ข้ามไปเนื้อหา

เกาะเซรัม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เซรัม
แผนที่เกาะเซรัม
ภูมิศาสตร์
ที่ตั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
กลุ่มเกาะหมู่เกาะโมลุกกะ
พื้นที่17,100 ตารางกิโลเมตร (6,600 ตารางไมล์)
อันดับพื้นที่52
ระดับสูงสุด3,027 ม. (9931 ฟุต)
จุดสูงสุดเขาบีไนยา
การปกครอง
ประชากรศาสตร์
ประชากร434,113 คน
ความหนาแน่น25.4/กม.2 (65.8/ตารางไมล์)
ข้อมูลอื่น ๆ
เขตเวลา

เซรัม (อินโดนีเซีย: Seram), เซรัน (Seran) หรือ เซรัง (Serang) เป็นเกาะหลักและเกาะที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดมาลูกู ประเทศอินโดนีเซีย (ถึงแม้ว่าเกาะอัมบนซึ่งอยู่ใกล้เคียงจะมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เช่นกัน) เกาะเซรัมตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเกาะอัมบนและเกาะเล็ก ๆ อีกบางเกาะ เช่น เกาะฮารูกู, เกเซร์, นูซาเลาต์, บันดา, ซาปารูวา เป็นต้น

ชาวอำเภอมาลูกูกลางส่วนใหญ่ถือว่าเซรัมเป็นบ้านเกิดบรรพบุรุษดั้งเดิมของตนและยังคงเรียกเกาะนี้อย่างไม่เป็นทางการว่า "นูซาอีนา" (เกาะแม่)[1][2] ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 16 เซรัมอยู่ในเขตอิทธิพลของอาณาจักรสุลต่านเตอร์นาเต แต่มักถูกปกครองโดยตรงจากบูรูซึ่งขึ้นกับเตอร์นาเต กองเรือสำรวจของอังตอนียู ดึ อาเบรว (ในฐานะกัปตัน) และฟรังซิชกู ซึเรา มองเห็นและสำรวจทั่วทั้งชายฝั่งตอนใต้ของเซรัมในต้น ค.ศ. 1512 นับเป็นครั้งแรกสำหรับชาวยุโรป[3] มิชชันนารีชาวโปรตุเกสเข้ามามีบทบาทอย่างต่อเนื่องในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เนเธอร์แลนด์ตั้งสถานีการค้าในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 และเกาะตกอยู่ใต้การควบคุมของเนเธอร์แลนด์เพียงในนามเมื่อราว ค.ศ. 1650 ในคริสต์ทศวรรษ 1780 เซรัมเป็นฐานสำคัญในการสนับสนุนเจ้าชายนูกูแห่งตีโดเรเพื่อต่อต้านการปกครองของเนเธอร์แลนด์ และระหว่าง ค.ศ. 1954–1962 พื้นที่ภูเขาของเซรัมเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่มีการสู้รบแบบกองโจรของขบวนการสาธารณรัฐโมลุกกะใต้เพื่อต่อต้านสาธารณรัฐอินโดนีเซีย

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Homepage Ema - Huaresi Rehung". Ema-huaresi.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-09-21. สืบค้นเมื่อ 2013-09-20.
  2. Lonely Planet Indonesia 7th Edition, page 840
  3. Cortesão, Armando (1944). The Suma Oriental of Tomé Pires: an account of the east, from the Red Sea to Japan, written in Malacca and India in 1512–1515/The Book of Francisco Rodrigues rutter of a voyage in the Red Sea, nautical rules, almanack and maps, written and drawn in the east before 1515. The Hakluyt Society.