โรคพยาธิตาบอด
โรคพยาธิตาบอด | |
---|---|
![]() ริ้นดำ ตัวเต็มวัยที่มีพยาธิปรสิตชนิด Onchocerca volvulus กำลังออกมาจากหนวดของมัน ภาพขยาย 100 เท่า | |
บัญชีจำแนกและลิงก์ไปภายนอก | |
ICD-10 | B73 |
ICD-9 | 125.3 |
DiseasesDB | 9218 |
eMedicine | med/1667 oph/709 |
MeSH | D009855 |
โรคพยาธิตาบอด (Onchocerciasis) ที่รู้จักเช่นกันว่า โรคตาบอดแถบแม่น้ำ (river blindness) และ โรคโรเบิ้ลส์ (Robles disease) เป็นโรคที่มีสาเหตุการติดเชื้อจาก พยาธิปรสิต ที่เรียกว่าOnchocerca volvulus[1] อาการ ได้แก่ อาการคันอย่างรุนแรง ตุ่มใต้ผิวหนังและ ตาบอด[1] โดยเป็นสาเหตุที่พบมากเป็นอันดับสองที่ทำให้เกิดตาบอดจากการติดเชื้อ รองมาจาก ริดสีดวงตา[2]
สาเหตุและการวินิจฉัย
[แก้]พยาธิปรสิตชนิดดังกล่าวแพร่กระจายผ่านทางรอยกัดจาก ริ้นดำ ชนิด ซิมูเลียม [1] ปกติก่อนจะเกิดการติดเชื้อได้ต้องถูกกัดหลายครั้ง[3] ริ้นจำพวกนี้อาศัยอยู่แถบใกล้แม่น้ำ จึงได้เกิดชื่อโรคดังกล่าว[2] หลังจากพยาธิเข้าสู่ร่างกายมนุษย์แล้ว จะสร้าง ตัวอ่อน ที่หาทางออกมาทางผิวหนัง[1] ณ จุดนี้ ตัวอ่อนสามารถทำให้ริ้นดำตัวต่อมาที่มากัดมนุษย์ติดเชื้อต่อ[1] การวินิจฉัยโรคนั้นมีหลายวิธีด้วยกัน ซึ่งได้แก่ การนำ ชิ้นเนื้อตัดส่งตรวจ จากผิวหนังไปใส่ใน น้ำเกลือธรรมดา แล้วเฝ้าสังเกตตัวอ่อนที่จะออกมา การสังเกตหาตัวอ่อนในดวงตารวมทั้งการมองหาพยาธิตัวเต็มวัยในตุ่มใต้ผิวหนัง[4]
การป้องกันและการรักษา
[แก้]โรคดังกล่าวยังไม่มี วัคซีน ป้องกัน[1] การป้องกันทำได้ด้วยการหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกริ้นกัด[5] ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ ยาไล่แมลง และสวมเสื้อผ้าที่เหมาะสม[5] ความพยายามด้วยวิถีทางอื่นๆ รวมไปถึงการพยายามลดจำนวนประชากรด้วยการฉีดพ่นยาฆ่าแมลง[1] ส่วนความพยายามในอันที่จะกำจัดโรคด้วยการรักษาทีเดียวทั้งกลุ่ม ปีละสองครั้งนั้นยังทำกันอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทั่วโลก[1] การรักษาผู้ได้รับเชื้อคือโดยการใช้ยา ไอเวอร์เมคติน ทุกๆ หกถึงสิบสองเดือน[1][6] การใช้ยานี้จะไปฆ่าตัวอ่อน แต่ไม่ฆ่าพยาธิตัวเต็มวัย[7] ยา ด็อกซีไซคลีนซึ่งฆ่าแบคทีเรียที่ เกี่ยวพันไปถึง ที่เรียกว่า วอลบาเชีย ดูเหมือนว่าจะไปทำให้พยาธิดังกล่าวอ่อนกำลังลงและมีการแนะนำให้นำไปใช้อยู่บ้างเช่นกัน[7] นอกจากนั้น ยังอาจรักษาด้วยการผ่าตัดเอาก้อนใต้ผิวหนังออก[6]
ระบาดวิทยาและประวัติความเป็นมา
[แก้]มีผู้ที่ได้รับเชื้อโรคตาบอดแถบแม่น้ำประมาณ 17 ถึง 25 ล้านราย โดยเป็นผู้ที่เกิดสายตาเสียไม่มากก็น้อยถึงประมาณ 0.8 ล้านราย[3][7] ส่วนใหญ่การติดเชื้อดังกล่าวเกิดใน อาฟริกาแถบตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา แม้ว่ามีบางรายที่มีรายงานว่าเกิดใน เยเมน และในท้องที่ห่างไกลของอเมริกา กลาง รวมทั้งใน อเมริกาใต้[1] ในปีพ.ศ. 2458 นายแพทย์ โรดอลโฟ โรเบิลส์ เป็นผู้แรกที่เห็นว่าพยาธิดังกล่าวมีความเกี่ยวโยงไปถึงโรคตา[8] ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกจัดให้โรคดังกล่าวอยู่ในรายการ โรคเขตร้อนที่ถูกละเลย[9]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 "Onchocerciasis Fact sheet N°374". World Health Oragnization. March 2014. สืบค้นเมื่อ 20 March 2014.
- ↑ 2.0 2.1 "Onchocerciasis (also known as River Blindness)". Parasites. CDC. May 21, 2013. สืบค้นเมื่อ 20 March 2014.
- ↑ 3.0 3.1 "Parasites – Onchocerciasis (also known as River Blindness) Epidemiology & Risk Factors". CDC. May 21, 2013. สืบค้นเมื่อ 20 March 2014.
- ↑ "Onchocerciasis (also known as River Blindness) Diagnosis". Parasites. CDC. May 21, 2013. สืบค้นเมื่อ 20 March 2014.
- ↑ 5.0 5.1 "Onchocerciasis (also known as River Blindness) Prevention & Control". Parasites. CDC. May 21, 2013. สืบค้นเมื่อ 20 March 2014.
- ↑ 6.0 6.1 Murray, Patrick (2013). Medical microbiology (7th ed.). Philadelphia: Elsevier Saunders. p. 792. ISBN 9780323086929.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 Brunette, Gary W. (2011). CDC Health Information for International Travel 2012 : The Yellow Book. Oxford University Press. p. 258. ISBN 9780199830367.
- ↑ Lok, James B.; Walker, Edward D.; Scoles, Glen A. (2004). "9. Filariasis". ใน Eldridge, Bruce F.; Edman, John D.; Edman, J. (บ.ก.). Medical entomology (Revised ed.). Dordrecht: Kluwer Academic. p. 301. ISBN 9781402017940.
- ↑ Reddy M, Gill SS, Kalkar SR, Wu W, Anderson PJ, Rochon PA (October 2007). "Oral drug therapy for multiple neglected tropical diseases: a systematic review". JAMA. 298 (16): 1911–24. doi:10.1001/jama.298.16.1911. PMID 17954542.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)