.J., & Krippner, S. (2000) . Varieties of anomalous experience: Examining the scientific evidence. American Psychological Association.
  • Johnson, Fred H., (1978) . The Anatomy of Hallucinations. Chicago: Nelson-Hall.
  • Murray, C. (Ed.) (2012) . Mental health and anomalous experience. New York: Nova Science Publishers.
  • Pearson, R.S. (2005) The Experience of Hallucinations in Religious Practice. Seattle: Telical Books.
  • Aleman, A & Laroi, F. (2008) . Hallucinations: the science of idiosyncratic perception. Washington: American Psychological Association.